“เหตุใดจึงไม่ใช้สมบัติอริยะตั้งแต่แรก”
ข่งหลิงขมวดคิ้วถาม
“เพราะหลินสวินยังไม่มีคุณสมบัติมากพอ!”
หม่าหยวนชิงพูดเรียบๆ “ทุกคนต่างรู้ว่าในมือของเขามีสมบัติอริยะ และเคยใช้สิ่งนี้สังหารผู้แข็งแกร่งระดับราชัน แต่นั่นเป็นเพียงผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด เมื่อมีการป้องกัน ถึงจะให้สมบัติอริยะสิบชิ้นกับเขาก็ไม่สามารถฆ่าราชันได้แม้แต่คนเดียว!”
“สมบัติอริยะแม้จะดี แต่ก็ต้องมีพลังที่คู่ควรจึงจะใช้พลังทั้งหมดของมันออกมาได้ พลังเล็กน้อยของเจ้าหมอนี่ เกรงว่าแม้แต่อานุภาพเพียงหนึ่งในพันของสมบัติอริยะก็ไม่สามารถใช้ได้
หยุดไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดต่อว่า “ใช้สมบัติอริยะครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อฆ่าเด็กนี่ จุดประสงค์ง่ายมาก นั่นคือเพื่อสกัดพลังของขุมอำนาจอื่นๆ ก็เท่านั้น “
ข่งหลิงเพิ่งจะเข้าใจ
……
น้ำทะเลสีเงินระลอกคลื่นเงียบสงบ เกาะสันโดษเสมือนตัวหมากประดับอยู่ภายใน
หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนโขดหินลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าสงบ
เขาสังเกตเห็นแล้ว ว่าศัตรูกลุ่มที่สองกำลังมุ่งหน้ามาจากไกลๆ
สวบ! สวบ! สวบ! สวบ! สวบ! สวบ!
ครั้งนี้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาหกคน แต่ละคนอานุภาพคับฟ้าทะลวงอากาศเข้ามา ราวกับนายเหนือหัวมากมาย มายืนอยู่รอบเกาะสันโดษ
ตอนแรกที่พบว่าหลินสวินอยู่ที่นี่โดยไม่หลบไม่หนีก็ทำให้พวกเขาอึ้งไม่น้อยเช่นกัน จากนั้นต่างขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
ทีแรกพวกเขาล้วนคิดว่าราชันกลุ่มแรกที่เคลื่อนไหวยังตามหาหลินสวินไม่พบ หรือไม่ก็เจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดบางอย่าง จึงมาเสริมกำลัง
ใครจะคิดว่า ทันทีที่เข้าสู่ส่วนลึกของทะเลหมากดาราก็เจอหลินสวินทันที
นี่ก็แปลกประหลาดแล้ว
“พี่ชายตัวน้อยเห็น… คนอื่นบ้างหรือไม่”
โม่เจินที่มาจากแดนพิสุทธิ์อมตะพูดขึ้น ยิ้มอย่างน่าดึงดูด ท่าทางหยาดเยิ้ม รูปลักษณ์ของนางเหมือนสาวน้อย ชุดคลุมเขียวราวกับสายน้ำ สีหน้าเย้ายวน
“เห็น” หลินสวินกล่าวอย่างสบายๆ
ราชันที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างนัยน์ตาหดรัด
โม่เจินแววตาวูบไหวกล่าว ”แล้วพวกเขาล่ะ”
หลินสวินยื่นมือชี้ไปที่น้ำทะเลสีเงินตรงหน้าพร้อมพูด “พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อไว้อาลัยผู้ตายหรือ ข้าได้ฝังศพพวกเขาไว้ที่นี่แล้ว”
สีหน้าของเหล่าราชันมืดทะมึน ในดวงตาวาบประกายเย็นเยียบ ยิ่งรู้สึกแปลกมากขึ้นเรื่อย ๆ
ระดับกระบวนแปรจุติรุ่นเยาว์คนหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นผู้กล้าขอบเขตมกุฎ แต่ในเวลานี้เขาดูนิ่งเกินไป ไม่เหมือนกำลังรอความตาย แต่เหมือนรอคอยพวกเขาอยู่ตลอดมากกว่า!
