บทที่ 559.1 มีความหมายที่แท้จริงของชีวิตอยู่ในนี้

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ยามสนธยา หลี่หลิ่วหิ้วกล่องอาหารขึ้นมาบนภูเขา ในกระท่อมหลังนั้น หลี่เอ้อร์กับเฉินผิงอันนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันบนโต๊ะ

การฝึกหมัดของวันนี้ หลี่เอ้อร์ไม่ได้ป้อนหมัดมากนัก เพียงแค่หยิบเอาภาพมังกรเพลิงที่วาดเส้นสายและช่องโพรงเต็มไปหมดออกมาปูวางไว้บนพื้น แล้วอธิบายถึงวิชาหมัดใหญ่ๆ ที่เก่าแก่หลายชนิดในใต้หล้านี้ให้เฉินผิงอันฟัง เส้นทางการไหลเวียนของปราณแท้จริงบริสุทธิ์ที่แตกต่างกัน ข้อพิถีพิถันและความมหัศจรรย์ที่ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังอธิบายเกี่ยวกับการแบ่งกล้ามเนื้อบนร่างกายออกเป็นห้าร้อยยี่สิบก้อน แยกแยะอธิบายสัจธรรมแห่งหมัดและปณิธานแห่งหมัดของจุดที่เล็กละเอียดแต่ละจุดอย่างเป็นรูปธรรม รวมไปถึงวิธีการขัดเกลาหล่อหลอมเส้นเอ็นกระดูกและปราณแท้จริงที่แตกต่างกันไปของวิชาหมัดแต่ละชนิด การขัดเกลาที่มีต่อเนื้อหนัง เส้นเอ็นกระดูกและเส้นชีพจร แล้วยังมีวิชาลับเฉพาะที่เป็นสมบัติก้นกรุอย่างคร่าวๆ แบบใดบ้าง อธิบายว่าเหตุใดปรมาจารย์ที่ฝึกวิชาหมัดถึงจุดที่ลึกซึ้งแล้วจู่ๆ ถึงได้ธาตุไฟเข้าแทรกกะทันหัน

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้ยินว่าผู้ฝึกยุทธยุคโบราณยังแบ่งกล้ามเนื้อเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ตามประสงค์และไม่ตามประสงค์ เกี่ยวกับการหล่อหลอมกล้ามเนื้อทั้งหลายที่มองดูคล้ายอยู่ใน ‘ดินแดนเปลี่ยวร้าง’ หากเป็นกล้ามเนื้อจุดที่อยู่ห่างไกล ความรู้ที่ใช้ก็จะยิ่งใหญ่ ผู้ฝึกยุทธทั่วไปยากที่จะหล่อหลอมโครงท่าหมัดกระบวนท่าหมัดที่สืบทอดมาจากสำนักให้สมบูรณ์แบบได้ ดังนั้นจึงมีความต่างด้านความหนาบางของรากฐานขอบเขตผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในระดับเดียวกัน

ชุยเฉิงสอนหมัดแบบเปิดใหญ่ปิดใหญ่ ประหนึ่งน้ำตกที่พุ่งดิ่งลงมาสู่เบื้องล่าง หากไม่ทันระวังแม้เพียงน้อย การรับมือย่อมเกิดข้อผิดพลาด จะกลายเป็นว่าเฉินผิงอันอยู่ไม่สู้ตาย แต่ที่มากกว่านั้นคือการขัดเกลาสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง บีบให้เฉินผิงอันต้องใช้ปณิธานที่แน่วแน่มั่นคงมากัดฟันยืนหยัด ‘เปิดภูเขา’ ให้กับเรือนกายในระดับที่ใหญ่ที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่ชุยเฉิงออกหมัดช่วยหล่อหลอมเรือนกายให้เฉินผิงอันถึงสองครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งแรกที่อยู่บนเรือนไม้ไผ่ เขาไม่ได้ต่อยลงบนร่างกายของเฉินผิงอันอย่างเดียวเท่านั้น แม้แต่จิตวิญญาณก็ยังไม่เว้น

