บทที่ 1791 บังคับ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เรื่องนี้เหมียวอี้เคยได้ยินจิ้งจอกสามหางบรรยายผ่านเกาก้วน ตอนนี้พอได้ยินศีลแปดเอ่ยถึงอีก ก็นับเป็นเรื่องอัปยศของไต้ซือศีลเจ็ดจริงๆ เพียงแต่เหมียวอี้ขัดตาที่เห็นศีลแปดมีท่าทีแบบนี้ต่อไต้ซือศีลเจ็ด จึงกล่าวเสียงต่ำว่า “มีใครเขาว่าอาจารย์ตัวเองแบบเจ้าบ้าง? ตามที่เจ้าบอก กำลังว่าอาจารย์สู้ตัวเองไม่ได้ใช่มั้ย?” น้ำเสียงแฝงความหมายเหน็บแนม

ศีลแปดเถียงว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ขอวิธีที่สอดคล้องกับความเป็นจริงๆ และเป็นการหวังดีต่อเขาด้วย ไม่อยากทำร้ายเขาก็เท่านั้นเอง ท่านไม่ต้องพูดเลย ในด้านนี้ตาแก่นั่นเทียบข้าไม่ติดจริงๆ ถ้าให้เขามาฝึกตนที่นี่ ไม่สู้ให้ข้าอยู่ฝึกที่นี่ดีกว่า เขาอยู่ที่นี่ก็ทนได้ไม่นานหรอก อย่าถลึงตาดุข้าสิ ข้าพูดจริงนะ ความเศร้าโศกสุขสันต์ รักโลภโกรธหลง ขื่นขมหอมหวานในภาพพวกนี้คืออะไรล่ะ? มันคือสิ่งชาวพุทธเรียกว่าทะเลทุกข์ไง ตาแก่โล้นมักจะพูดติดปากว่าทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต หันกลับมาจะเจอฝั่ง เขาไม่ได้แค่พูดหรอกนะ แต่เขาเก่งหลักการนี้จริงๆ เพราะเขาทำได้เด็ดขาดกว่า เขาไม่เคยเข้าไปอยู่ในทะเลทุกข์เลย เมื่อไม่รู้จักรสชาติที่แท้จริงของทะเลทุกข์ แล้วจะบรรลุแก่นธรรมได้ยังไง? ด้วยจิตใจอย่างเขา ถ้าลงมาในทะเลทุกข์จริงๆ ก็จะจมตาย เพราะเขาว่ายน้ำไม่เป็น แต่ข้าไม่เหมือนเขา เพราะเดิมทีข้าก็แช่อยู่ในทะเลทุกข์อยู่แล้ว ข้าว่ายน้ำเก่ง การไม่จมน้ำตายต่างหากถึงจะมีโอกาสบรรลุแก่นธรรมได้ คนที่ตกน้ำแล้วจมลงลึกทันทีจะบรรลุแก่นธรรมได้ยังไง อาจจะหวาดกลัวและร้องขอความช่วยเหลือมากกว่า ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ถ้าเขามาที่นี่ก็จะเข้าแล้วออกไม่ได้ ข้ายังออกได้ง่ายกว่าเขาอีก เพราะจิตทางโลกของข้าหนักกว่าเขา”

บ่นมาชุดใหญ่ แต่เหมียวอี้ไม่ค่อยสนใจเท่าไร ถามเพียงว่า “เจ้าหมายความว่า เจ้ามีโอกาสฝึกพุทธธรรมไร้ขอบเขตนี่สำเร็จงั้นเหรอ?”