สิ่งนี้ทำให้เหล่าราชันต่างเกิดความสงสัย มองหน้ากันไปมา ล้มเลิกความคิดชั่ววูบที่จะลงมือในทันที ตัดสินใจทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดก่อน
ในส่วนลึกของหัวใจ ความจริงพวกเขาไม่เชื่อคำพูดของหลินสวินเลยสักนิด คิดว่าเขาคุยโวโอ้อวดและพูดจาเหลวไหล
“พี่ชายตัวน้อยอย่าล้อเล่น พี่สาวอย่างข้าหัวใจไม่แข็งแกร่ง คุยกับพี่สาวดีๆ ได้หรือไม่”
น้ำเสียงของโม่เจินนุ่มนวล เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนชวนใจสั่น
นางงดงามมากจริงๆ ทุกท่าทาง ทุกอิริยาบถ แฝงกลิ่นอายความเป็นธรรมชาติ ทำให้ราชันคนอื่นๆ เหลียวหลังอย่างควบคุมไม่อยู่ ลอบด่าในใจว่าผู้หญิงแดนพิสุทธิ์อมตะช่างพราวไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน
หลินสวินขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ยายแก่ เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว ยังเรียกตัวเองว่าพี่สาว เจ้าคุยกับข้าดีๆ ได้ไหม รู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าแก่แล้วยังไม่เจียมตัว”
ใบหน้าของโม่เจินเปลี่ยนไปทันที ยายแก่หรือ เจ้าเดรัจฉานสมควรตาย ปากดันร้ายขนาดนี้!
“เจ้าหมอนี่ ในเมื่อพูดด้วยดีๆ ด้วยไม่ยอมเชื่อฟัง ก็คงต้องใช้กำลังแล้ว! คิดว่าในมือมีสมบัติอริยะก็จะไม่เห็นพวกข้าในสายตาได้หรือ”
ใบหน้าของโม่เจินเยียบเย็นราวน้ำค้างแข็ง คำพูดเปลี่ยนไปกะทันหัน เสน่ห์หายไป ถูกไอสังหารที่กระทบใจผู้คนเข้าแทนที่
ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้นางมีเสน่ห์เย้ายวน นางในตอนนี้ก็เหมือนเปลี่ยนเป็นอสูรหญิง!
ความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลงทำให้ราชันคนอื่นๆ ใจสั่น ตระหนักได้ว่าผู้หญิงคนนี้สามารถเป็นราชันได้ อย่าดูถูกเด็ดขาด
กลับเห็นหลินสวินราวกับไม่รู้สึกรู้สา ดวงตาดำเย็นเยียบกวาดมองราชันทั้งหกในที่นั้นแล้วเอ่ย “หากพวกเจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อไว้อาลัยคนตาย เช่นนั้นพวกเจ้าก็มารนหาที่ตาย”
เขายื่นมือชี้นิ้วไปที่ทะเลอันไกลโพ้นอีกครั้งพร้อมพูดว่า “ที่แห่งนี้เป็นเหมือนสุสาน ทะเลแห่งนี้ราวกับโลงศพ มากเกินพอจะฝังเดรัจฉานอย่างพวกเจ้าร้อยคนพันคน ตอนนี้ข้าจะส่งพวกเจ้าลงนรกกับมือ!”
ตอนที่สิ้นเสียงเขาก็พุ่งขึ้นอากาศแล้ว
ตูม!
บนท้องฟ้าดวงดาวนับหมื่นปรากฏ ปลดปล่อยประกายดาราหมื่นล้านอาบเงาร่างหลินสวินจนเจิดจ้าสว่างไสว ไอสังหารอันน่ากลัวไร้ขอบเขตแพร่กระจายออกไป
พวกโม่เจินยิ้มเยาะในใจ ดูนิ่งมาก ไม่ตื่นตระหนกเลยสักนิด
พวกเขาเดาออกตั้งนานแล้วว่า หลินสวินกล้ารออยู่ที่นี่อย่างไม่เกรงกลัว ล้วนเพราะมีที่พึ่งพิง ส่วนที่พึ่งของเขาก็หนีไม่พ้นสมบัติอริยะและกระบวนผนึกมรรคราชัน
ภาพตรงหน้าไม่ได้ทำให้พวกเขาตกใจ
ทว่าเพียงพริบตาเดียวพวกเขาก็ชะงัก นัยน์ตาหดรัดโดยพลัน สังเกตเห็นว่าคลื่นต้องห้ามที่เคลื่อนอยู่ในฟ้าดินผืนนี้ แตกต่างจากกระบวนผนึกมรรคราชันอย่างสิ้นเชิง
“นี่คือพลังต้องห้ามไร้เทียมทานที่ปกคลุมอยู่ในทะเลหมากดารา เจ้าเดรัจฉานนี่คิดจะยืมดาบฆ่าคน!”
