ตอนที่ 2337 แล้วตอนนี้เราจะทำอย่างไร?

อัจฉริยะสมองเพชร

เห็นรอยแยกลุกลามหนักขึ้น จางเซวียนหันไปถามไก่น้อย “มีวิธีอื่นอีกไหม?”

ถึงอย่างไรไก่น้อยก็เป็นจอมราชันย์ที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ จึงอาจรู้วิธีแก้ไข

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะทำอะไรได้…” ไก่น้อยส่ายหน้าอย่างไม่สบายใจ

เมื่อครู่นี้ ตอนที่ 6 จอมราชันย์พากันแย่งชิงดอกบัวทองคำดึกดำบรรพ์แห่ง 9 น่านฟ้า ตัวมันคอยระวังหลังเพื่อจับตาดูรอยแยกแห่งมิติไม่ให้ลุกลามจนเกินควบคุม แต่แม้จะทำจนสุดกำลัง ก็ไม่อาจยับยั้งมันได้

“ไม่มีทางอื่นแล้ว…”

ขณะที่จางเซวียนกำลังจนปัญญา เสียงสุขุมนุ่มลึกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เมื่อมองไป จางเซวียนเห็นหลัวลั่วชิงยืนขมวดคิ้วอยู่ใกล้ๆ

รู้ว่าเธอคือคนที่น่าจะรู้ดีที่สุดเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ จางเซวียนตั้งคำถาม “มันเกิดอะไรขึ้นกับสรวงสวรรค์? การสำแดงกระบวนท่าของผมเมื่อครู่นี้ไม่ได้เหยาะแหยะก็จริง แต่ก็ไม่น่าจะส่งผลให้มันพังพินาศได้ขนาดนี้…”

เขารู้ดีว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ดูไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่น่าจะแย่จนถึงขั้นแก้ไขไม่ได้

แต่เพียงไม่นานหลังจากการฝ่าด่านวรยุทธ เขาก็รู้สึกเหมือนทุกอย่างในสรวงสวรรค์เสื่อมสลายไปอย่างฉับพลัน จนถึงขั้นที่เรียกว่าหมดหวัง

ได้ฟังคำถามของจางเซวียน หลัวลั่วชิงส่ายหน้าและถอนหายใจ “สรวงสวรรค์เหมือนกับดินแดนโบร่ำโบราณที่หมดพลังแล้ว ไม่อาจรองรับการถือกำเนิดของผู้มีอำนาจคนไหนได้อีก และการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของคุณกับตัวโคลนก็ทำลายรากฐานเสี้ยวสุดท้ายของมัน…”

“ทำลายรากฐานเสี้ยวสุดท้าย?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

“เพราะสรวงสวรรค์แตกฉานซ่านเซ็นแล้ว ความสามารถในการควบคุมตัวเองของมันจึงค่อยๆถดถอย ในสภาพนี้ มันไม่อาจต้านทานการฝ่าด่านวรยุทธของจอมราชันย์คนใหม่ได้” หลัวลั่วชิงอธิบาย

“ถ้าอย่างนั้น…ถ้าผมไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นจอมราชันย์ สรวงสวรรค์ก็ยังคงอยู่รอดได้อีกระยะหนึ่งใช่ไหม?” จางเซวียนถาม

นี่เขาทำผิดมหันต์หรือเปล่า?

“ไม่ใช่หรอก ต่อให้คุณไม่ฝ่าด่านวรยุทธ สรวงสวรรค์ก็ไม่น่าจะอยู่รอดเกินสิ้นเดือนหน้า ถึงอย่างไรคุณก็ต้องฝ่าด่านวรยุทธอยู่ดี…” หลัวลั่วชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เดี๋ยวก่อน สรวงสวรรค์ไม่น่าจะอยู่รอดเกินสิ้นเดือนหน้า?” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกใจ

จอมราชันย์คนอื่นๆก็อึ้ง

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้

ถ้าสรวงสวรรค์ล่มสลาย ทุกอย่างก็จบเห่ การไขว่คว้าหาอำนาจและเกียรติยศของพวกเขาจะสูญเปล่า ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาล้วนไม่ต่างอะไรกับเรื่องตลก

“คุณรู้หรือเปล่าว่าทะเลท่วมท้นมาจากไหน?” หลัวลั่วชิงตั้งคำถามขณะชี้นิ้วไปที่ทะเลท่วมท้นซึ่งแตกสลายไปแล้ว