ศีลแปดส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ข้าเข้าใจเจตนาของพี่ใหญ่ พี่ใหญ่พาข้ามาที่นี่เพราะไม่อยากให้น้ำปุ๋ยไหลเข้านาคนอื่น ท่านคงอยากให้ข้ามาฝึกพุทธธรรมไร้ขอบเขตที่นี่ใช่มั้ยล่ะ? แต่ทะเลทุกข์มันก็ไร้ขอบเขตจริงๆ ไม่ใช่เรื่องหันกลับเจอฝั่งแล้ว แต่ต้องดูว่าปลายขอบทะเลทุกข์อยู่ตรงไหน ข้าไม่ได้มีแน่วแน่และพลังกายยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไม่มีทางว่ายน้ำถึงฝั่งจนบรรลุธรรมได้ ต้องทำให้พี่ใหญ่ผิดหวังแล้ว”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “แม้แต่มหาเคล็ดวิชาที่พระปีศาจหนานโปหวาดกลัว เจ้าจะไม่อยากฝึกเชียวเหรอ?”

“อยากสิ!” ศีลแปดพยักหน้า แล้วยักไหล่สองข้างอีก “แต่ถ้าอยากเฉยๆ ก็ไม่มีประโยชน์ ข้าทำไม่ได้ไง! ของที่คนหลายยุคของสำนักหนานอู๋ทุ่มเทสร้างขึ้นมา ถ้าฝึกได้สำเร็จง่ายขนาดนั้น สำนักหนานอู๋มีคนตั้งมากมาย ทำไมไม่มีใครฝึกสำเร็จสักคนล่ะ ไม่ใช่เพราะฝึกให้สำเร็จได้ยากหรอกเหรอ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพระปีศาจหนานโปแล้ว”

“เจ้ายังไม่เคยลองเลย จะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองฝึกไม่ได้?” เหมียวอี้ถาม

ศีลแปดตอบว่า “อันนี้ยังต้องลองอีกเหรอ? เป็นไปไม่ได้ที่จะทำสำเร็จ ถ้าเสียเวลากับเรื่องที่รู้ชัดอยู่แล้วว่าทำไม่สำเร็จ อาตมาคงสมองมีปัญหาแล้วล่ะ ตามความเห็นของข้านะ คิดหาทางหั่นห้องสมบัตินี้ไปดีกว่า ขนย้ายสมบัติไปก็พอแล้ว”

เหมียวอี้หน้าเครียดขรึมลงทันที “เจ้าบอกเองว่าภาพฝาผนังคือสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ เจ้าตัดใจทำลายมันลงเหรอ?”

ศีลแปดหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “พูดก็ส่วนพูด ประเด็นก็คือไม่มีใครฝึกวิชาพุทธธรรมไร้ขอบเขตสำเร็จ ถ้าพี่ใหญ่สามารถหาใครสักคนที่สามารถฝึกสำเร็จมาได้ ข้าก็จะมอบสมบัติในห้องนี้ให้เขาแบบไม่คิดเงินสักแดงเลย”

“ไม่จะไม่ยอมลองจริงๆ ใช่มั้ย? ถ้าเจ้ายอมทดลอง สมบัติที่นี่จะเป็นของเจ้าทั้งหมด!” เหมียวอี้เหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ

ศีลแปดมองเขาแวบหนึ่ง ทำไมรู้สึกว่าน้ำเสียงฟังดูแปลกไปล่ะ จึงถลันตัวลงจากฐานดอกบัวทันที ถอยกลับไปที่ปากถ้ำ พลางบอกว่า “พี่ใหญ่ ช่างเถอะ ข้าไม่เอาสมบัติที่นี่แล้ว ท่านจัดการตามเห็นสมควรก็ได้ อาตมาเป็นพระ ไม่สนใจสมบัตินอกกายเลยจริงๆ”

เมื่อเห็นเขาถอยออกไปที่ปากถ้ำ เหมียวอี้ก็กล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ แต่อยากเห็นชีวิตที่เหลือของอาจารย์เจ้าต้องเสียเวลาไปกับการเฝ้าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปที่สถานที่ผนึกเหรอ?”

ศีลแปดหยุดฝีเท้า ถามอย่างงุนงงว่า “ข้าจะเสียเวลาอยู่ที่นี่หรือไม่ แล้วเกี่ยวอะไรกับตาแก่โล้น?”