จงเหวินหย่วนแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าส่งเสียงตะโกน เปิดกล่องกระบี่ออกมา กระบี่สีเขียวยาวสามฉื่อเล่มหนึ่งพุ่งทะลวงฟ้าขึ้นมา
ชั่วขณะนั้นราวกับมีเทพกระบี่องค์หนึ่งปรากฏตัวกลางอากาศ ปลดปล่อยประกายคมอริยะมรรค!
กระบี่เทียมฟ้า!
กระบี่นี้โค้งงอบาดตา ไม่สามารถจ้องมองได้ มีอานุภาพอันน่ากลัวไม่อาจประเมิน เป็นหนึ่งในอาวุธสำคัญพิทักษ์สำนักชั้นยอดของสำนักกระบี่เทียมฟ้า
ทันใดนั้นจงเหวินหย่วนเปลี่ยนเป็นหยิ่งยโสและมั่นใจอย่างที่สุด ไม่กระวนกระวายสักนิด
ในเวลาเดียวกัน…
ครืนโครม!
โม่เจินสะบัดมือคราหนึ่ง ตำหนักอมตะก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ราวกับหลอมจากสำริดโบราณ รอบๆ ตำหนักสลักลายมรรคคลุมเครือ เผยภาพอันยิ่งใหญ่อย่างสุริยันจันทราและหมู่ดาว ภูผาธาราไพศาลเป็นต้น
วู้ม!
ร่มคันหนึ่งกางออก พื้นผิวปรากฏรัศมีเทพสีม่วงเขียวสองสาย สำแดงเป็นภาพหยินหยาง ราวกับสามารถบดบังและแยกท้องฟ้า
ร่มรุ้งสมบัติม่วง!
ชายชราเคร่งขรึมของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณถือร่มขวางกั้นท้องฟ้า เงาร่างสูงใหญ่
ตูม!
แสงโลหิตบาดตาทั่วฟ้าปะทุขึ้น วิวัฒน์เป็นเงามายาเทพมารมากมาย พิทักษ์อยู่รอบๆ ประทับสีเลือด กู่ร้องกลางฟ้าดิน
ประทับนรกโลหิต!
อานุภาพรอบตัวโก่วหยางเจี่ยก็เปลี่ยนไปด้วย
ฉัวะ!
บรรทัดหยกเขียวที่รัดพันด้วยสายฟ้าสะดุดตาปรากฏขึ้น ก้าวเพียงสี่นิ้วมือ ยาวสองฉื่อ แต่ภายในกลับปลดปล่อยพลังแข็งกร้าวเผด็จการที่เพียงพอจะทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือน
บรรทัดสยบฟ้า!
สมบัติพิทักษ์สำนักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ตอนนี้ถูกชายกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยในชุดผ้าไหมคนหนึ่งควบคุม
ด้านสำนักยุทธ์สมุทรคราม ในมือบัณฑิตวัยกลางคนผู้หนึ่ง ตำราหยกสีทองโฉบเข้ามา รัศมีแสงทองอร่ามว่ายวน แผดเผาห้วงอากาศ
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน สมบัติอริยะหกชิ้นปรากฏกลางฟ้าดินผืนนี้ เพียงแค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็ทำให้เมฆลมเปลี่ยนสี ห้วงอากาศยุบทลายโอดครวญ
นี่เป็นภาพที่สามารถสะเทือนโลกอย่างไม่ต้องสงสัย ในอดีต การจะเห็นสมบัติอริยะชิ้นหนึ่งปรากฏยังเป็นเรื่องยาก แต่ตอนนี้กลับมีถึงหกชิ้น!
