บทที่ 1309 เมืองในฝัน!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

สำหรับอารยธรรมทั้งหลายในจักรพิภพนับไม่ถ้วนของมหาจักรวาล สถานที่ที่หวังเป่าเล่อมาเยือนคือสถานที่ที่ในชีวิตนี้พวกเขาไม่อาจเข้าถึงได้

กล่าวได้ว่าสิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดในมหาจักรวาลนี้ไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ในจักรวาลที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นมีพื้นที่ต้องห้ามอย่างมิติเต๋าต้นกำเนิดนี้อยู่ด้วย

เพราะมันเก่าแก่มากเกินไป กาลเวลาที่แฝงอยู่ในนั้นสามารถสืบย้อนไปได้ถึงจุดเริ่มต้นของมหาจักรวาล ด้วยเหตุนี้มันจึงลึกลับและคาดเดาไม่ได้

มีอารยธรรมเพียงไม่กี่แห่งที่เก่าแก่พอๆ กับประวัติศาสตร์ของมหาจักรวาลที่สามารถบันทึกเรื่องนี้ไว้เป็นจุดเล็กๆ ในตำราหายาก

หากมีความสามารถในการจัดระเบียบบันทึกของอารยธรรมโบราณเหล่านี้เข้าด้วยกัน ก็จะเจอร่องรอยของเจ้าแห่งมิติเต๋าต้นกำเนิดจากบันทึกเหล่านั้น

สิ่งมีชีวิตแรกที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคเริ่มจักรวาล

จักรวาลอันอิสระพร่างพราวดวงดารา มหาเทพถือกำเนิดขึ้นหลังจากนั้น ค่อยๆ กดขี่ข่มเหงสิ่งมีชีวิตแต่ละราย

แข็งแกร่ง ไร้พ่าย

ครอบงำ บ้าคลั่ง

มิติเต๋าต้นกำเนิดที่เขาอยู่นั้นเปรียบเสมือนคุก ผู้ทรงพลังที่ถูกเขาข่มเหงล้วนไม่อาจจากไปได้ตลอดกาล ทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่งถักทอจักรวาลของตนอยู่ในนั้น จนกลายเป็นจักรวาลย่อย 108 แห่ง

และจักรวาลทั้ง 108 แห่งนี้ก็ถูกถักทอเข้าด้วยกันกลายเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าแห่งมิติเต๋าต้นกำเนิดผู้นั้น

ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดเจ้าแห่งมิติเต๋าต้นกำเนิดผู้นี้ถึงต้องสยบผู้ทรงพลังทั้ง 108 คนที่ถือกำเนิดขึ้นหลังจากการกำเนิดของเขาไว้ในจักรวาลของเขาเอง

แม้จะมีการคาดเดา แต่ส่วนใหญ่ต่างคิดว่านี่อาจเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชา

แต่ความจริงคืออะไร น้อยคนนักจะรู้

ทั้งหมดนี้คือคำอธิบายเกี่ยวกับมหาเทพและมิติเต๋าต้นกำเนิดของเขาในบันทึกของอารยธรรมต่างๆ

บันทึกเหล่านี้ล้วนจบลงเหมือนกัน นั่นคือ…มหาเทพผู้นี้เป็นบ้าและต้องการหลอมรวมกฎหลักของมหาจักรวาล ด้วยเหตุนี้จึงเกิดหายนะไม้ห้าธาตุ

จนถึงตอนนี้ข่าวลือเกี่ยวกับเขาค่อยๆ หายไปกับกาลเวลา มิติเต๋าต้นกำเนิดก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของทุกชีวิต

หลังจากนั้นผู้ที่เก่งพอจะรับรู้ถึงสถานที่และประวัติศาสตร์นี้จึงมีเพียงผู้ที่ฝึกฝนจนถึงขั้นที่ห้าเท่านั้น

และมีเพียงพวกเขาที่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของมิติเต๋าต้นกำเนิดตรงใจกลางมหาจักรวาล

เพราะที่นั่น…ไม่มีกฎ ไม่มีข้อบังคับ ไม่มีร่องรอยเต๋าราวกับว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง

ในทำนองเดียวกันแม้พวกเขาจะทราบถึงสถานที่แห่งนี้แล้วและยังพบร่องรอยจากเบาะแสเหล่านั้น ทว่า…นับแต่โบราณมาไม่เคยมีใครรอดชีวิตออกมาได้

