ตอนที่ 1040 ภูตอนธการกู่ขุย

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ณ ที่แห่งหนึ่งของหุบเขามืดอันทอดยาว ลึกเข้าไปในถ้ำภูเขาที่เร้นลับอย่างที่สุดแห่งหนึ่ง เงาคนร่างหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนศิลายักษ์ก้อนหนึ่งอย่างนิ่งสงบ รอบร่างมีประกายแสงสีแดงไหลเคลื่อนไม่หยุดอยู่เลือนราง

จู่ๆ ร่างกายของคนผู้นี้ก็ขยับเล็กน้อย เขาอุทานแผ่วเบาด้วยความฉงน ทันใดนั้นแสงสีขาวแสบตาสายหนึ่งก็ส่องสว่างขึ้นในมือ นั่นคือหินหยกสีขาวพิสุทธิ์ก่อนหนึ่ง

แสงสีขาวฉับพลันส่องสว่างทั่วถ้ำ ที่แห่งนี้คือถ้ำภูเขาธรรมชาติที่ค่อนข้างเรียบง่ายแห่งหนึ่ง นอกจากศิลายักษ์สีเขียวที่วางนอนให้คนผู้นี้นั่งขัดสมาธิอยู่ก้อนนั้นก็ไม่มีสิ่งอื่นใด

คนผู้นี้เป็นผู้เฒ่าผู้สวมอาภรณ์ตัวยาวสีแดงเพลิงผู้หนึ่ง อาภรณ์ทอแสงสีแดงเรืองๆ บนใบหน้าของเขามีรอยเหี่ยวย่นเล็กน้อย จอนผมเป็นสีขาวประปราย ดูอายุราวหกสิบปี ทั่วทั้งร่างดูไม่ออกสักนิดว่ามีจุดใดพิเศษ มีเพียงปลอกแขนสีทองเหมือนกำไลที่สวมอยู่บนข้อมือของเขาข้างละชิ้นเท่านั้นที่แลดูสะดุดตาอยู่บ้าง

หยกขาวในมือผู้เฒ่าส่งลำแสงออกมา ในแสงนั่นปรากฏอักษรตัวเล็กสีขาวหนึ่งแถว

ทันทีที่กวาดสายตาผ่านอักษรเหล่านี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

เขาเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมาเล็กน้อย จากนั้นพลิกมือเรียกแผ่นค่ายกลหินสีน้ำเงินที่ดูเรียบง่ายชิ้นหนึ่งออกมา แผ่นค่ายกลเปล่งแสงสีน้ำเงินวูบวาบแล้วสลายไปทันที

ผู้เฒ่าชุดแดงลุกพรวดขึ้นมา แสงสีแดงบนร่างส่องสว่างวูบหนึ่ง อึดใจต่อมาคนก็ไปปรากฏตัวบนท้องฟ้าเหนือยอดเขายักษ์สีดำสนิทด้านนอกถ้ำ

สถานที่แห่งนี้เดิมทีลมก็โหมแรงไม่ขาดอยู่แล้ว ทว่ายามที่สายลมบนภูเขากระหน่ำผ่านผู้เฒ่ากลับราวกับไม่มีสิ่งใด ทะลุผ่านร่างไปทันทีดุจดั่งเขาไม่มีตัวตน

สองตาของเขามีประกายสีแดงไหลเคลื่อนอยู่ ดวงตาทอประกายลึกล้ำชวนให้รู้สึกเหมือนเห็นกระจ่างทุกสิ่ง

ผู้เฒ่ามิใช่ใครอื่น เขาก็คือที่พึ่งสำคัญที่สุดในทางปีศาจร้ายของสี่ยอดนิกายใหญ่เผ่ามนุษย์ตอนนี้ หั่วเยี่ยเจินเหรินผู้ฝึกฝนผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์จากนิกายยอดบริสุทธิ์!

