ตอนที่ 1046 โชคชะตาของเสี่ยวอ้ายฉือ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในทุกวันนี้ เสี่ยวอ้ายฉืออาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกและสนิทสนมกับคู่สามีภรรยาวัยกลางคนมากขึ้นเรื่อย ๆ

คู่สามีภรรยารักใคร่เอ็นดูเสี่ยวอ้ายฉืออย่างมากและปฏิบัติเหมือนเขาเป็นหลานชายแท้ ๆ ของพวกตน ทั้งสองจัดหาอาหารมื้ออร่อย ความสนุกสนานและสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับการฝึกยุทธ์ให้กับเขาอย่างเต็มที่

และในตอนนี้เสี่ยวอ้ายฉือก็ได้ทราบชื่อแซ่ของคนทั้งสองแล้ว

บุรุษวัยกลางคนที่พาเขามาที่นี่มีนามว่า ‘ฉินหลิงเซียว’ ซึ่งเป็นแซ่เดียวกับมารดาของเขา ส่วนสตรีวัยกลางคนผู้งดงามที่บอกให้เสี่ยวอ้ายฉือเรียกว่าย่าหย่าก็มีนามว่า ‘เฟิงหย่า’

เสี่ยวอ้ายฉือไม่ทราบถึงตัวตนหรือที่มาของคนทั้งสองแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันมากกว่าสิบวัน ความแข็งแกร่งและความใจกว้างมีเมตตาของสองสามีภรรยาก็เป็นเครื่องพิสูจน์สถานะที่แท้จริงของพวกเขาได้มากแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวอ้ายฉือก็เคยเห็นผู้คนจำนวนนับสิบที่มีความแข็งแกร่งล้ำลึกเกินหยั่งถึงเดินทางมาที่คฤหาสน์หลังนี้และแสดงท่าทีเคารพต่อฉินหลิงเซียวอย่างมาก เพียงแต่เขาและเฟิงหย่าส่งคนเหล่านั้นกลับไปอย่างไม่แยแสแม้แต่น้อย

ภายในห้องโถง ขณะเสี่ยวอ้ายฉือรับประทานอาหารอย่างเงียบ ๆ เฟิงหย่าก็มองดูเขาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก

“ยายแก่ เราแต่งงานกันมาก็นานหลายปีแล้วและข้าแทบไม่เคยเห็นเจ้าปรุงอาหารเลย ทว่าตอนนี้เจ้ากลับปรุงอาหารให้กับเจ้าหนูน้อยเป็นประจำทุกวัน”

ฉินหลิงเซียวกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึงอย่างไม่พอใจนัก เขาทราบดีว่าภรรยาของเขามีฝีมือในการปรุงอาหารที่ยอดเยี่ยม ทว่านางไม่ชอบแสดงฝีมือเท่าใดนัก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งในระดับของพวกเขา ต่อให้จะไม่ได้รับประทานอาหารติดต่อกันหลายสิบวันก็จะไม่เกิดผลกระทบใด ๆ

ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด เมื่อเด็กน้อยเสี่ยวอ้ายฉือมาที่นี่ ภรรยาที่มักเกียจคร้านลงมือปรุงอาหารกลับเปลี่ยนเป็นคนละคนและลุกขึ้นมาปรุงอาหารอันโอชะให้กับเสี่ยวอ้ายฉือในทุก ๆ วัน ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเป็นอาหารสำหรับเสี่ยวอ้ายฉือเพียงผู้เดียวเท่านั้น แม้ฉินหลิงเซียวจะต้องการส่วนแบ่ง เขาก็ไม่มีโอกาสนั้นด้วยซ้ำ

“เหอะ อย่างเจ้าจะเทียบกับเสี่ยวอ้ายฉือได้อย่างไรเล่า ! เสี่ยวอ้ายฉือเป็นเด็กที่กำลังโต เขาย่อมต้องการอาหารและการพักผ่อนอย่างเต็มที่ หากเจ้าต้องการจะกินสิ่งใดก็เชิญปรุงเองสิ อย่ามากวนใจข้า !”

เฟิงหย่าแค่นเสียงเบา ๆ ในลำคอและจ้องหน้าสามีตาเขม็ง

หลังจากแต่งงานกัน ฉินหลิงเซียวมักเป็นคนลงมือทำอาหารเองเสมอ แม้แต่ตอนนี้ หากต้องการรับประทานอาหารเป็นครั้งคราว เขาก็ต้องปรุงอาหารด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือแม้ว่าฉินหลิงเซียวจะขลุกอยู่ในห้องครัวตลอดทั้งวันนานหลายปี ทักษะในการปรุงอาหารของเขาก็ยังไม่ยอดเยี่ยมเท่าเฟิงหย่าแม้แต่น้อย