จอมราชันย์มังกรเมฆพูดแทรก “ดูเหมือนมันจะปรากฏเมื่อ 50 ปีก่อน ตอนที่เกิดหายนะกับเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด และจู่ๆจอมราชันย์อมตะก็หายตัวไปจากสรวงสวรรค์…”

50 ปียังไม่เท่ากับอายุขัยของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งด้วยซ้ำ แต่สำหรับสรวงสวรรค์ที่อยู่มาเนิ่นนานจนไม่มีใครจำความได้ ระยะเวลาอันสั้นเท่านี้อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายมหาศาล

“ใช่ ทะเลท่วมท้นปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงเวลานั้น ดูที่ปากทางเข้าสิ ไม่เหมือนกับหลุมขนาดใหญ่ที่ถูกฉีกกระชากออกไปจากสรวงสวรรค์หรอกหรือ?” หลัวลั่วชิงถามอีก

“ก็เหมือนอยู่นะ” จางเซวียนพยักหน้า

เขาสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนที่มาถึงทะเลท่วมท้นเป็นครั้งแรก มันดูเหมือนมีใครสักคนตั้งใจฉีกกระชากท้องฟ้าของสรวงสวรรค์ให้เป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ไม่อาจซ่อมแซมได้ แต่เขาก็รีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป เพราะไม่คิดว่าจะมีใครเก่งกาจถึงขนาดจะทำแบบนั้น

อีกอย่าง สรวงสวรรค์ก็มีความสามารถในการฟื้นคืนความเสถียรให้กับมิติของมัน ก็เพราะเหตุนี้ รอยแยกแห่งมิติส่วนใหญ่ที่เกิดจากบรรดานักรบจึงมักสมานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วจนไม่เป็นภัยต่อสรวงสวรรค์

ยากจะนึกภาพออกว่าจะมีใครทิ้งร่องรอยขนาดใหญ่แบบนี้ไว้ในสรวงสวรรค์ได้

“มันถูกฉีกกระชากโดยคนคนหนึ่ง” หลัวลั่วชิงส่ายหน้าขณะอธิบายอย่างเคร่งขรึม

ทุกคนอึ้งไป

พวกเขาล้วนสร้างรอยแยกแห่งมิติให้เกิดขึ้นได้ แต่กฎเกณฑ์ของสรวงสวรรค์ก็ทำให้มันสมานตัวเข้าหากันได้อย่างรวดเร็ว

แต่รอยแยกแห่งมิติที่ปรากฏเหนือทะเลท่วมท้นเมื่อ 50 ปีก่อนยังคงเปิดอ้า ไม่เพียงเท่านั้น เวลาที่ผ่านไปก็ทำให้มันขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ…

เหล่าจอมราชันย์นึกภาพไม่ออกเลยว่าผู้ที่ทำได้จะต้องทรงพลังขนาดไหน

อีกฝ่ายเก่งกาจไร้เทียมทานยิ่งกว่าพวกเขาที่เป็นจอมราชันย์ของสรวงสวรรค์อีกหรือ?

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง…เขามาจากไหน? แล้วทำไมต้องทำลายสรวงสวรรค์?

ขณะที่ทุกคนกำลังอึ้งกับเรื่องที่ถูกเปิดเผย จางเซวียนก็พลันหวนนึกถึงรอยประทับของฝ่ามือขนาดใหญ่ที่เขาได้เห็นในทะเลท่วมท้น ก่อนหน้านี้ตัวเขาก็สงสัย แต่ยังไม่อยากเชื่อ

หรือว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ?

“เมื่อ 50 ปีก่อน จู่ๆ ฝ่ามือหนึ่งก็ยื่นลงมาจากท้องฟ้าและฉีกกระชากมิติในสรวงสวรรค์จนเกิดหลุมขนาดใหญ่” หลัวลั่วชิงเปิดเผยเหตุการณ์เมื่อ 50 ปีก่อนที่เธอรับรู้โดยไม่ปิดบัง “รอยแยกแห่งมิติกลืนกินดินแดนแห่งนี้ไปเป็นบริเวณกว้าง เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ และสุดท้ายก็กลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อทะเลท่วมท้น จอมราชันย์อมตะของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดคือหนึ่งในผู้ที่พยายามต่อสู้กับฝ่ามือนั้น แต่ลงท้ายก็ถูกมันสังหาร แล้วเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดก็กลายเป็นมิติที่มีสภาพสับสนวุ่นวาย”