นี่ก็เหมือนกับว่าชุยเฉิงปล่อยปณิธานหมัดหนักสิบจินออกมา เจ้าเฉินผิงอันก็ต้องกินปณิธานหมัดทั้งสิบจินให้หมดแต่โดยดี ขาดไปสักส่วนสองส่วนก็ไม่ได้ เป็นชุยเฉิงที่กระชากเฉินผิงอันให้เดินก้าวยาวๆ ขึ้นสูงไปบนเส้นทางการฝึกวรยุทธ โดยที่ผู้อาวุโสไม่สนใจเลยว่า ‘เด็กน้อย’ ในมือผู้นั้นจะเกิดตุ่มน้ำพองบนเท้า จะเลือดโชกไหลนอง กระดูกขาวจะโผล่ทะลุหรือไม่

หันกลับมาดูที่การป้อนหมัดครั้งนี้ของหลี่เอ้อร์ ก็เป็นการขัดเกลาเรือนกายเหมือนกัน เพียงแต่ถ่ายทอดทั้งรากฐานสัจธรรมวิชาหมัด แต่ในขณะเดียวกันก็ยังต้องการให้เฉินผิงอันกลับไปใคร่ครวญด้วยตัวเอง หลี่เอ้อร์ทำเพียงแค่ชี้ทางสว่างให้เท่านั้น

ทั้งสองฝ่ายไม่มีการแบ่งสูงต่ำ ก็แค่แตกต่างในเรื่องก่อนหลังตามลำดับขั้นตอนเท่านั้น ก็เหมือนอย่างที่หลี่เอ้อร์พูด หากเขาสลับเปลี่ยนตำแหน่งสอนวิชาหมัดกับชุยเฉิง เฉินผิงอันก็คงไม่มีทางเรียนวรยุทธได้อย่างในทุกวันนี้

มาถึงโต๊ะกินข้าว เฉินผิงอันก็ยังคงถามเรื่องทิศทางการไหลเวียนของปราณแท้จริงบางเส้นบนภาพมังกรเพลิงจากหลี่เอ้อร์

หลี่หลิ่วไม่ได้รบกวนคนทั้งสอง เพียงนั่งนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ในห้องมีครบทั้งโต๊ะไม้ ม้านั่งตัวยาวและเก้าอี้ไม้ไผ่

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ว่า “ท่านอาหลี่ นับตั้งแต่ที่ท่านฝึกวิชาหมัดก็ฝึกอย่างละเอียดเช่นนี้มาตลอดเลยหรือ?”

หลี่เอ้อร์ยิ้มตอบ “ก็ข้าเรียนอย่างหยาบๆ ไม่ได้ เพราะอาจารย์คอยจับจ้องมองดูขั้นตอนการเรียนของจ้าตลอดเวลา อาจารย์ไม่ได้สนใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บนเส้นทางการฝึกยุทธพวกนั้น แต่หากถึงเวลาหนึ่งที่อาจารย์รู้สึกว่าปณิธานหมัดควรหนักกี่จินกี่ตำลึงแล้ว แล้วทำให้อาจารย์รู้สึกว่าเจ้าแอบอู้แอบขี้เกียจ ก็ย่อมมีความยากลำบากรออยู่ ข้ายังดีหน่อย เพราะทำตามขั้นตอน อย่างมากก็แค่ตรากตรำฝึกฝนไปอย่างเหนื่อยยากเท่านั้น แต่ปีนั้นเจิ้งต้าเฟิงอนาถกว่าข้ามาก ข้าจำได้ว่าจนกระทั่งเจิ้งต้าเฟิงออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู ก็ยังมีหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณถูกกักอยู่กับอาจารย์ ไม่รู้ว่าภายหลังอาจารย์คืนให้เจิ้งต้าเฟิงหรือยัง แม้จะบอกว่าเป็นพี่น้องร่วมสำนักกัน แต่ปัญหาบางอย่างก็ไม่สะดวกจะถามกันง่ายๆ”

เฉินผิงอันยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม

ในเมื่อมีจิตวิญญาณไม่ครบถ้วน แล้วจะฝึกหมัดได้อย่างไร

หลี่เอ้อร์จิบเหล้าหนึ่งคำ แล้วเอ่ยว่า “เล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟังก็ไม่เป็นไร วิธีการฝึกหมัดของเจิ้งต้าเฟิงนั้นอยู่ที่ความแตกต่างของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณแต่ละเสี้ยวแต่ละดวงล้วนฝึกต่างกันไป สามจิตเจ็ดวิญญาณล้วนจำเป็นต้องมาฝึกหมัดอยู่ในความคิดสิบกว่าความคิดของตัวเอง ดังนั้นตอนที่ศิษย์น้องเฝ้าประตู มองดูเหมือนว่าชอบงีบหลับบ่อยๆ แต่เขากลับไม่ได้หลับจริงๆ ทว่าเป็นการตั้งใจฝึกวิชาหมัดอย่างยากลำบาก ส่วนศิษย์น้องหญิงซูเตี้ยนก็แตกต่างไปอีก นางพิถีพิถันในเรื่องการฝึกทั้งกลางวันกลางคืนและยังมีฝึกในความฝัน สือหลิงซานศิษย์น้องเล็กไปหล่อหลอมจิตวิญญาณอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลา มักจะต้องจมน้ำตายอยู่ข้างในนั้นเสมอ โชคดีที่อาจารย์สามารถงม ‘ศพ’ ของเขาขึ้นมาได้ วิธีการนั้นเป็นวิธีการที่ดี แต่สุดท้ายใครจะเดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดก็ยังต้องดูที่โชควาสนาของตัวเอง อาจารย์เคยเล่าว่า คนที่เดินบนเส้นทางแตกต่าง หากไม่ระวังฝึกตนจนกลายเป็นเศษสวะไร้ค่าก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน”

หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “เฉินผิงอัน ท่านแม่ข้าให้ข้ามาถามเจ้าว่า เป็นเพราะเจ้าคิดว่าที่ร้านอัตคัดเกินไปใช่ไหม ทุกครั้งที่ลงจากภูเขาถึงได้ไม่ยินดีไปค้างคืนที่นั่น”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจว่า “หากข้าค้างคืนที่นั่น ผู้คนย่อมเอาไปซุบซิบนินทา ทำให้ชื่อเสียงเจ้าในเมืองเล็กเสียหาย ต่อให้แม่นางหลี่ไม่ถือสา แต่ท่านอาหลิ่วกลับต้องคบค้าสมาคมกับพวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงอยู่ทุกวัน หากเวลาเถียงกันแล้วมีคนนอกเอาเรื่องนี้ไปพูด ท่านอาหลิ่วจะไม่กลุ้มใจแย่หรือ ต่อให้วันหน้าเจ้าแต่งงานออกเรือนไปแล้วก็ยังจะเป็นจุดอ่อนให้คนอื่นกุมไว้ในมือ ยิ่งแม่นางหลี่แต่งงานกับคนที่ดีเท่าไร พวกสตรีก็ยิ่งชอบพลิกปฏิทินเหลืองเก่าแก่มาเปิดกันเท่านั้น”

หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “เหตุผลเป็นอย่างนี้ก็จริง แต่เจ้าก็ไปพูดกับท่านแม่ข้าเองสิ”

ส่วนเรื่องการแต่งงานนั้น หลี่หลิ่วไม่เคยคิดถึงมาก่อน

เฉินผิงอันมองหลี่เอ้อร์ ต่อจากนี้ยังต้องมีการสอนหมัดครั้งสุดท้าย

หลี่เอ้อร์ต้องการให้เขาบำรุงกำลังและจิตใจให้เปี่ยมล้นสมบูรณ์เสียก่อน บอกว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แต่เฉินผิงอันกลับมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร

หลี่เอ้อร์ถาม “เหล่าผู้อาวุโสผู้ฝึกยุทธบางส่วนในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาล โครงท่าหมัดพื้นฐานของพวกเขาค่อนข้างใกล้เคียงกับท่าปรับแก้มังกรใหญ่ของเจ้า เจ้าไปแอบเรียนมาจากไหน?”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วยิ้มกล่าวว่า “ท่านอาหลี่ จะไม่ให้เป็นวิชาหมัดที่ข้าบรรลุได้เองเลยหรือไร?”