“ป้อมปราการไท่เทียนเกิดปัญหาแล้วจริงๆ …”

ผู้เฒ่าทอดสายตามองไปทางทิศเหนือครู่หนึ่งแล้วเอ่ยพึมพำกับตนเอง เขาหันหน้าไปมองยอดเขาสีดำสนิทเบื้องล่าง ใบหน้าฉายแววลังเล

ในฐานะผู้มีพลังแข็งแกร่งที่รักษาการณ์ในทางปีศาจร้าย สาเหตุที่เขาฝึกฝนเงียบๆ อยู่ในหุบเขามืดมาตลอดโดยไม่สนใจเรื่องยิบย่อยของสี่กองทัพใหญ่แต่อย่างใด ความจริงก็เพื่อปกป้องทางเชื่อมที่หุบเขามืดแห่งนี้ เพราะอย่างไรที่แห่งนี้ก็คือทางเชื่อมระหว่างเผ่ามนุษย์กับทางปีศาจร้าย จะยอมเสียไปไม่ได้เด็ดขาด

ผู้เฒ่าชุดแดงใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งก็สะบัดแขนเสื้อกว้าง ผ้าเช็ดหน้าไหมสีน้ำเงินผืนหนึ่งปรากฏออกมาแล้วทอแสงสีน้ำเงินวูบหนึ่ง ทันใดนั้นผ้าเช็ดหน้าไหมพลันกลายเป็นไอหมอกสีน้ำเงินไร้ขอบเขต ล้อมยอดเขาสีดำสนิทและยอดเขาขนาดเล็กรอบๆ ที่อยู่เบื้องล่างไว้ด้านใน

ต่อจากนั้นมือข้างหนึ่งของเขาพลันใช้เคล็ดวิชา หลังจากยิงเคล็ดวิชาสิบกว่าสายเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ไอหมอกสีน้ำเงินที่ลอยพัดไม่หยุดนิ่งก็หายไปไร้ร่องรอยในพริบตา ยอดเขาทั้งหมดฟื้นกลับคืนสภาพเดิมอีกครั้ง

เมื่อทำทุกสิ่งนี้เสร็จ ผู้เฒ่าชุดแดงจึงพยักหน้า ร่างกายขยับวูบเดียวกลายเป็นเมฆสีแดงก้อนหนึ่ง มุ่งเร็วรี่ไปยังป้อมปราการไท่เทียนทางทิศเหนือ

เหาะไปได้ไม่ไกลหนัก อากาศเบื้องหน้าพลันสั่นไหว เส้นสีดำเรียวเล็กกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นโดยไร้ลางบอก พวกมันพุ่งพรวดเข้าใส่เมฆอัคคีซึ่งเป็นร่างแปลงของผู้เฒ่าชุดแดงในทันใด

อากาศจุดที่เส้นสีดำพุ่งผ่านเกิดแรงสั่นไหวประหลาด รอยแยกมิติสีดำสนิทเส้นแล้วเส้นเล่าปรากฏขึ้นในพริบตา จากนั้นแรงดูดน่าตะลึงก็แผ่ออกมาจากด้านใน

ผู้เฒ่าชุดแดงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด แขนเสื้อกว้างสะบัด คลื่นอัคคีสีแดงฉานลุกโหมบนร่าง เปลวเพลิงวนล้อมรอบร่างเขาจนทั้งร่างกลายเป็นลูกบอลเพลิงเจิดจ้าแสบตาดุจดวงตะวันดวงหนึ่งลอยอยู่กลางท้องฟ้า ส่องแสงรัศมีหมื่นสายไปทั่วทุกสารทิศ

เส้นสีดำเรียวเล็กถูกแสงรัศมีแผดเผาดังชี่สลายไปเกือบครึ่ง แต่ก็ยังเหลือกว่าครึ่งพุ่งหายวับไปแล้วทะลวงเข้ามาในลูกบอลเพลิง

ลูกบอลเพลิงสั่นไหวเบาๆ แต่ไม่นานก็พื้นกลับมานิ่งสงบอีกครั้ง

อึดใจต่อมาลูกบอลเพลิงมหึมาทั้งลูกก็แยกจากหนึ่งเป็นสองก่อนจะสลายไปกับอากาศ เผยร่างของผู้เฒ่าชุดแดงออกมา ดวงตาของเขาเปล่งประกายวาวโรจน์ มองไปยังทิศทางที่เส้นสีดำพุ่งพรวดออกมาจากความว่างเปล่า ที่ตรงนั้นฟื้นกลับมาสงบแล้ว ไม่มีความผิดปกติแม้แต่น้อย

“เหอะ!”

