มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ถ้าจะบอกว่า ข้ายังสามารถทำให้เจ้าฟื้นฟูกลับสู่สภาพสูงสุดของเจ้าได้โดยเร็วที่สุดอีกด้วยล่ะ!”

เหลิ่งหนิงจือกล่าว “นั่นก็ไม่ได้เช่นกัน!”

มู่เฉียนซีโบกมือและกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าเต็มใจตาย เช่นนั้นเจ้าก็ควรไปตายซะ!”

หลังจากพูดจบ มู่เฉียนซีก็หันหลังแล้วเดินจากไป

นางยังต้องไปหาสอบถามว่าที่แห่งนี้คือที่ใด และที่แห่งนี้อยู่ตรงส่วนไหนของดินแดนทางทิศเหนือ

เมื่อเห็นสตรีผู้นี้กลับจากไปเช่นนี้ ช่างทำให้เหลิ่งหนิงจือตะลึงงันยิ่งนัก

ในใจของนางรู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย ไม่ง่ายเลยที่จะหลบหนีและฟื้นชีวิตคืนกลับมาได้ นางจะต้องตายอีกครั้งจริง ๆ หรือ?

นางยังไม่ได้ไปหามู่หลินหลางสตรีผู้นั้นเพื่อแก้แค้นเลย นางจะตายจริง ๆ หรือ?

ขณะที่ในใจของเหลิ่งหนิงจือกำลังตัดสินใจอย่างยากลำบาก แต่ตอนนี้ย่อมไม่สามารถปล่อยให้สตรีผู้นั้นจากไปเช่นนี้ได้ มิฉะนั้นนางคงต้องตายอย่างมิต้องสงสัย

แม้ว่านางจะไม่สามารถเคลื่อนไหวพลังวิญญาณได้ แต่ความเร็วของนางก็ไม่ช้าเลย นางรีบตามมู่เฉียนซีไปทันที

ทันใดนั้นความเร็วของมู่เฉียนซีกลับเร็วขึ้น การไล่ตามมู่เฉียนซีนั้นเป็นเรื่องยากมากสำหรับนางที่กำลังบาดเจ็บ และบาดแผลก็เริ่มฉีกอีกครั้ง

เหลิ่งหนิงจือกัดฟันและไล่ตามไปพูดกับมู่เฉียนซีว่า “ข้าอยากคุยกับเจ้า”

ด้วยเหตุนี้มู่เฉียนซีจึงตอบอย่างโหดเหี้ยมว่า “ข้าไม่อยากคุย”

เหลิ่งหนิงจือยังคงตามมา มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า เพราะในไม่ช้าเจ้าจะถูกพิษและตายตกลงไปเอง แต่ถ้าหากเจ้าทำให้ข้ารำคาญเช่นนี้ ข้าคงจะ…”

เข็มยาเข็มหนึ่งบินออกมา เหลิ่งหนิงจือเอียงศีรษะเพื่อหลีกเลี่ยงและเข็มยานั่นก็ได้ปักลงไปที่ต้นไม้ด้านหลังของนาง

เหลิ่งหนิงจือกล่าวว่า “ข้ายินดีที่จะติดตามเจ้าเป็นเวลาสามปีและภายในสามปีข้าจะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าทุกอย่าง”

มู่เฉียนซีหยุดฝีเท้าและมองไปที่เหลิ่งหนิงจือด้วยรอยยิ้มพลางกล่าว “แค่สามปี!”

“สามปี เป็นเงื่อนไขของข้า” เหลิ่งหนิงจือเองก็ประหม่าเล็กน้อย

แม้ว่าสตรีผู้นี้จะอายุน้อย แต่นางก็มีใบหน้าที่คล้ายกับมู่หลินหลางมากและก็เข้าใจยากพอ ๆ กันกับมู่หลินหลางที่เจ้าอารมณ์เลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้ นางจึงคิดไม่ถึงเลยว่ามู่เฉียนซีจะกลับยิ้มและกล่าวว่า “เวลาสามปีก็เกินพอแล้ว ตกลง!”

เมื่อได้ยินคำเหล่านี้ เหลิ่งหนิงจือก็ทรุดตัวลงกับพื้นทันที

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ! มู่เฉียนซีโยนขวดยาสองสามขวดออกมา

เหลิ่งหนิงจือเกือบจะคิดว่าขวดยานี้เป็นอาวุธลับ แต่หลังจากได้กลิ่นอันหอมกรุ่นของยาแล้วนั้น

ใบหน้าของนางแสดงอาการตกใจออกมา “ยาเม็ดระดับสวรรค์!”