หลี่เอ้อร์หัวเราะ

สายตาเช่นนั้นไม่ต่างจากสายตาของพ่อตาที่มีชาติกำเนิดเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพใช้มองลูกเขยตัวเอง ทำเอาฝ่ายหลังไม่มีที่ให้หลบเลี่ยง

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ปิดบังต่อ เขาเอ่ยว่า “ท่าหมัดนี้เป็นท่าหมัดที่อาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวใบถงทวีปเป็นผู้สร้างขึ้น เขาชื่อว่าจ้งชิว คือราชครูของแคว้นหนันเยวี่ยน ในใต้หล้าแห่งนั้น ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าได้รับการขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์วรยุทธอริยะด้านอักษร ข้าเคยเชิญให้อาจารย์ผู้เฒ่าออกจากพื้นที่มงคลดอกบัวมาด้วยกัน น่าเสียดายก็แต่ตอนนั้นท่านอาจารย์ผู้เฒ่ามีเรื่องให้ต้องเป็นกังวลมากมาย จึงไม่ยินดีจะออกมา ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นจะเปลี่ยนใจหรือไม่”

หลี่เอ้อร์กล่าว “น่าจะมาที่ใต้หล้าไพศาล”

หลี่หลิ่วครุ่นคิด แล้วก็นึกถึงภาพบรรยากาศบางอย่างในสถานที่แห่งหนึ่งด้านข้างเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนขึ้นมาได้ “พื้นที่มงคลดอกบัวในทุกวันนี้ไม่อาจพันธนาการคนผู้นี้ไว้ได้ เจียวหลงขดตัวอยู่ในบ่อน้ำ ไม่ใช่แผนการที่ยืนยาว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “วันหน้าเมื่อข้ากลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วจะไปคุยกับอาจารย์จ้งอีกครั้ง”

หลี่เอ้อร์ดื่มเหล้าและกินกับแกล้มอิ่มแล้วก็ลงจากภูเขาไป

ส่วนหลี่หลิ่วก็อยู่บนยอดเขาสิงโตเพื่อ ‘ฝึกวิชาเซียนจากเทพเซียนผู้เฒ่าบนภูเขา’

หลี่หลิ่วหิ้วกล่องอาหารไปที่เรือนตัวเอง พาเฉินผิงอันไปเดินเล่นด้วยกัน

ครั้งนี้ยอดเขาสิงโตปิดภูเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่เพียงแต่ทางฝั่งประตูภูเขาเท่านั้นที่ห้ามเข้าออก ผู้ฝึกตนบนภูเขาก็เท่ากับว่าถูกกักบริเวณ ไม่อนุญาตให้ใครเดินเตร็ดเตร่ไปไหนตามใจชอบ

ดังนั้นคนทั้งสองที่เดินอยู่บนทางเดินจึงไม่เจอผู้ฝึกตนบนยอดเขาสิงโตสักคน

หลี่หลิ่วถาม “ออกมาจากเกาะเป็ดน้ำของถ้ำสวรรค์วังมังกร ถึงอย่างไรปราณวิญญาณบนยอดเขาสิงโตก็เบาบางกว่ามาก ปรับตัวไม่ทันบ้างหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่หรอก ปราณวิญญาณที่สะสมมาจากเกาะเป็ดน้ำ ตอนนี้ในจวนน้ำ ศาลภูเขาและจวนไม้ต่างก็ยังหล่อหลอมไม่สำเร็จ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ากินจนอิ่มนับตั้งแต่เป็นผู้ฝึกตนมา อยู่บนเกาะเป็ดน้ำ อาศัยปราณวิญญาณที่ไหลรินกักเก็บไว้ไม่อยู่พวกนั้น ข้าวาดยันต์ได้เกือบสองร้อยแผ่น ดั่งคำว่าหอใกล้น้ำได้ยลแสงจันทร์ก่อน ข้าจึงวาดยันต์มหานทีไหลสะพัดค่อนข้างเยอะ ชาดตระกูลเซียนที่ซื้อมาจากสวนน้ำค้างวสันต์ก็ถูกข้าใช้หมดในรวดเดียว”

หลี่หลิ่วเอ่ย “เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก ไม่ต้องซาบซึ้งในน้ำใจของเกาะเป็ดน้ำและหลี่หยวนมากเกินไป อันที่จริงหากหลี่หยวนฉลาดมากพอก็น่าจะมอบป้ายหยก ‘จวิ้นชิงอวี่เซียง’ ให้แก่ท่านเฉิน น่าเสียดายที่เจ้าหมอนี่ขี้เหนียวเกินไป ก็เหมือนมีฝนรสหวานตกลงมาจากฟ้าแล้วรู้จักแต่จะใช้สองมือรองรับน้ำ ไม่รู้จักยกอ่างน้ำมารอง พอฝนใหญ่ผ่านไป ก็ได้แค่ดับกระหายชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น”