หั่วเยี่ยเจินเหรินแค่นเสียงหยัน เปลวเพลิงรอบร่างยิ่งลุกโชน สองแขนยกไขว้หน้าร่าง ปลอกแขนสีทองบนข้อมือฉับพลันพ่นเปลวเพลิงร้อนแรงออกมารวมตัวกันเป็นลูกบอลเพลิงสีขาวใหญ่หนึ่งจั้งกว่าลูกหนึ่งเบื้องหน้า

“ไป”

ผู้เฒ่ายกมือข้างหนึ่งขึ้นชี้ ลูกบอลเพลิงหดเข้าไปตรงกลางจากนั้นเพียงชั่วอึดใจก็กลายเป็นวิหคอัคคีจิ๋วสีขาวตัวหนึ่ง สองปีกกระพือครั้งเดียว ร่างกายก็เลือนหายไปไร้ร่องรอย

ครู่ต่อมาวิหคอัคคีสีขาวพลันปรากฏตัวกลางอากาศห่างไปหลายสิบจั้งแล้วกรีดร้องเสียงแหลมสูง เปลวไฟรอบร่างมีแสงสีดำชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ สองปีกกระพือแล้วดิ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง

“ฟุบ!”

อากาศเบื้องหน้าไหวเป็นระลอกรุนแรงดุจผืนน้ำ เพียงพริบตาวิหคอัคคีก็จมหายเข้าไป จากนั้นเสียงระเบิดพลันดังกึกก้อง เปลวเพลิงสีขาวนับไม่ถ้วนพุ่งกระจายไปทั่วทุกสารทิศ แทบจะย้อมพื้นที่หนึ่งลี้กว่ารอบด้านให้กลายเป็นสีขาว ความร้อนที่แผ่ออกมาทำให้อากาศบริเวณใกล้เคียงบิดเบี้ยวจนเปลี่ยนรูป

ในตอนนี้เองใจกลางการระเบิดก็มีเงาคนสีดำสนิทร่างหนึ่งปรากฏขึ้น เขาโฉบหายไปสองสามครั้งก็มาปรากฏตัวห่างจากผู้เฒ่าชุดแดงไม่กี่สิบจั้ง ประจันหน้ากันอยู่ไกลๆ

“ภูตอนธการกู่ขุยหรือ” หลังจากแสงสีขาวแสบตารอบด้านดับลง ร่างกายของผู้เฒ่าชุดแดงนิ่งสนิท ขณะที่เอ่ยเสียงเย็นชา

“หึๆ ไม่พบหน้ากันนาน เพลิงดาราสวรรค์ของสหายยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”

เงาคนสีดำไม่ตอบคำถามของผู้เฒ่าชุดแดง หลังจากหัวเราะหยันครู่หนึ่ง ปราณสีดำก็แผ่ออกมาอย่างเชื่องช้าเผยให้เห็นร่างภูตผอมสูงที่อยู่ด้านใน ดูแล้วขนาดพอกับเผ่ามนุษย์ทั่วไป

คิ้วเรียวของผู้เฒ่าชุดแดงขยับเล็กน้อย สองตาวาวโรจน์กวาดมองภูตที่ปรากฏตัวกะทันหันตนนี้

ภูตผอมสูงตนนี้ผิวขาวเผือดผิดปกติ จมูกโด่งเป็นสัน เครื่องหน้าทั้งห้าไม่ผิดแผกจากบุรุษวัยกลางคนทั่วไปของเผ่ามนุษย์ ในมือของมันถือขลุ่ยกระดูกสีดำเลาหนึ่งอยู่อย่างไม่ใคร่จะใส่ใจ ปลายด้านหนึ่งของขลุ่ยกระดูกเป็นหัวกะโหลกสีขาวซีด เพียงแกว่งซ้ายขวาอย่างไม่ตั้งใจก็เหมือนจะมีเสียงขลุ่ยผลุบโผล่ดุจควันลอยละล่องออกมาบริเวณใกล้ๆ ล่อลวงวิญญาณผู้คน