“เดรัจฉานน้อย เจ้ายอมให้จับโดยดีเถอะ ในสถานการณ์เช่นนี้เจ้าจะเอาอะไรมาสู้กับพวกเรา”
สีหน้าของโม่เจินเย็นชา คำพูดเต็มไปด้วยความดูถูก
เดิมทีสมบัติอริยะถูกพวกเขาเอามาใช้เพื่อสกัดคู่ต่อสู้ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ถือสาที่จะใช้สมบัตินี้ฆ่าหลินสวินก่อน
ดวงตาดำของหลินสวินหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะกลับสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว
สมบัติอริยะ?
อยู่ในความคาดหมายของเขาตั้งแต่แรกแล้ว!
“ในอดีตที่ผ่านมา แม้แต่อริยะเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ยังยากจะรอดออกไป สุนัขเฒ่าอย่างพวกเจ้า คิดว่าด้วยสมบัติแค่นี้ก็สามารถทำตามอำเภอใจได้แล้วหรือ”
เสียงของหลินสวินไม่ดัง แต่กลับเผยไอสังหารไร้จำกัด
“เฉือน!”
หลินสวินตะโกน ชิงลงมือก่อนแล้ว ประกายดวงดาวซึ่งไม่มีที่สิ้นสุดรวมตัวกันในอากาศ แปรเป็นดาบยาวเจิดจ้าตะลึงโลก ราวกับดาบตัดมหามรรค
จากนั้นเล็งไปที่โม่เจิน ฟันลงไป
ตูม!
ที่แห่งนี้ท้องฟ้าปั่นป่วน น้ำทะเลพลิกตลบ หนึ่งดาบฟันลงมา ฟ้าดินตะลึงเทพผีร่ำไห้ ราวกับบทลงโทษจากสวรรค์
“เด็กนี่ถึงกับใช้พลังต้องห้ามทะเลหมากดาราได้?”
โม่เจินสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตำหนักอมตะเปล่งแสงโดยพลัน ปลดปล่อยลำแสงสีสำริดทั่วฟ้า แปรเป็นเงามายาสูงใหญ่ กระแทกหมัดหนึ่งใส่ดาบยาวทันใด
โครม!
ทว่าเงามายาสกัดไว้ไม่ได้ ดาบยาวราวกับทัณฑ์สวรรค์ ฟันหมัดจนแหลกละเอียด ผ่าร่างกายมันออก แตกสลายกลายเป็นละอองแสงพันหมื่น
สุดท้ายดาบยาวร่วงลงไป ฟันใส่ตำหนักอมตะ เกิดเสียงปะทะสะเทือนหูขึ้นมา
ตำหนักอมตะส่ายสั่นคล้ายจะร่วงหล่น ลำแสงสั่นไหวรุนแรง ส่วนโม่เจินกลับถูกพลังสะท้อนกลับ ร่างกายประหนึ่งโดนสายฟ้าฟาด สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ใบหน้างามซีดเซียว ปากกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
“เหตุใดจึงน่ากลัวเพียงนี้” โม่เจินพลันกรีดร้องออกมา
ระดับราชันคนอื่นๆ ก็ตกใจอย่างที่สุด เดิมทีพวกเขาคิดว่ามีสมบัติอริยะในมือ ก็ไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใดแล้ว การสังหารหลินสวินก็เหมือนกับบี้มดตัวหนึ่ง
ใครจะคิดว่าพลังต้องห้ามไร้เทียมทานที่ราวกับดาบตัดมหามรรคนั่นจะน่ากลัวเกินไปจริงๆ เหนือความคาดหมายของพวกเขา ทำให้พวกเขาทำอะไรไม่ถูก ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“ฆ่า เข้าไปพร้อมกัน สังหารสุนัขตัวนี้ซะ!’
ระดับราชันคนอื่นๆ สบตากัน แล้วพุ่งออกไปพร้อมกัน
เพราะสิ่งที่โม่เจินประสบ ทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่าพลังของทะเลหมากดารานั่นน่ากลัวเพียงใด ในใจต่างสะท้านไหว
อีกอย่างพวกเขาไม่อาจไปสนใจได้ว่า เหตุใดคนรุ่นเยาว์ระดับกระบวนแปรจุติอย่างหลินสวิน จึงสามารถใช้พลังของทะเลหมากดาราได้
เฉือน!