เฉินผิงอันหยิบป้ายไม้ ‘พักผ่อน’ ออกมา “ไม่รู้ว่าเหตุใดตอนที่เลียบลำน้ำใหญ่ออกมาจากสำนักมังกรน้ำ หลี่หยวนถึงได้มอบป้ายนี้ให้แก่ข้า ของขวัญเบาแต่น้ำใจหนัก ไม่ได้แย่ไปกว่า ‘อวี่เซียง’ ชิ้นนั้นเลย”

หลี่หลิ่วชำเลืองตามองป้ายไม้เนื้อหยาบแล้วส่ายหน้า “แผ่นป้ายไม้ต้นส้มแผ่นนี้ไม่อาจช่วยท่านเฉินในด้านการฝึกตนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอยากจะให้การดูดซับปราณวิญญาณชะตาน้ำเหนื่อยแค่ครึ่งแต่ได้ผลเท่าตัว”

เฉินผิงอันเก็บป้ายไม้ลงไป ยิ้มเอ่ยว่า “แต่วันหน้าหากข้ามาเยือนอุตรกุรุทวีปและลำน้ำจี้ตู๋อีกครั้ง ก็สามารถไปหาหลี่หยวนแล้วดื่มเหล้ากับเขาอย่างผึ่งผายได้แล้ว แค่ดื่มเหล้ากันก็พอ หากเป็นแผ่นป้าย ‘อวี่เซียง’ นั้น ข้าไม่มีทางรับมาแน่นอน ต่อให้ฝืนใจรับมาแล้วก็มีแต่จะรู้สึกว่ามันเป็นภาระ”

หลี่หลิ่วเงียบงัน ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “ท่านเฉินน่าจะฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ดูเหมือนว่าจะขาดอีกแค่หมัดเดียว”

หลี่หลิ่วพลันเอ่ยว่า “ยังคงเป็นความหมายนั้น บนเส้นทางของการฝึกตน อย่าได้ลังเลเด็ดขาด เมื่อเทียบกับการก้าวเดินบนเส้นทางอย่างมั่นคง พัฒนาไปตามลำดับขั้นตอนของการเรียนวรยุทธแล้ว ผู้ฝึกตนจำเป็นต้องมีความคิดที่แตกต่างออกไป โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้า ล้วนต้องกล้าปรารถนากล้ารับมา ไม่อาจเกิดใจขลาดเขลา กริ่งเกรงหวาดกลัว คิดเล็กคิดน้อยกับคำเตือนที่บอกว่าโชคดีมักมาพร้อมโชคร้ายให้มากเกินไป บางทีท่านเฉินอาจรู้สึกว่าควรรอให้รวบรวมวัตถุห้าธาตุได้ครบ สร้างวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าชิ้นได้สำเร็จ สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ให้ได้ก่อน ต่อให้ตอนนั้นจะยังคงติดอยู่ที่ขอบเขตสามก็ไม่เป็นไร แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากผู้ฝึกตนมีความคิดเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเสียเปรียบกว่าแล้ว”

เฉินผิงอันใคร่ครวญตามช้าๆ

หลี่หลิ่วเอ่ยต่ออีกว่า “ในเมื่อเป็นผู้ฝึกตนก็ควรมีจิตใจหลุดพ้นจากพื้นไปหมื่นลี้ (เปรียบเปรยว่าไม่อยู่ในกรอบ ไม่คร่ำครึยึดติด) ฝึกวรยุทธก็เพื่อเดินขึ้นสู่ที่สูง ฝึกบำเพ็ญตนก็คือการเดินทวนกระแส ดังนั้นรอให้เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองแล้ว ท่านเฉินก็ควรจะครุ่นคิดหาวิธีในการฝ่าทะลุขอบเขตคอขวดสามของผู้ฝึกลมปราณได้แล้ว ขอบเขตสามขอบเขตเส้นเอ็นหลิว นับแต่โบราณมาก็คือขอบเขตรั้งคน หรือท่านเฉินยังหวังว่าตัวเองจะสามารถเดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียว?”

เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่กล้าคิด แล้วก็ไม่มีทางคิดเช่นนี้”

หลี่หลิ่วเอ่ย “ก่อนที่ข้าจะกลับมายังยอดเขาสิงโต ทางฝั่งของทวีปเกราะทองก็มีผู้ฝึกยุทธที่ใช้ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าเลื่อนเป็นขอบเขตร่างทองแล้ว ดังนั้นนอกจากศาลบู๊ของแต่ละพื้นที่ในทวีปเกราะทองแล้ว ทุกพื้นที่ล้วนสัมผัสได้ถึงและแสดงความยินดีกับคนผู้นี้ อีกแปดทวีปที่เหลือในใต้หล้าล้วนพากันแบ่งโชคชะตาบู๊ส่วนหนึ่งไปยังทวีปเกราะทอง แบ่งหนึ่งให้เป็นสอง หนึ่งมอบให้แก่ผู้ฝึกยุทธ อีกหนึ่งทิ้งไว้ยังทวีปที่ผู้ฝึกยุทธคนนั้นอยู่ ตามกฎดั้งเดิม โชคชะตาบู๊ของผู้ฝึกยุทธก็เหมือนปราณวิญญาณของผู้ฝึกตน หาใช่โชควาสนาที่ลี้ลับมหัศจรรย์ไม่ ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีอาณาเขตยิ่งใหญ่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์มากที่สุด หนึ่งทวีปก็สามารถเทียบเท่าได้กับแปดทวีป ดังนั้นส่วนใหญ่ผู้ฝึกยุทธของแผ่นดินกลางจึงมักจะได้โชคชะตาบู๊มากที่สุด แต่หากผู้ฝึกยุทธไปฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ที่ทวีปอื่น โชคชะตาบู๊ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจะมอบให้ไปมีแต่จะยิ่งมากกว่า ไม่อย่างนั้นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าก็คงถูกทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเหมารวมไว้หมด”

นี่เป็นเรื่องใหม่ที่เฉินผิงอันไม่เคยได้ยินมาก่อน

หลี่หลิ่วเอ่ยสัพยอกว่า “หากผู้ฝึกยุทธของทวีปเกราะทองคนนั้นฝ่าทะลุขอบเขตช้ากว่านี้อีกสักหน่อย เรื่องดีก็จะกลายเป็นเรื่องร้าย เพราะจะต้องพลาดโชคชะตาบู๊ไป ดูท่าแล้วคนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีชะตาบู๊ที่โชติช่วง ยังโชคไม่เลวเลยจริงๆ”

เฉินผิงอันฟังความนัยในคำพูดของหลี่หลิ่วออก หลังจากที่ท่านอาหลี่ป้อนหมัดให้เขาบนยอดเขาสิงโต เขาเฉินผิงอันก็เริ่มไล่ตามอีกทั้งยังล้ำหน้าไปเกินรากฐานขอบเขตหกของผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธคนนั้นแล้ว

แน่นอนว่าเขาย่อมดีใจ แต่ไม่ได้ลิงโลดเบิกบานใจอะไรขนาดนั้น

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “การโคจรของโชคชะตาบู๊ที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่ในอาณาเขตของเก้าทวีปนี้ ผู้ฝึกตนบนยอดเขาสามารถมองเห็นได้ทั้งหมดหรือ?”

“การไปการอยู่ของโชคชะตาบู๊ใต้หล้า เป็นเรื่องที่แม้แต่ศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อก็ยังขบไม่แตก ควบคุมไม่ได้มาโดยตลอด ในอดีตไม่ใช่ว่าอริยะลัทธิขงจื๊อไม่คิดจะจัดการ หมายจะดึงมาไว้ในกฎเกณฑ์ของบ้านตน แต่หลี่เซิ่งไม่ยอมพยักหน้าตอบตกลง เรื่องก็เลยจบลงอย่างค้างคา แต่ที่น่าสนใจมากก็คือ ทั้งๆ ที่หลี่เซิ่งเป็นคนตั้งกฎเกณฑ์เองกับมือ แต่กลับดูเหมือนว่ากฎเกณฑ์พวกนั้นจะเป็นปรปักษ์กับลัทธิขงจื๊อในรุ่นหลังเสียเอง ทางเลือกหลายอย่างที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาไปของสายบุ๋นลัทธิขงจื๊อล้วนถูกตัวหลี่เซิ่งปฏิเสธไปหมด”