“อันที่จริง แม้สรวงสวรรค์ในเวลานั้นก็ถูกแบ่งออกเป็น 3 เสี้ยว ในจำนวน 3 เสี้ยวที่กล่าวมา ลิขิตสวรรค์และมลทินสวรรค์ร่วงหล่นลงไปตามรอยแยกแห่งมิติ มันลอยละล่องอยู่ในมิติที่วุ่นวายสับสนอยู่เนิ่นนานนับปีไม่ถ้วน และสุดท้าย เศษเสี้ยวทั้งสองก็ตกไปอยู่ในมือของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์กับจางเซวียน”

ได้ยินคำนั้น จางเซวียนตัวสั่น

ดูเหมือนสิ่งที่เขาคาดเดาไว้จะถูกต้อง

ว่าแต่*…ใครกันที่ใช้พลังฝ่ามือทำลายสรวงสวรรค์? เขามีพละกำลังมากขนาดนั้นได้อย่างไร?*

“ฉันไม่รู้ว่าฝ่ามือนั้นมาจากไหนและทำไมมันต้องโจมตีสรวงสวรรค์ แต่สิ่งที่รู้ก็คือมันแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเราเหล่าจอมราชันย์จะต้านทานได้” หลัวลั่วชิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือความหวาดหวั่น “แถมทุกอย่างยังเลวร้ายกว่าเดิมตรงที่การโจมตีของคนผู้นั้นบรรจุเอาพลังงานที่มีอำนาจทำให้สรวงสวรรค์เสื่อมสลายไว้ด้วย”

“คือ…” จางเซวียนพลันนึกถึงกระแสพลังงานชั่วร้ายสีเทาที่เขาได้เห็นในหลุมดำใต้เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด มันมีอานุภาพเจือจางพลังปราณเทียบฟ้าของเขา ทำให้เรืองแสงสีเขียวออกมาก่อนจะหายวับไป

และเขาก็พบพลังงานชั่วร้ายแบบเดียวกันในทะเลท่วมท้น

พลังงานนั้นยังคงอบอวลอยู่ในรอยแยกแห่งมิติ ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมสรวงสวรรค์จึงไม่อาจสมานรอยแยกให้กลับสู่สภาพเดิมได้

ก็เหมือนกับการที่บาดแผลหนึ่งจะไม่มีวันหายดีหากโรยพริกลงไปบนแผลแทนที่จะปล่อยให้มันอยู่อย่างนั้น

เมื่อไม่อาจสมานตัวได้ รอยแยกแห่งมิติก็ดูดกลืนพลังจิตวิญญาณจากสรวงสวรรค์เข้าไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้สรวงสวรรค์อ่อนแอลงเรื่อยๆ

“สรวงสวรรค์ถูกแบ่งออกเป็นเศษเสี้ยว แถมพลังจิตวิญญาณก็ร่อยหรอลงไป เท่านี้ก็ถือเป็นปาฏิหาริย์แล้วที่พวกเราอยู่รอดมาได้ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา จากการประเมินของฉัน สรวงสวรรค์น่าจะพังทลายภายในเดือนหน้าหลังจากสิ้นสุดการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณครั้งนี้ แต่เพราะการฝ่าด่านวรยุทธพร้อมๆกันของคุณกับตัวโคลน อีกทั้งพละกำลังจากศิลปะเพลงดาบที่คุณสำแดงออกมาเพื่อปราบยาเม็ดจอมราชันย์ชั้นเลิศ เส้นตายนั้นจึงถูกเร่งให้มาถึงเร็วกว่าเดิม” หลัวลั่วชิงพูด

แม้สิ่งที่เขาทำลงไปคือการเร่งสรวงสวรรค์ให้ล่มสลายเร็วขึ้น แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด จางเซวียนก็ต้องฝ่าด่านวรยุทธอยู่ดี

เขาต้องเป็นจอมราชันย์ให้ได้ เพื่อให้เศษเสี้ยวสวรรค์ที่เขาครอบครองอยู่มีพละกำลังแข็งแกร่งเต็มที่ และเมื่อถึงตอนนั้น ก็จะมีโอกาสพลิกผันชะตากรรมของสรวงสวรรค์