กระบี่เทียมฟ้าในมือจงเหวินหย่วนส่งเสียงครวญใส คมกระบี่ราวกับสายฟ้า ปลดปล่อยแสงอริยะมรรคเฉือนออกไปทันที
ตูม!
ประทับนรกโลหิตทะยานอากาศ เงามายาเทพมารทับซ้อนกัน กดข่มห้วงอากาศลงมาอย่างแรก
ฉึบ
ร่มรุ้งสมบัติม่วงหมุนอยู่กลางอากาศ ห้วงอากาศพลันระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ไอม่วงเขียวสองสายแปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งมังกรหนึ่งเสือ กึกก้องจักรวาล
ในเวลาเดียวกันบรรทัดสยบฟ้าโฉบขึ้น ตำราหยกสีทองพุ่งขึ้นฟ้า…
ชั่วขณะนั้นกลางฟ้าดินมีสมบัติอริยะมากมายสำแดงฤทธิ์ เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ไม่มีที่สิ้นสุด ย้อมทะเลผืนนี้ให้เป็นสีสันงดงาม
กลิ่นอายทำลายล้างอันน่ากลัวไร้สิ้นสุด ราวกับพิบัติเคราะห์วันสิ้นโลกมาเยือน ถ้าเป็นราชันคนอื่นๆ คงถูกฆ่าในชั่วพริบตาแล้ว!
เพราะนี่ตะลึกโลกและน่ากลัวเกินไป แม้ราชันเหล่านี้ไม่สามารถใช้อานุภาพของสมบัติอริยะได้อย่างเต็มที่ แต่พลังระดับนั้นยังคงน่ากลัวอย่างเหนือจินตนาการ!
และตอนนี้ หลินสวินเองก็กำลังลงมือ
เขาก้าวย่างไปตามตำแหน่งดวงดาว ประกายดาราบนร่างกายยิ่งจรัสแสง ราวกับเป็นนายแห่งหมื่นดารา เพิ่มพูนคลื่นพลังต้องห้ามให้เขาอย่างไม่ขาดสาย
เขาอาบแสงดารา ทุกอณูรูขุมขนขยายออก เป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินผืนนี้ ผสมผสานเข้าด้วยกัน เงาร่างยิ่งดูสว่างไสว
ตูม!
เงาร่างของหลินสวินขยับเบาๆ คราหนึ่ง พลังต้องห้ามแผ่ออกไปสิบทิศ ราวกับค่ายกลวัฏจักรดาราอันหนาแน่นคลุมเครือโคจรพลุ่งพล่าน
อานุภาพสมบัติอริยะที่พุ่งสังหารเข้ามา ถูกทะลวง ระเบิดและสลายไปในชั่วพริบตา!
เป็นไปได้อย่างไร
ราชันเหล่านั้นตกใจ ลูกตาแทบหลุดออกมา
ส่วนหลินสวินได้ก้าวออกไปตั้งนานแล้ว ราวกับเคลื่อนไหวในชั่วพริบตา ปรากฏตัวตรงหน้าโม่เจิน กำปั้นห่อหุ้มพลังต้องห้ามกระแทกออกไปอย่างแรก
ตูม!
ราวกับแสงดารากระแทกพื้น เจิดจ้ารุนแรง
โม่เจินใช้ตำหนักอมตะขวางกั้น กลับคิดไม่ถึงว่าสมบัติอริยะพิทักษ์สำนักของแดนพิสุทธิ์อมตะชิ้นนี้ ทันทีที่เข้าปะทะก็ถูกกระแทกจนปลิวไปทั้งอย่างนั้น เกิดเสียงคำรามราวกับจะฉีกแก้วหู
พรวด!
ในเวลาเดียวกันโม่เจินกระอักเลือดอีกครั้ง จิตวิญญาณสะเทือนอย่างรุนแรง เลือดลมตีกลับ ทรมานจนเกือบจะร่วงจากกลางอากาศ
และนี่ เป็นเพียงแค่อานุภาพหมัดเดียวของหลินสวินเท่านั้น!
……………….