ตอนที่ 1,042 ข้อตกลง

เมื่อออกจากกระโจมที่พักของท่านหัวหน้านักบวช แม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนก็ยังไม่ได้กลับไปยังกระโจมที่พักของตนเอง

ชายชรามุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่นอกค่ายทหาร บริเวณนั้นเป็นที่ตั้งของกระโจมใหญ่หลังหนึ่ง และเสี่ยวเหยียนก็เคาะประตูหน้ากระโจมที่พักก่อนก้าวเท้าเดินเข้าไป

ด้านในกระโจมคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของสุรานารี

บนพื้นปูด้วยพรมอ่อนนุ่ม รอบข้างรูดม่านปิดสนิท โต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งตั้งอาหารและสุราเรียงรายตระการตา เมื่อเทียบกับค่ายทหารที่อยู่ด้านนอกแล้ว ที่นี่ไม่ต่างไปจากโลกอีกหนึ่งใบ

ชายชราผู้ที่เป็นบุคคลเสเพลมากกว่าหลินเป่ยเฉินแต่งกายด้วยชุดนอนหลุดรุ่ย เปิดเผยให้เห็นถึงผิวสีทองแดง ร่างกายอันกำยำ ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนวัยกว่าที่ควรจะเป็น ข้างกายของชายชราผู้นี้นั่งไว้ด้วยสองสาวงามที่คอยปรนนิบัติรับใช้พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะคิกคักตลอดเวลา

หากไม่ใช่หลิงไท่ซวีแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก?

“ท่านผู้อาวุโส…”

เสี่ยวเหยียนประสานมือทำความเคารพ

“หืม? หยุดเลยนะ”

หลิงไท่ซวียกมือโบกสะบัด “บัดนี้เจ้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แล้ว อีกอย่างเจ้าแก่กว่าข้าตั้งเยอะ ข้ายังไม่แก่สักหน่อย… สรุปว่าหลานเขยผู้น่ารักและฉลาดเฉลียวของข้ากล่าวว่าอย่างไรบ้าง?”

เสี่ยวเหยียนอดยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากไม่ได้พลางกล่าวตอบ “ย่อมเป็นไปตามที่ผู้อาวุโสคาดคิดเอาไว้ ท่านหัวหน้านักบวชหลินเห็นด้วยกับข้อเสนอของพวกเขาขอรับ”

“นั่นปะไร คิดเอาไว้แล้วเชียว”

หลิงไท่ซวีบีบก้นของสาวงามที่นั่งอยู่ข้างกาย นางส่งเสียงหัวเราะอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับสาวงามอีกหนึ่งคน ประสานมือคำนับให้แก่เสี่ยวเหยียนอย่างนอบน้อม เรียบร้อยดีแล้วจึงหมุนกายเดินออกไปจากกระโจม

“ท่านหัวหน้านักบวชหลินดูจะมั่นใจมากเลยขอรับ”

เสี่ยวเหยียนกล่าวต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “แต่การประลองครั้งนี้มีอนาคตของจักรวรรดิเป็นเดิมพัน แตกต่างจากการประลองเดิมพันชีวิตในนครหลวงหลายเท่า จักรวรรดิจี้กวงคงต้องพยายามอย่างสุดความสามารถ ข้าน้อยเกรงว่าพวกเขาคงเตรียมการมาเป็นอย่างดี”

หลิงไท่ซวีหยิบไหสุราทองแดงใบหนึ่งขึ้นมากระดกดื่มอึกใหญ่ แล้วพูด “เจ้าไม่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของข้าหรือ?”

“ข้าน้อยมิกล้า”

เสี่ยวเหยียนรีบประสานมือก้มหน้าอย่างรวดเร็ว

เขาบูชาหลิงไท่ซวีไม่ต่างไปจากเทพเจ้า

เสี่ยวเหยียนเริ่มได้เลื่อนตำแหน่งเป็นใหญ่เป็นโตกับผู้อื่นบ้าง ก็ตอนที่เริ่มแก่ชราแล้ว

และผู้ที่เลื่อนตำแหน่งให้เขาก็คือหลิงไท่ซวี

ขณะนั้น กองทัพของหลิงไท่ซวีมีชื่อเสียงโด่งดังระบือไกล แข็งแกร่งไร้เทียมทาน เสี่ยวเหยียนมีสถานะเป็นเพียงนายกองผู้หนึ่งเท่านั้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เสี่ยวเหยียนยึดถือหลิงไท่ซวีเป็นวีรบุรุษประจำใจ ต่อให้อดีตเทพเจ้าแห่งสงครามถอนตัวจากวงการทหารมานานปี แต่ในใจของนายทหารเก่าแก่จำนวนมาก ต่างก็ไม่เคยลืมความเก่งกาจของหลิงไท่ซวีได้แม้แต่ลมหายใจเดียว