“จู่ๆ ท่านปรากฏตัวที่นี่ คิดจะขวางข้าหรือ?” สายตาของผู้เฒ่าชุดแดงหยุดอยู่บนขลุ่ยกระดูกในมือภูตอนธการกู่ขุยครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงขรึม

“ไม่ผิด หากสหายหั่วเยี่ยมั่นใจว่าวิชาที่วางไว้ขวางผู้แซ่กู่ได้ก็จากไปเถิด” กู่ขุยยอมรับแล้วเอ่ยเสียงน่าสะพรึง

หั่วเยี่ยเจินเหรินได้ยินพลันมุ่นคิ้ว ภูตอนธการปรากฏตัวขวางทางตนที่นี่ เห็นชัดว่าอีกฝ่ายวางแผนเรื่องป้อมปราการไท่เทียนไว้ล่วงหน้าแล้ว หากเขาไปทั้งอย่างนี้ ช่องทางเคลื่อนย้ายในหุบเขามืดแห่งนี้ย่อมตกอยู่ในอันตราย

การปล่อยผีร้ายระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ตนหนึ่งเข้าไปในแผ่นดินจงเทียน หมายความว่าอย่างไร ในใจเขาย่อมรู้ชัดยิ่ง

เมื่อในใจคิดเช่นนี้ สายตาของหัวเยี่ยเจินเหรินพลันเย็นเยียบขึ้นกว่าเดิม ร่างกายขยับวูบเดียว เหนือศีรษะก็มีแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกมา ทะเลเพลิงสีแดงถาโถมออกมาโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง แล้วขยายโถมไปสองฝั่งอย่างช้าๆ

“ข้าขอแนะนำสหายว่าอย่าบุ่มบ่ามจะดีกว่า” กู่ขุยหัวเราะหยันแล้วสะบัดมือขวา ขลุ่ยกระดูกในมือพลันมีตัวโน้ตสีดำแถวหนึ่งออกมา

เสียงขลุ่ยแผ่วเบาดังขึ้นรอบด้านในทันใด ปราณหยินสีเทาทั่วทุกสารทิศทะลักออกมาจากจุดที่กู่ขุยอยู่ รอบด้านปรากฎเงาผีดำมืดร่างแล้วร่างเล่าผลุบๆ โผล่ๆ บินร่อนเต็มฟ้า เสียงหัวเราะชั่วร้ายสะท้อนก้องรอบด้าน

“บทเพลงร้อยภูตผีท่องราตรี!” ผู้เฒ่าชุดแดงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง สีหน้าถมึงทึงดูย่ำแย่อย่างบอกไม่ถูก

……

ป้อมปราการไท่เทียนเวลานี้ยังคงถูกหมอกทรงกลมสีดำมหึมาล้อมอยู่ มองจากด้านนอกไม่เห็นสภาพด้านในแต่อย่างใด

บนท้องฟ้าเหนือหมอกทรงกลม ผีแม่ทัพใหญ่ทั้งสี่ตนมารวมตัวกัน พวกเขาลอยอยู่กลางท้องฟ้า หน้าตาตื่นเต้นยินดี

รอบหมอกทรงกลมสีดำล้วนเป็นกองทัพผีดำทะมึน

แม้สังเวยภูตผีไปหลายหมื่นตนจนเวลานี้กองทัพผีร้ายเหลือกำลังพลไม่ถึงหมื่นกว่านาย แต่กำลังพลเหล่านี้เป็นยอดฝีมือในกองทัพ ดังนั้นความจริงแล้วพลังโดยรวมของกองทัพผีร้ายไม่เสียหายมากนัก

“แผนการของนายท่านกู่สำเร็จจริงดังว่า!” ผีแม่ทัพใหญ่ผมเขียวที่สวมเกราะกระดูกดวงตาเป็นประกาย น้ำเสียงแฝงแววดีใจ