เสี่ยวอ้ายฉืออดยิ้มบาง ๆ ไม่ได้ เขาตระหนักแล้วว่าสิ่งที่ทำให้ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานานคือสิ่งใด การทะเลาะถกเถียงกันคือกิจวัตรประจำวันของพวกเขาและนั่นเป็นวิธีการกระชับความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาคู่นี้

เขาทราบว่าฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่ารักกันมาก และบิดามารดาของเขาเองก็เช่นกัน…

เสี่ยวอ้ายฉือเป็นเด็กที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง หลังจากใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากกว่าสิบวัน เขาก็รู้สึกได้ว่าฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าซ่อนปริศนาความลับไว้มากมาย ทั้งสองน่าจะเผชิญสถานการณ์น่าเศร้าในอดีต ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์นั้นได้กลายเป็นปมในใจที่ยากจะแก้ไขหรือทำลายได้

“เสี่ยวอ้ายฉือ ข้าพยายามสืบข้อมูลตลอดหลายวันที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเส้นทางจากที่นี่ไปสู่ดินแดนมหาเทพจะมีปัญหาบางอย่างและเราไม่สามารถส่งเจ้ากลับไปได้ในอนาคตอันใกล้นี้”

ฉินหลิงเซียวรู้สึกถูกชะตากับเสี่ยวอ้ายฉืออย่างมาก นับตั้งแต่เด็กน้อยมาที่นี่ รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟิงหย่าก็กว้างขึ้นในทุก ๆ วันและสีหน้าท่าทางของนางก็ดูดีมีความสุขกว่าก่อนหน้านี้มากนัก

อันที่จริง หากเป็นไปได้ เขาก็หวังว่าเสี่ยวอ้ายฉือจะได้อยู่ที่นี่ต่อไป หรือหากว่าบิดามารดาของเขาอนุญาต สองสามีภรรยาก็ต้องการสานสัมพันธ์และให้การดูแลเสี่ยวอ้ายฉือดั่งญาติแท้ ๆ คนหนึ่ง…

“ไม่เป็นไรขอรับ ถึงอย่างไรท่านพ่อและท่านแม่ของข้าก็จะมาที่นี่ในไม่ช้าก็เร็ว การเฝ้ารออยู่ที่นี่มิใช่สิ่งที่เลวร้ายอะไร”

เสี่ยวอ้ายฉือไม่กังวลใจมากนัก เขาทราบดีว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะต้องหาทางมาที่ดินแดนระดับสูงแห่งนี้ในสักวัน ต่อให้ไม่มีโอกาสกลับไปที่ดินแดนมหาเทพได้อีก เขาก็จะได้พบหน้าบิดามารดาในไม่ช้าอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ทรัพยากรสำหรับการฝึกยุทธ์ในสถานที่แห่งนี้ก็อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก การอยู่ที่นี่เพื่อฝึกวิชาต่อไปสักสองสามปีจะเป็นผลดีสำหรับเขา

นอกจากนี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่เสี่ยวอ้ายฉือไม่เคยกล่าวออกไป นั่นคือตลอดเวลามากกว่าสิบวันที่ผ่านมา เขารู้สึกผูกพันกับฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่ามากแล้วจึงต้องการใช้เวลาอยู่กับสองสามีภรรยาผู้เหงาหงอยมากยิ่งขึ้น

“เสี่ยวอ้ายฉือ เล่าเรื่องพ่อแม่ของเจ้าให้ข้าฟังหน่อยสิ”

เมื่อเห็นเสี่ยวอ้ายฉือรับประทานอาหารเสร็จสิ้น เฟิงหย่าก็บอกให้สามีเก็บจานไปล้างในขณะที่นางจับมือเด็กน้อยเข้าไปในห้องหนังสือด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้

ด้วยเหตุผลบางประการ นางนึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับบิดามารดาของเสี่ยวอ้ายฉือเป็นอย่างมาก หากมิใช่เพราะกฎเกณฑ์ข้อจำกัดบางอย่างระหว่างดินแดน นางคงจะรีบมุ่งหน้าไปที่ดินแดนมหาเทพเพื่อพบกับทั้งสองด้วยตัวเอง

“ขอรับ”

เสี่ยวอ้ายฉือพยักศีรษะและเริ่มเล่าสิ่งที่ทราบอย่างช้า ๆ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลที่เขาได้ฟังมาจากคนรอบตัว เสี่ยวอ้ายฉือไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนระดับต่ำมากนัก ถึงอย่างไรเขาก็เกิดมาในดินแดนเทพมายาจึงทราบเพียงเรื่องราวของที่นั่น ทว่าเขาก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับดินแดนหวนหลิงเป็นอย่างมากเช่นกัน

“ช่างเป็นคู่รักของเทพบุตรและเทพธิดาจริง ๆ”

หลังจากได้ฟังข้อมูลจากเสี่ยวอ้ายฉือ เฟิงหย่าก็นึกอยากรู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมากยิ่งขึ้น

สำหรับการฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามทั้งหมดมาจากดินแดนระดับต่ำเช่นนี้ มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจินตนาการว่าทั้งสองต้องมีความกล้าหาญและพรสวรรค์มากเพียงใด อีกทั้งตอนนี้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ถือเป็นจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของดินแดนมหาเทพแล้ว เฟิงหย่าตั้งตารอวันที่ทั้งสองจะก้าวเข้ามาในดินแดนนี้อย่างใจจดใจจ่อ…

ฉินหลิงเซียวก็แอบได้ยินคำพูดของเสี่ยวอ้ายฉือจากหน้าประตูและหัวใจของเขาก็สั่นไหวชั่วขณะ จู่ ๆ ข้อสันนิษฐานหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจของเขา

มารดาของเสี่ยวอ้ายฉือ หรือว่านางจะเป็น…

อย่างไรก็ตาม เขายังมิอาจยืนยันความจริงได้ ทว่าก็มีความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยมเช่นกัน เขาอาจต้องหาวิธีเดินทางไปที่ดินแดนมหาเทพเพื่อยืนยันให้ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง ปมในหัวใจของภรรยาของเขาก็คงจะได้รับการคลายออกเสียที…

“ในอีกสองสามวันข้างหน้า ตาหลิงเซียวของเจ้าและข้าจะพาเจ้าลงจากภูเขาไปซื้อของกันสักหน่อย”

นับตั้งแต่มาที่นี่ เสี่ยวอ้ายฉือยังไม่เคยเดินทางไปที่อื่นนอกจากใช้เวลาอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ อีกไม่กี่วัน พวกเขาวางแผนที่จะพาเสี่ยวอ้ายฉือลงจากภูเขาเนื่องจากต้องไปจัดการธุระบางอย่าง และไม่สบายใจที่จะปล่อยเด็กน้อยไว้เพียงลำพัง

“ขอรับ”

เสี่ยวอ้ายฉือพยักหน้าหงึกหงักทันทีแสดงถึงความกระตือรือร้นที่จะได้ลงไปเที่ยวชมที่อื่น ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของเขาก็พัฒนาขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม เสี่ยวอ้ายฉือจำได้ดีถึงคำที่มารดาเคยกำชับไว้ว่าเขายังอายุน้อยและการพัฒนาความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วเกินไปมิใช่เรื่องที่ดีนัก สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการสร้างรากฐานที่มั่นคง เพราะเหตุนั้น เขาจึงวางแผนที่จะหยุดพักการฝึกยุทธ์ไว้เป็นการชั่วคราวและรอจนกว่าพลังในปัจจุบันจะมั่นคงก่อนจึงจะพัฒนาความแข็งแกร่งต่อไป

ดินแดนที่เขาอยู่ในตอนนี้มีสภาวะพลังที่หนาแน่นและอุดมสมบูรณ์กว่าดินแดนเทพมายามากนัก แม้แต่สภาวะพลังของดินแดนมหาเทพก็ไม่มีทางเทียบกับที่นี่ได้เลย

หากบิดาและมารดาของเขาได้มาฝึกยุทธ์ที่นี่ เสี่ยวอ้ายฉือมั่นใจว่าอัตราความเร็วในการพัฒนาพลังของทั้งสองจะต้องมหัศจรรย์เป็นแน่

“ดีเลย”

เฟิงหย่าลูบศีรษะเสี่ยวอ้ายฉืออย่างเอ็นดูและยิ้มกว้างอย่างไม่อาจปกปิด

หลังจากอยู่ในคฤหาสน์พักใหญ่ เสี่ยวอ้ายฉือก็กลับไปยังห้องนอนของตนเพื่อพักผ่อน

ฉินหลิงเซียวและเฟิงหย่าออกไปนั่งพูดคุยกันในลานกว้างเพื่อหารือบางสิ่งบางอย่าง

“ยายแก่ เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับเจ้าหนุ่มน้อย ?”

ฉินหลิงเซียวรินน้ำชาหอมกรุ่นขณะเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ

“ตาแก่ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่รึ ?”

เฟิงหย่าถามกลับทันที นางรู้จักนิสัยใจคอของสามีเป็นอย่างดีและย่อมคาดเดาเจตนาของเขาได้ไม่ยาก

“หากเจ้าเอ็นดูหนุ่มน้อยนั่น เราก็ควรรับเขามาเป็นลูกบุญธรรมจะดีกว่า เสี่ยวอ้ายฉือเป็นเด็กที่มีโอกาสอันยิ่งใหญ่และบิดามารดาของเขาก็มิใช่คนธรรมดา”

ฉินหลิงเซียวกล่าวแสดงความคิดเห็นของตนออกไปและคาดว่าภรรยาของตนจะต้องมีความสุขที่ได้ยินเช่นนี้