และครั้งนี้ แม้เสี่ยวเหยียนขึ้นรับตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ควบคุมกองทัพออกต่อต้านจักรวรรดิจี้กวงด้วยตนเอง แต่ในความเป็นจริงนั้น ผู้ที่วางกลยุทธ์ทุกอย่างกลับเป็นหลิงไท่ซวีทั้งสิ้น

เสี่ยวเหยียนไม่ทราบเลยว่าองค์จักรพรรดิสามารถเชิญหลิงไท่ซวีกลับคืนสู่สนามรบได้อย่างไร แต่สำหรับเขา การได้ทำงานภายใต้คำสั่งของหลิงไท่ซวี ถือเป็นเกียรติภูมิแห่งชีวิตและไม่ต่างไปจากความฝันที่เป็นจริง

เสี่ยวเหยียนไม่สนใจหากตนเองจะเป็นเพียงหุ่นกระบอกให้ผู้อื่นเชิดเพื่อเล่นละคร ตราบใดที่เขาได้ทำงานให้แก่หลิงไท่ซวี เสี่ยวเหยียนล้วนไม่มีสิ่งใดขัดข้อง

อันที่จริงนั้น นับตั้งแต่ที่กองทัพเป่ยไห่ลงสู่สนามรบในครั้งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของหลิงไท่ซวี แม้แต่การจัดค่ายกลในค่ายที่พักแห่งนี้ ก็ยังเป็นการออกแบบของหลิงไท่ซวีเช่นกัน

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก

นี่เป็นการบีบบังคับให้จักรวรรดิจี้กวงยกเลิกการทำสงครามขนาดใหญ่ และหันมาใช้วิธีการส่งตัวแทนออกมาประลอง

จักรวรรดิเป่ยไห่ต้องสูญเสียไพร่พลไปมากจากการก่อกบฏของตระกูลเว่ย พวกเขาไม่มีกำลังพลมากพอที่จะทำสงครามระยะยาว และอีกไม่นานก็จะถึงกำหนดเข้ารับการประเมินจักรวรรดิ ไม่ว่ามองจากแง่มุมใด เป่ยไห่ก็ไม่ควรทำสงครามที่ยืดเยื้อทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้ หลิงไท่ซวีจึงวางแผนที่นำไปสู่การประลองเดิมพันชีวิตระหว่างผู้มีพลังขั้นเซียนมาตั้งแต่แรก

หลิงไท่ซวีปล่อยให้กุนซือของกองทัพจี้กวงอย่างองค์ชายอวี่ได้ตายใจว่าแผนการที่ตนวางเอาไว้ดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งได้มณฑลเฟิงหมิงกลับมาครอบครอง หลิงไท่ซวีจึงเจตนาทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้องค์ชายอวี่สังเกตเห็นว่าเขาได้กลับลงสู่สนามรบอีกครั้งแล้ว และเมื่อองค์ชายอวี่รู้ตัวว่าตนเองถูกหลอกมาตลอด เขาก็จะต้องยุติการทำสงครามขนาดใหญ่ และหันมาใช้วิธีส่งตัวแทนออกมาประลองอย่างแน่นอน

ดังนั้น ทุกอย่างจึงเป็นแผนการของหลิงไท่ซวีมาตั้งแต่ต้น

แม้ว่าชายชราจะมีอายุเกือบ 100 ปี แต่การดำรงอยู่ของหลิงไท่ซวีก็ทำให้นายทหารอาวุโสจำนวนมาก อย่างเช่นพวกของเสี่ยวเหยียนกลับมามีไฟในการต่อสู้อีกครั้ง

“ในเมื่อท่านผู้อาวุโสมั่นใจถึงเพียงนี้ ข้าน้อยก็จะให้คนส่งรายละเอียดเกี่ยวกับการประลอง ไปแจ้งให้กับทางวังหลวงรับทราบนะขอรับ…”

เมื่อได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อย เสี่ยวเหยียนก็ลุกขึ้นยืน ประสานมืออำลา

หลิงไท่ซวีพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ช้าก่อน ในร่างสัญญาการประลอง เจ้าอย่าลืมใส่ข้อตกลงของพวกเราลงไปด้วย”

“ข้อตกลงหรือขอรับ?”