“ข้าปฏิบัติต่อคนของตนเองอย่างยุติธรรมเสมอ! เจ้าจะไม่มีวันเสียใจภายหลังกับการตัดสินใจของเจ้าในวันนี้แน่”

หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าของนาง มีอำนาจบาตรใหญ่ ใบหน้าละเอียดงดงาม นิสัยที่สูงส่งเฉพาะตัว ดูเหมือนศัตรูของนางเป็นอย่างมาก แต่นางกลับไม่ได้มีความรู้สึกรังเกียจมากนัก

เหลิ่งหนิงจือเองก็ไม่เกรงใจแล้ว รีบกลืนเม็ดยาลงไปอย่างรีบร้อนและในไม่ช้านางก็รู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายเป็นอย่างมาก

มู่เฉียนซีมองเหลิ่งหนิงจือและกล่าวอย่างสนุกสนานว่า “น่าจะมีแม่น้ำอยู่ด้านหน้า ข้าคิดว่าเจ้าควรล้างเนื้อล้างตัวของตนเองให้สะอาดเพื่อให้ข้าดูเสียหน่อยว่าเจ้ามีหน้าตาที่สะสวยมากแค่ไหน?”

ใบหน้าของเหลิ่งหนิงจือแข็งทื่อ และร่างนั้นก็หายไปต่อหน้ามู่เฉียนซีในพริบตา

จ๋อม! มู่เฉียนซีได้ยินเสียงน้ำ

หากเป็นชายผู้หนึ่ง คาดว่าเมื่อได้ยินเสียงของการเล่นน้ำนี้คงจะใจเต้นรัว

แต่มู่เฉียนซีเป็นผู้หญิง และชอบผู้ชาย จึงไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

“นั่น…” หลังจากที่เหลิ่งหนิงจือทำความสะอาดตนเองเรียบร้อยแล้ว นางก็พบบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก

นั่นคือแหวนมิติของนางได้ถูกทำลายไปนานแล้ว และนางไม่มีเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว

แต่มู่เฉียนซีกลับไม่สนใจเลย ใบหน้าของเหลิ่งหนิงจือแข็งทื่อขึ้นอีกครั้ง

แช่อยู่ในน้ำอย่างเปลือยเปล่าเช่นนี้ ผิวหนังบนร่างกายจะกลายเป็นสีขาวอยู่แล้ว รวมถึงใบหน้าของนางตอนนี้ก็ประสบพบเจอกับความหนาวเย็นจนจะกลายเป็นดั่งน้ำแข็งอยู่รอมร่อ

“คุณหนูใหญ่ ข้าไม่มีเสื้อผ้า!”

มู่เฉียนชีตะลึงงันเล็กน้อย เสียงนี้มีบางอย่างผิดปกติ แปลกมาก!

คงจะไม่หนาวจนแข็งไปแล้วกระมัง!

ทันทีที่มู่เฉียนซีเคลื่อนไหวไปถึงแม่น้ำ ก็เห็นเหลิ่งหนิงจือแช่อยู่ในน้ำ

ใบหน้าที่ดูราวกับถูกแช่แข็งอยู่ในตู้เย็นเป็นเวลาหลายร้อยวันนั้น ทำให้นางรู้สึกแตกต่าง

แม้ว่าจะหนาวเย็น แต่กลับงดงามมาก

มู่เฉียนซีโยนเสื้อผ้าชุดหนึ่งไปให้และกล่าวว่า “นี่ข้ายังไม่เคยสวมใส่และถ้ามันไม่พอดีกับเจ้าก็ฝืน ๆ ใส่ไปก่อนเถอะ!”

เหลิ่งหนิงจือรีบสวมใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและมาปรากฏตัวตรงหน้ามู่เฉียนซี

นางยังคงพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “คุณหนูใหญ่ มีเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับนางที่ข้ายังกล่าวไม่ชัดเจน และข้าจำเป็นต้องบอกกับเจ้าให้ชัดเจน”

มู่เฉียนซียกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “นาง?”

“และข้าอีกคน”

สตรีที่นางเพิ่งเห็น แม้ว่าจะโหดเหี้ยม แต่กลับมีเสน่ห์ดั่งกุหลาบไฟก็มิปาน

แต่ผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้กลับเย็นชาและไม่มีกลิ่นอายของมนุษย์

มู่เฉียนซีกล่าวเบา ๆ ว่า “เจ้าพูดมาเถอะ!”