ไม่มีเลย

หมอกสีแดงแยกตัวเป็นเอกเทศจากทุกสิ่ง ทุกคนที่เหยียบเข้าไปล้วนหายสาบสูญ

ผู้ที่มีความสามารถพอจะเหยียบเข้าไปและออกมาได้อย่างแท้จริงมีเพียงหยิบมือ และสำหรับพวกเขา มิติเต๋าต้นกำเนิดเป็นอาณาเขตของผู้ทรงพลังเก่าแก่ผู้นั้น ไม่มีเหตุผลที่จำเป็นต้องเข้าไป อีกอย่างพวกเขาเองก็ไม่ต้องการให้เกิดการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีใครย่างกรายเข้าไปโดยง่าย

เพราะหากเกิดการต่อสู้…มหาจักรวาลจะล่มสลาย

ทว่า วันนี้หวังเป่าเล่อกลับใช้เคล็ดวิชาเต๋าแห่งฝันจากดินแดนเซียนไปจุติที่…มิติเต๋าต้นกำเนิดอันลึกลับและเก่าแก่

เพราะการเข้ามาด้วยเต๋าแห่งฝันนั้นต่างจากการเข้ามาจริงๆ มันอยู่ระหว่างภาพลวงตาและความเป็นจริง ดังนั้นเมื่อแสดงวิชาเต๋าแห่งฝันออกมา จิตใต้สำนึกของหวังเป่าเล่อก็ทะลุผ่านจักรวาลลอยเข้าไปในมิติเต๋าต้นกำเนิดที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอกแดง ตอนนั้นเองโลกที่เขาเห็นก็เริ่มแปลกตาไปจากเดิม

ไม่ใช่ร่างผู้เยี่ยมยุทธ์ 108 คนที่ถักทอกันเป็นจักรวาลอย่างตอนที่มองมาจากสะพานสู่สวรรค์ แต่เป็นแผนที่ดวงดาวที่ก่อตัวจากดวงดาวนับไม่ถ้วน

ดวงดาวอันไร้จุดสิ้นสุดสะท้อนเข้ามาในการรับรู้ของหวังเป่าเล่อเหมือนกับการมองท้องฟ้าตอนกลางคืนบนโลกมนุษย์ ทว่า…ดวงดาวเกือบทุกดวงในที่แห่งนี้ล้วนมืดสลัวราวกับสามารถดับสูญได้ทุกเมื่อ มีเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้นที่ดูเหมือนยังสามารถส่องแสงเลือนรางได้ต่อไป และหากสังเกตดีๆ ก็จะพบว่ามีเพียงห้าดวงเท่านั้นที่ความสว่างยังคงปกติ

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อลังเลเล็กน้อยและใช้เวลาจดจ่อกับมันอยู่เนิ่นนาน ผู้ที่ฝึกเต๋าแห่งฝันมาแล้วอย่างเขาเข้าใจพื้นฐานดวงดาวเหล่านี้ดี

“ใช้เต๋าแห่งฝันเข้ามาในที่แห่งนี้ ตอนนี้ข้าจึงไม่ใช่ร่างจริง เป็นเพียงจิตใต้สำนึกเท่านั้น ข้าสัมผัสโลกภายนอกไม่ได้ ไม่ได้ยิน มองไม่เห็น…แล้วสิ่งที่เรียกว่าดวงดาวพวกนี้ก็ไม่ใช่ดวงดาวที่แท้จริงด้วย พวกมัน…คือความฝัน”

“ดวงดาวทุกดวงคือมิติมายาของสิ่งมีชีวิต ยิ่งแสงสว่างมากก็ย่อมแสดงว่ามิติมายายิ่งมั่นคงมาก”

“หากจะเข้าไปในมิติเต๋าต้นกำเนิดอย่างแท้จริง ข้าจำเป็นต้องผสานเข้ากับความฝันเสียก่อน ตามหาเจ้าของความฝันในความฝันนี้ สืบหาเป้าหมายแล้วปลุกเขาให้ตื่น…ทันทีที่เขาตื่นขึ้นมาและมิติมายาแตกสลาย ช่วงเวลานั้นที่ภาพลวงตาและความเป็นจริงมาบรรจบกัน ข้าก็จะ…จุติขึ้นที่นี่อย่างสมบูรณ์”