หลี่หลิ่วเล่าให้ฟังอย่างต่อเนื่อง คำพูดของนางเปิดเผยความลับสวรรค์มากมาย “เว้นเสียแต่พอจะถือว่าเป็นผู้ฝึกตนยอดเขาของขอบเขตบินทะยานที่มองเจตนารมณ์สวรรค์ออก ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะสังเกตเห็นสัญญาณเหล่านั้น นอกจากนี้ก็คืออริยะปราชญ์เจ็ดสิบสองท่านของลัทธิขงจื๊อผู้เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด คำว่าแข็งแกร่งที่สุดของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเป็นเพียงแค่คนในสถานการณ์เอาตัวไปเปรียบเทียบกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกันของอีกเก้าทวีปเท่านั้น ดังนั้นพวกผู้ฝึกยุทธอย่างเฉาสือและท่านเฉิน หากติดค้างอยู่ในขอบเขตใดนานเกินไป ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันทุกคนก็ไม่ต้องวาดฝันถึงโชคชะตาบู๊ส่วนนั้นแล้ว”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าเทียบกับเฉาสือ ตอนนี้ยังห่างชั้นจากเขาไกลนัก”

หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “เป็นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่มองให้ไกลกว่าหน่อย ไปถึงขอบเขตเก้าขอบเขตสิบแล้วค่อยว่ากัน ความต่างระหว่างขอบเขตเก้าและสิบนั้น ก็คือความต่างราวฟ้ากับดินของแท้แน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อถึงขอบเขตสิบแล้ว ก็ไม่ใช่ขอบเขตปลายทางที่แท้จริงอะไรเสียหน่อย ความต่างระหว่างขอบเขตสามชั้นของขอบเขตสิบก็มีมากเหมือนกัน นับตั้งแต่ขอบเขตแรกจนถึงขอบเขตเก้า ซ่งจ่างจิ้งแห่งราชวงศ์ต้าหลีล้วนสู้พ่อข้าไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับบอกได้ยากแล้ว ซ่งจ่างจิ้งมีปราณโชติช่วงมาตั้งแต่เกิด หากมาอยู่ในชั้นของปราณโชติช่วงขอบเขตสิบเหมือนกัน ด้วยนิสัยของพ่อข้า กลับกลายจะเป็นภาระให้เขา เมื่อประมือกันก็จะต้องเสียเปรียบ ดังนั้นพ่อของข้าถึงได้ออกจากบ้านเกิดมาที่อุตรกุรุทวีป ตอนนี้ซ่งจ่างจิ้งหยุดอยู่ที่ปราณโชติช่วง แต่วิชาหมัดของพ่อข้ากลับคืนสู่ความจริงแล้ว หากทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันขึ้นมา ก็ยังคงเป็นซ่งจ่างจิ้งที่ต้องตาย ทว่าหากทั้งสองฝ่ายไปถึง ‘เทพมาเยือน’ ที่อยู่ใกล้กับคำว่าปลายทางมากที่สุดเมื่อไหร่ โอกาสที่พ่อข้าจะแพ้ย่อมมีมากกว่า แน่นอนว่าหากพ่อข้าสามารถเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบเอ็ดบนวิถีวรยุทธในตำนานได้ก่อน ขอแค่ซ่งจ่างจิ้งปล่อยหมัดออกมา คิดอยากจะมีชีวิตอยู่ก็ยังยาก แต่หากเปลี่ยนเป็นเขาที่ไปถึงก่อน พ่อข้าก็ต้องมีจุดจบแบบเดียวกัน”

เฉินผิงอันถามเสียงเบา “แต่หากท่านอาหลี่อยู่ต่อที่แจกันสมบัติทวีป อันที่จริงทั้งสองคนต่างก็ไม่มีโอกาสใช่ไหม?”

หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ “แม้จะบอกว่าไม่มีเรื่องใดที่ตายตัว แต่ก็น่าจะเป็นเช่นนี้”