“ข้าไม่ได้เป็นคนของดินแดนโลกสี่ทิศนี้ และข้าถูกศัตรูไล่ฆ่าจึงหนีมาที่นี่ ข้าไม่รู้ว่าเมื่อไรคนของนางจะตามล่ามา แต่ถ้าข้ายังอยู่กับเจ้า เจ้าก็จะเสี่ยงมากเช่นกัน และเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างแน่นอน”

มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เจ้าบอกเรื่องพวกนี้กับข้า เจ้าไม่กลัวหรือว่าข้าจะรู้สึกว่าเจ้าไร้ประโยชน์ และปล่อยให้เจ้าดูแลตัวเอง”

“……”

สุดท้าย เหลิ่งหนิงจือจึงตอบกลับไปด้วยความเงียบ

มู่เฉียนซีกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าพูดมานี้ ข้าพอจะเดาได้แล้ว และข้ายังรู้ด้วยว่าศัตรูของเจ้านั้นชื่อ มู่หลินหลาง”

ทันทีที่กล่าวถึงมู่หลินหลาง กลิ่นอายของเหลิ่งหนิงจือก็เย็นชาลงเรื่อย ๆ

“มู่หลินหลางหน้าตาเหมือนข้ารึ? ก่อนที่เจ้าจะหมดสติ ดูเหมือนเจ้าจะคิดว่าข้าเป็นนาง?”

เหลิ่งหนิงจือมองไปที่ใบหน้าของมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “คล้าย ใบหน้าคล้ายกันมาก ก็เท่านั้นเอง”

มู่เฉียนซีถามว่า “นางเป็นใคร?”

“นางเป็นใครน่ะรึ? เมื่อความแข็งแกร่งของเจ้าได้รับการฝึกบำเพ็ญถึงจุดสูงสุดของระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้า และไปที่แดนซวนเทียนเจ้าก็จะรู้เองว่านางเป็นใคร? นางเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของแดนซวนเทียน เป็นสตรีที่มีเกียรติที่สุดในราชวงศ์จักรพรรดิตะวันออก” ใบหน้าของเหลิ่งหนิงจือปรากฏรอยยิ้มที่เย็นชาออกมา

มู่เฉียนซีตกตะลึงเล็กน้อย หรือว่ามู่หลินหลางก็คือคนผู้นั้นที่อยู่ในใจของอวิ๋นซิว

มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าเพียงแค่ทำตามข้อตกลงให้ดีก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่น ๆ ถึงเวลาค่อยว่ากัน”

เหลิ่งหนิงจือกล่าวด้วยความสงสัย “เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรกันแน่?”

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหยามเหยียดว่า “ที่จริงแล้วไม่มีอะไรเลย ข้าแค่อยากมียอดฝีมือขั้นสูงมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา มันช่างดูน่าเกรงขามนัก เมื่อถึงเวลาบุกเข้าไปเจอปัญหา เจ้าที่สามารถต่อสู้ได้ขนาดนั้น ก็คงไม่มีใครทำอะไรข้าได้ จริงไหม?”

มุมปากของเหลิ่งหนิงจือกระตุกเล็กน้อยและนางไม่เข้าใจสาวน้อยผู้นี้จริง ๆ

บางทีก็อ่อนโยน บางทีก็ทำตามใจตนเอง ดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

“ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย ย่อมไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายคุณหนูใหญ่”

มู่เฉียนซียิ้มและกล่าวว่า “ข้าชื่อมู่เฉียนซี ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”

เหลิ่งหนิงจือตะลึงงัน กลับนามสกุลมู่เช่นเดียวกัน แต่ถ้าเป็นนามสกุลมู่ของราชวงศ์จักรพรรดิตะวันออกจริง ๆ นางก็คงไม่มีทางมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้

นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าชื่อเหลิ่งหนิงจือ”

มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ต่อไป ข้าจะฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่เพื่อเพิ่มระดับความแข็งแกร่ง ส่วนเจ้าก็จงพักฟื้นให้ดีเถอะ!”

หลังจากพูดชัดเจน มู่เฉียนซีก็เริ่มฝึกบำเพ็ญ

เหลิ่งหนิงจือมองไปที่มู่เฉียนซีจากด้านข้าง จับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาและต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง

ทั้งที่ความแข็งแกร่งเพียงระดับจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หนึ่ง แต่กลับมีทักษะวิญญาณกระบี่ที่แข็งแกร่งและการต่อสู้ข้ามระดับก็ไม่ใช่ปัญหา

ในหมู่คนที่นางรู้จัก อย่างเช่นมู่หลินหลางเอง ตอนอยู่ในระดับจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หนึ่ง ก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพการต่อสู้เช่นนี้

จากนั้นมู่เฉียนซีก็คว้าสมุนไพรวิญญาณและกวาดมันออกไป เหลิ่งหนิงจือสงสัยว่าคุณหนูใหญ่ผู้นี้ต้องเป็นนักปรุงยาอีกทั้งระดับไม่ต่ำด้วย

มิฉะนั้นแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้ยากินเป็นถั่วน้ำตาลเช่นนี้ และยังมีความสามารถรักษานางอีกด้วย

หลังจากต่อสู้ไปสองสามวัน มู่เฉียนซีไม่ได้พบเจอใครสักคน และไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ในเวลานี้เอง นางก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ลูกพี่! ดูเร็ว มีสองสาวงามอยู่ด้านนั้น!”