ขณะครุ่นคิดหวังเป่าเล่อก็หยั่งรู้แสงดาวนับไม่ถ้วนพวกนั้น เขาเพิกเฉยต่อดวงดาวที่มืดสลัวเป็นอันดับแรก ในความฝันเช่นนี้มันเสี่ยงที่จะพังทลายได้ทุกขณะ เป็นไปได้ด้วยซ้ำว่าทันทีที่เขาเข้าไป มิติมายาก็จะแบกรับไม่ไหว ซึ่งหากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง หวังเป่าเล่อก็จะตามหาเจ้าของความฝันไม่ทันและไม่สามารถสืบหาเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ

ดังนั้นการพังทลายดังกล่าวจึงไม่มีประโยชน์ อีกทั้งทันทีที่ล้มเหลวจิตใต้สำนึกของเขาก็จะหายไปด้วย

ดวงดาวห้าดวงที่เสถียรที่สุดจึงเป็นเป้าหมายแรกของหวังเป่าเล่อ ทว่าในตอนที่การหยั่งรู้ของเขาแผ่กระจายออกไปและกำลังจะเลือกผสานเข้าไปนั่นเอง จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็ใจกระตุกวูบ การหยั่งรู้สืบหาเป้าหมายไว้ที่ดาวดวงหนึ่งที่ถึงแม้จะไม่ได้มืดสนิทแต่ก็เหมือนจะอยู่ได้อีกไม่นาน

แสงของดาวดวงนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับหวังเป่าเล่อ

“พลังปราณของอู๋น้อย?”

ในพริบตาที่การหยั่งรู้ของหวังเป่าเล่อกวาดไปยังแสงของดาวดวงนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณของอู๋น้อยซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าของความฝันนี้เกี่ยวข้องกับอู๋น้อย หรือกล่าวให้ถูกคือในความฝันของคนคนนี้มีอู๋น้อยอยู่ด้วย

หวังเป่าเล่อครุ่นคิด จากนั้นเขาก็ละทิ้งดวงดาวทั้งห้าที่ดูเหมือนจะเสถียรที่สุด พุ่งเป้าหมายไปยังแสงดาวที่มีพลังปราณของอู๋น้อยในทันที ตอนนั้นเอง…ก็ผสานเข้าไป

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ราวกับเพียงชั่วอึดใจ แต่ก็ราวกับทั้งชีวิต

ประสาทสัมผัสที่หายไปค่อยๆ กลับมา หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงลมเย็นพัดผ่านผิวหนัง

ประสาทการรับกลิ่นก็กลับมา เขาได้กลิ่นหอมสดชื่นของดินหลังฝนตก ตามมาด้วยประสาทการได้ยิน เสียงฝีเท้า เสียงเม็ดฝนและเสียงจอแจดังมาจากสถานที่ใกล้ๆ และไกล

สุดท้ายหวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น

เขาเห็นพระอาทิตย์บนท้องฟ้ากำลังถูกก้อนเมฆบดบัง เห็นสายฝนตกจากท้องฟ้าลงไปในแอ่งน้ำเล็กๆ มากมายบนพื้นดินจนเกิดระลอกคลื่นนับไม่ถ้วน เขาเห็นคนจำนวนมากถือร่มเดินผ่านไปผ่านมาอยู่ตรงหน้า

โลกตรงหน้าค่อยๆ ชัดเจนขึ้น และในที่สุด…เมืองขนาดใหญ่ก็สะท้อนอยู่ในดวงตาหวังเป่าเล่อ เมืองนี้มีประชากรมากมาย แม้ฝนจะตกแต่ก็ยังคึกคักและมีชีวิตชีวามาก

ตอนนี้หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนถนนสายหนึ่งในเมือง มือถือร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่ง

ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเหยียดมือซ้ายออกจากร่ม สัมผัสกับความเย็นจากเม็ดฝนที่ตกกระทบผิวหนัง แล้วเงยหน้าขึ้น จากที่ไกลๆ หวังเป่าเล่อก็ได้เห็นพระราชวังแห่งหนึ่ง บนนั้น…มีรูปสลักขนาดมหึมาตั้งอยู่

รูปสลักนั้นคือนกแก้วที่เหมือนจริงราวกับมีชีวิต

“อาณาจักรพิภพทมิฬ” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา

………………………