เสี่ยวเหยียนหยุดชะงักและถามว่า “ผู้อาวุโสได้โปรดบอกมา”

หลิงไท่ซวีตอบ “จักรวรรดิจี้กวงต้องส่งตัวแม่ทัพใหญ่ที่บุกโจมตีหุบเขาดาวตกในวันนั้น มาขอขมาคนตายที่โต๊ะบูชาของพวกเราบนหน้าผาด้วยชุดเครื่องแบบเต็มยศ”

“อ้อ เรื่องนี้…”

เสี่ยวเหยียนหัวใจกระตุกวูบ แต่ก็รู้แล้วว่าข้อตกลงนี้หมายถึงอะไร

นี่คือการแก้แค้นให้แก่ฮันปู้ฟู่

ถือเป็นข้อตกลงที่กดดันใส่อีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง

ชายชราไม่รู้เลยว่าตนเองจะกล้าเพิ่มข้อตกลงนี้ลงไปในร่างสัญญาหรือไม่

“ข้าน้อยจะพยายามทำให้ดีที่สุดขอรับ”

เสี่ยวเหยียนกล่าว “แต่ก็ต้องดูด้วยว่าทางจี้กวงจะเห็นด้วยหรือไม่”

พูดจบ เขาก็ประสานมือคำนับ และหมุนตัวเดินออกไปจากกระโจม

หลิงไท่ซวีหัวเราะในลำคอ ก่อนพึมพำกับตนเองว่า “คิดว่าข้าจะทำเรื่องนี้โดยไม่มีเหตุผลอย่างนั้นหรือ? หากพวกจี้กวงฉลาดจริง ก็สมควรต้องเห็นด้วยแล้ว”

กาลเวลาผ่านไป

หลังผ่านการส่งสาส์นไปกลับเป็นระยะเวลาห้าวัน สุดท้าย พวกเขาก็ได้ร่างสัญญาการประลองเดิมพันชีวิตอันเป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่าย

หากจักรวรรดิเป่ยไห่เป็นฝ่ายชนะ นอกจากพวกเขาจะได้มณฑลหยางฉ่วนกลับคืนมาแล้ว ก็ยังจะได้มณฑลลั่วหนานของจักรวรรดิจี้กวงมาเป็นมณฑลที่สิบอีกด้วย

แต่หากจักรวรรดิจี้กวงเป็นฝ่ายชนะ มณฑลหยางฉ่วนก็จะตกเป็นของพวกเขาโดยสมบูรณ์ และห้ามมิให้กองทัพเป่ยไห่ยกกำลังพลบุกมาโจมตีอีก

นอกจากนี้ ผู้พ่ายแพ้ยังต้องมอบเครื่องบรรณาการให้แก่ผู้ชนะเป็นระยะเวลาสามปี เครื่องบรรณาการเหล่านั้นประกอบไปด้วยศิลาบูชา เหรียญทองคำและเหรียญเงิน แร่เหล็ก ผ้าไหม อาวุธ สาวงาม คัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ สูตรการเล่นแร่แปรธาตุ และสิ่งของอื่น ๆ อีกมากมาย

ยามบ่าย แสงแดดแผดจ้า

ตราประทับซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์จักรพรรดิทั้งสองจักรวรรดิก็ได้ถูกประทับลงไปบนร่างสัญญา ท่ามกลางการเป็นสักขีพยานของเหล่าขุนพลแม่ทัพผู้กล้าจากทั้งสองฝ่าย

เมื่อลงนามแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดให้เสียใจอีกต่อไป

เสี่ยวเหยียนกับองค์ชายอวี่ครอบครองสัญญาคนละหนึ่งฉบับ พวกเขามองหน้ากัน ก่อนจะก้าวถอยหลังออกจากโต๊ะการลงนาม

“เหตุไฉนข้าถึงยังไม่ได้พบท่านเทพสงครามหลิงไท่ซวีอีก?”