“นี่ต้องขอบคุณลิ้นสาลิกาของพี่ชื่อเหมยกับผู้เฒ่าชิงที่เกลี้ยกล่อมเผ่าพื้นถิ่นเหล่านี้ให้ร่วมมือได้ มิเช่นนั้นอาศัยเพียงพวกเราคงไม่อาจแบ่งทหารเป็นห้าทางพร้อมกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการวางค่ายกลสุสานผีประตูดำนี่” ผีแม่ทัพใหญ่รูปร่างกำยำผิดปกติอีกตนหนึ่งมองผีแม่ทัพใหญ่คิ้วแดงกับผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“เหอะ! เพื่อโน้มน้าวภูตผีพื้นถิ่นโง่เขลาเบาปัญญาเหล่านั้น พวกเราจ่ายค่าแลกเปลี่ยนไปไม่น้อย แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนคุ้มค่า” ผีแม่ทัพใหญ่คิ้วแดงแค่นเสียงหยันแล้วเอ่ยต่อ

“ตอนนี้ป้อมปราการไท่เทียนแห่งนี้ถูกผนึกไว้แล้ว เมืองอื่นของเผ่ามนุษย์ย่อมถูกตัดขาดไร้ความช่วยเหลือ ช้าเร็วย่อมถูกเผ่าเราตีแตก! ฮ่าๆ รอนายท่านเชิญสิบสองรากษสจากอารามต้องห้ามมาได้ แค่ผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์กระจอกๆ คนเดียวจะขวางกองทัพผีที่ไม่พอใจของพวกเราจากการเข้าไปในโลกมนุษย์ได้อย่างไร!”

พูดถึงตรงนี้ ผีแม่ทัพใหญ่คิ้วแดงก็หัวเราะลั่น ใบหน้าเผยสีหน้าละโมบ ผีแม่ทัพใหญ่ตนอื่นก็เผยสีหน้ากระหายอยากออกมาพร้อมกัน

“ตอนนี้พวกเราจับตาการเคลื่อนไหวของเผ่ามนุษย์ในป้อมปราการไม่ได้ อย่างไรเผ่ามนุษย์ก็ตั้งฐานอยู่ที่นี่มานานปี พลังที่ซ่อนอยู่ไม่อาจดูแคลน ยิ่งอีกฝ่ายมีระดับดาราพยากรณ์สี่คนย่อมไม่อาจประมาทได้เด็ดขาด” ผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินที่ไม่พูดมาตลอดพลันเอ่ยปากขึ้น

“ผู้เฒ่าชิงไม่ต้องกังวล ต่อให้ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ของเผ่ามนุษย์สี่คนในป้อมปราการร่วมมือกันก็ไม่อาจทำลายมหาค่ายกลได้ในพริบตา พวกเราสี่ตนเฝ้าอยู่ที่นี่ย่อมรับประกันได้ว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด” ผีแม่ทัพใหญ่คิ้วแดงพยักหน้าตอบ

ผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินฟังจบก็พยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก

“ฮ่ะๆ เมื่อตกอยู่ใต้ค่ายกลนี้ ปราณหยินในป้อมปราการจะหนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องใช้เวลานานนัก ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ด้านในก็จะพลังลดฮวบฮาบหรือถึงขั้นถูกปราณหยินเข้าแทรก!” ผีแม่ทัพใหญ่ที่สวมเกราะกระดูกหัวเราะอย่างเย็นชา

“แต่พวกเราจะไม่ระวังผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์เผ่ามนุษย์คนนั้นไม่ได้ หากเขารู้สถานการณ์ที่นี่คงจะมุ่งหน้ามาช่วย” ผีแม่ทัพใหญ่ร่างกำยำขมวดคิ้วพลางเอ่ยอย่างกังวลเล็กน้อย

“เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล นายท่านกู่คิดเรื่องนี้ไว้แล้วจึงออกโรงด้วยตนเอง ผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์คนนั้นไม่มีทางปรากฏตัวที่นี่ได้เด็ดขาด” ผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินเอ่ยช้าๆ

“หากพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว” ผีแม่ทัพใหญ่ร่างกำยำถอนหายใจ