ไม่อย่างนั้น ก็ทำได้แค่ยื้อสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงให้เกิดช้าลง

“แล้วตอนนี้เราจะทำอย่างไร?” จางเซวียนถามหลัวลั่วชิงอย่างร้อนใจ

เธอเตรียมการเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีก่อน ดังนั้น หากจะมีใครสักคนวางแผนแก้ไขสถานการณ์ไว้ ก็ย่อมเป็นเธอ

“มี 2 ทางเลือก ทางแรกคือกำจัดพลังงานชั่วร้ายที่มีอานุภาพบั่นทอนอำนาจสวรรค์, ส่วนทางที่ 2 คือซ่อมแซมสวรรค์ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง” หลัวลั่วชิงตอบ

จางเซวียนใคร่ครวญ 2 ทางเลือกนั้นก่อนจะตั้งคำถาม “เราจะกำจัดพลังงานชั่วร้ายที่มีอานุภาพบั่นทอนอำนาจสวรรค์ได้อย่างไร?”

เขาเคยเผชิญหน้ากับมันเมื่อตอนที่อยู่ในหลุมดำใต้เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ซึ่งพลังงานนั้นก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงสีเทาขนาดใหญ่อยู่ในหลุมดำ หากเขาอยากกำจัดมันออกไปให้สิ้นซาก ก็จะต้องใช้พลังปราณเทียบฟ้าในปริมาณมหาศาลจนแทบไม่อาจจินตนาการได้

อีกอย่าง ด้วยสภาวะที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ การกำจัดพลังงานชั่วร้ายนั่นออกไปจะเปลี่ยนแปลงการล่มสลายของสรวงสวรรค์ได้จริงๆหรือ?

“ฉันมั่นใจว่าตลอด 50 ปีที่ผ่านมา พลังงานชั่วร้ายนั่นได้พัฒนาจิตใต้สำนึกของมันจนแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ไม่อย่างนั้น รอยแยกแห่งมิติที่อยู่เหนือทะเลท่วมท้นคงไม่ขยายตัวรวดเร็วแบบนี้ ถ้าเราอยากแก้ปัญหา ก็ต้องกำจัดจิตใต้สำนึกของพลังงานชั่วร้ายให้หมดไปเพื่อยับยั้งการล่มสลาย จากนั้นก็นำเศษเสี้ยวสวรรค์ที่กระจัดกระจายกลับมารวมกันให้ได้อีกครั้งเพื่อรักษาสรวงสวรรค์ให้มีชีวิตรอด” หลัวลั่วชิงพูดหลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่ง

“แปลงร่างเป็นมนุษย์?” จางเซวียนผงะ

พลังงานชั่วร้ายนั่นกลายสภาพเป็นมนุษย์ได้จริงๆหรือ?

“ใช่” หลัวลั่วชิงพยักหน้า “ฉันไม่เคยพบมันมาก่อน จึงระบุชัดเจนไม่ได้ นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน แต่ฉันเชื่อว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นมีสูงมาก”

“เข้าใจแล้ว สมมุติว่าข้อสันนิษฐานของคุณถูกต้องนะ…คุณคิดว่ามันทรงพลังขนาดไหน? แล้วพอจะรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” จางเซวียนถาม

นี่คือข้อที่เขากังวลมากที่สุด

หากมันยังไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ขอแค่พวกเขาผนึกกำลังกัน ก็น่าจะพอมีโอกาส

“ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ไม่คิดว่าพวกเราจะสู้กับมันได้หรอก ต่อให้ตัวฉัน, แปดจอมราชันย์, คุณ และตัวโคลนของคุณผนึกกำลังกัน…โอกาสที่เราจะเอาชนะมันได้ก็มีน้อยเต็มที” หลัวลั่วชิงพูด “คุณก็รู้ว่ามันมีเรี่ยวแรงมหาศาลถึงขนาดฉีกกระชากท้องฟ้าของสรวงสวรรค์ได้ ทำให้พวกเราอับจนหนทางตลอด 50 ปีที่ผ่านมา”

จางเซวียนกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินคำนั้น

ก็จริง หากรับมือกับมันได้ง่าย พวกเขาก็คงไม่อับจนหนทางมาเนิ่นนานขนาดนี้