องค์ชายอวี่แสดงสีหน้าผิดหวัง

เสี่ยวเหยียนตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อาจเป็นเพราะองค์ชายยังไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะได้พบกับท่านผู้อาวุโสก็เป็นได้”

“จริงหรือ? ฮ่า ๆๆ”

องค์ชายอวี่ระเบิดเสียงหัวเราะและไม่ปฏิเสธ

เขาคือบุรุษผู้สูงส่งและงามสง่า ในจักรวรรดิจี้กวง องค์ชายอวี่เป็นที่รู้จักในฐานะสุดยอดนักปราชญ์ และเขาเกลียดชังการพูดจาถากถางกันเป็นที่สุด

ในเวลาเดียวกันนี้

ซูถิงฟาง หัวหน้านักบวชจากมหาวิหารเทพแห่งธนู ก็กำลังจ้องมองเด็กหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ด้านหลังกลุ่มคนไม่วางตา

สำหรับกับชายชราเช่นเขาที่ครองตำแหน่งหัวหน้านักบวชสูงสุดแห่งจักรวรรดิจี้กวงมาเป็นระยะเวลาเกือบร้อยปี ซูถิงฟางคิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้ตนเองจะได้พบกับความเป็นจริงที่ว่า หัวหน้านักบวชของวิหารเทพีกระบี่กลับเป็นเพียงเด็กหนุ่มท่าทางสะอาดสำอางผู้หนึ่งเท่านั้น

หากมิใช่มีผู้คนสืบข่าวคอยส่งข้อมูลมามอบให้ซูถิงฟางก่อนหน้านี้ ชายชราก็คงประเมินว่าเด็กหนุ่มชุดขาวคงไม่มีอะไรดีมากไปกว่าหน้าตาเลยจริง ๆ

“เพิ่งแยกจากกันเพียงไม่ถึงเดือน คุณชายหลินกลับได้ขึ้นเป็นหัวหน้านักบวชเสียแล้ว ช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก”

องค์ชายอวี่จ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาหลากหลายอารมณ์ความรู้สึก

ครั้งแรกที่เขาพบเจอเด็กหนุ่มผู้นี้ริมแม่น้ำนอกเมืองหยุนเมิ่ง องค์ชายอวี่หลงเข้าใจผิดคิดว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเพียงเด็กหนุ่มหาปลาผู้หนึ่งเท่านั้น

นับจากวันนั้นมาถึงวันนี้ ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปี

เด็กหนุ่มจอมเสเพลผู้หนึ่งจากเมืองหยุนเมิ่ง กลับกลายเป็นบุคคลสำคัญที่สามารถชี้ขาดชะตากรรมระหว่างสองจักรวรรดิได้ด้วยตัวเพียงคนเดียว

หากไม่ใช่เพราะเด็กหนุ่มผู้นี้ จักรวรรดิจี้กวงก็คงไม่ต้องถูกบีบบังคับให้หาทางออกด้วยวิธีการประลองเดิมพันชีวิตเช่นนี้หรอก

“น่ามหัศจรรย์หรือ?”

หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก “อย่าเพิ่งตื่นเต้น ข้ายังมีเรื่องราวให้ท่านได้ประหลาดใจอีกมากมายนัก”

องค์ชายอวี่คลี่ยิ้มตอบกลับมาเล็กน้อย “ข้ารู้ว่าคุณชายหลินเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตนเองเสมอ แต่เจ้าอย่าเพิ่งได้มั่นใจเกินไป คุณชายรู้หรือไม่ว่าพวกเราจี้กวงมีไพ่ตายอะไรอยู่ในมือ?”

“ไม่สำคัญหรอกว่าไพ่ตายของพวกท่านคืออะไร แต่หากพวกท่านคิดจะเล่นไพ่ ข้าก็จะเป็นเจ้ามือที่กินรวบหมดโต๊ะเอง อย่ามาร้องไห้เสียใจทีหลังก็แล้วกัน”

หลินเป่ยเฉินกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านใด ๆ

องค์ชายอวี่กล่าวต่ออีกครั้ง “จริงหรือ? แต่พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็น่าเสียดายยิ่งนัก ข้อตกลงเรื่องการขอขมาให้แก่โต๊ะบูชาของฮันปู้ฟู่ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในสัญญาฉบับนี้ เกรงว่าคุณชายหลินคงต้องผิดหวังแล้ว”

“ไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย”

หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองไปยังกลุ่มนายทหารของกองทัพจี้กวงที่ยืนอยู่ห่างออกไป “ข้าเป็นคนสั่งให้ถอนข้อตกลงนั้นออกไปเอง”

“หืม?”

องค์ชายอวี่ถึงกับหยุดชะงัก

หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าเขาและกล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “เพื่อเป็นการทำความเคารพให้แก่ท่านพี่ฮันปู้ฟู่ของข้า ข้าจะหาวิธีอื่นที่ดีมากกว่านั้น”

แค่ให้มาขอขมาเฉย ๆ น่ะ มันจะไปหายแค้นได้อย่างไร!!