เหมียวอี้ถลันตัวมาตรงหน้าเขา แล้วถามว่า “เจ้าเชื่อมั้ยว่าเทพพยากรณ์สามารถทำนายอนาคตได้?”

ศีลแปดกระโดดตามไม่ทันความคิดของของเขา งงไปชั่วขณะ ถามว่า “ก็พอได้! พระเคร่งนั่นเหมือนจะเก่งเรื่องนี้จริงๆ”

“เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าเทพพยากรณ์ชี้บอกให้เจ้ากับอาจารย์ไปสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปเป็นกับดัก?” เหมียวอี้ถาม

“พี่ใหญ่ เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?” ศีลแปดค่อนข้างปวดสมอง

“เจ้าอยากฟังความเห็นของข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่าล่ะ?” เหมียวอี้จ้องเขา

ศีลแปดฝืนยิ้ม “ถ้าข้าวรยุทธ์สูงกว่าท่าน วิ่งเร็วกว่าท่าน ข้าต้องไม่ฟังแน่นอน ที่สำคัญคือตอนนี้เหมือนจะไม่ฟังไม่ได้”

เหมียวอี้ไม่มัวมาเล่นลิ้นกับเขา “เทพพยากรณ์ล่อเจ้ากับอาจารย์ไปสถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พระปีศาจหนานโป เจ้าเองก็น่าจะเห็นแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปได้ ไม่ว่าวิชาศีลกับสำนักหนานอู๋จะเกี่ยวกันหรือไม่ แต่เคล็ดวิชาจะต้องเกี่ยวข้องกันแน่นอน ไม่อย่างนั้นเจ้าก็เปิดประตูนี้ไม่ได้หรอก ตอนนี้สำนักหนานอู๋ถูกทำลายไปแล้ว เกรงว่านอกจากเจ้ากับอาจารย์แล้ว ก็คงไม่มีใครเข้าใจ ‘มหาเคล็ดวิชาบรรลุแก่นธรรม’ อีก  เจ้าไม่รู้สึกเหรอว่าที่ซ่อนสมบัติสำนักหนานอู๋กำลังรอคนฝึกวิชาศีลอย่างพวกเจ้ามาตลอด?”

ศีลแปดยิ้มแห้ง “พูดเกินความจริงไปแล้วล่ะมั้ง ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่อธิบายแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เหมียวอี้จึงบอกเสียเลยว่า “ข้าเองก็ถูกเทพพยากรณ์ชี้ทาง ถึงมาที่นี่ได้ พวกเจ้าไปพระปีศาจหนานโป ข้ามาที่นี่แล้ว เจ้าคิดว่าถ้าข้าไม่ได้เทพพยากรณ์ชี้บอกทาง ข้าจะไปหาเจ้ากับอาจารย์ถึงสถานที่ผนึกได้เหรอ? ตอนนี้ข้าพาเจ้ามาที่นี่อีก เจ้าลองนึกถึงความเชื่อมโยงของเหตุผลในนั้นสิ”

“เอ่อ…” ศีลแปดเหม่อไปเลย ก่อนจะถามอย่างประหลาดใจ “พี่ใหญ่ก็ถูกชี้แนะจากเทพพยากรณ์เหมือนกันเหรอ พระเคร่งนี่คิดจะทำอะไรกันแน่?”

“หรือว่าตอนนี้เจ้ายังมองไม่เข้าใจอีก? ความสำพันธ์ระหว่างพวกเจ้าอาจารย์ศิษย์กับสำนักหนานอู๋ ถ้าไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบสืบทอดก็เป็นสายเลือดเดียวกัน สำนักหนานอู๋ถูกพระปีศาจหนานโปกวาดล้าง สมบัติลับที่สำนักหนานอู๋ทิ้งไว้ก็คือโอกาสเดียวที่จะล้างแค้น สมบัติลับมีไว้มอบให้คนฝึกวิชาศีลอย่างพวกเจ้า ถ้าได้สมบัติลับนี้ไปแล้วก็จะต้องแบกรับภาระในระดับหนึ่ง นั่นก็คือต้องล้างแค้นให้สำนักหนานอู๋ กำจัดพระปีศาจหนานโปทิ้ง!” เหมียวอี้กล่าวกดดันประโยคแล้วประโยคเล่า

เมื่อได้มาที่นี่กับศีลแปดอีกครั้ง ได้เห็นสิ่งต่างๆ นึกเชื่อมโยงกับคำพูดที่ทิ้งไว้ที่นี่อีก : ศิษย์สำนักพุทธที่สามารถไขเปิดธรรมทวารคือเจ้าของห้องนี้!

เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ว่าห้องสมบัตินี้มีไว้มอบให้ผู้ฝึกวิชาศีล ตอนนี้เขาก็แค่อ้างเทพพยากรณ์มาถ่ายทอดเจตนาของคนผู้นั้นก็เท่านั้นเอง ตอนแรกที่หาสมบัติแล้วเห็น ‘กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋’ เขาก็รู้สึกได้แล้ว ว่าคนคนนั้นเหมือนจะทอดถอนใจกับการทำลายสำนักหนานอู๋ ตอนนี้เท่ากับแน่ใจยิ่งขึ้นว่าคนผู้นั้นมีความรู้สึกที่แตกต่างออกไปต่อสำนักหนานอู๋ สถานการณ์ต่างๆ ที่วางไว้ ก็เหมือนจะหวังให้คนของสำนักหนานอู๋ล้างแค้นด้วยมือตัวเอง

เหมียวอี้ก็สงสัยเพราะสิ่งนี้เช่นกัน ไม่แน่ว่าวิชาศีลอาจจะได้รับถ่ายทอดมาจากสำนักหนานอู๋ก็ได้ เดิมทีก็มาจากสำนักหนานอู๋อยู่แล้ว

กำจัดปีศาจเฒ่านั่นเหรอ? ศีลแปดเหม่อลอย ก่อนจะรีบโบกมือ “ข้าไม่สนใจสมบัติลับนี่แล้ว รับภาระหน้าที่ใหญ่ขนาดนั้นไม่ไหวด้วย พี่ใหญ่เลือกคนอื่นเถอะ”

“เกรงว่าเจ้าคงจะทำตามใจตัวเองไม่ได้หรอก” เหมียวอี้ถาม

ศีลแปดร้องอุทานทันที “หรือว่าพี่ใหญ่จะกักบริเวณอาตมาไว้ที่นี่? พี่ใหญ่ แตงที่ฝืนเด็ดจะไม่หวาน ต่อให้ท่านขังข้าไว้ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก!”

เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าคิดมากไปแล้ว เจ้าทำให้เห็นอาจารย์เฝ้าอยู่ตรงสถานที่ผนึกตลอดไปได้เหรอ ต่อให้ไม่คิดถึงตัวเอง แต่เจ้าก็ต้องคิดถึงอาจารย์บ้างสิ เขาดูแลเจ้าไม่ขาดตกบกพร่องนะ แล้วอีกอย่าง ตั้งแต่เทพพยากรณ์ล่อพวกเจ้าอาจารย์ศิษย์ไปส่งตรงหน้าพระปีศาจหนานโป ก็ตัดทางถอยของพวกเจ้าแล้ว ตราบใดที่พระปีศาจหนานโปไม่ถูกกำจัด ใครก็พูดได้ไม่ชัดว่าเขาจะหลุดออกมาหรือเปล่า ถ้าหลุดออกมาเมื่อไร จะต้องมาหาเรื่องพวกเจ้าแน่นอน ต่อให้เขาหลุดออกมาไม่ได้ เขาอยู่ที่สถานที่ผนึกตลอด แต่เกรงว่าช้าเร็วก็ต้องถูกตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีหาพบ ถึงตอนนั้นพระปีศาจหนานโปก็หาเรื่องพวกเจ้าได้อยู่ดี รวมทั้งข้าคนนี้ด้วย หรือว่าเจ้าทนเห็นพี่ใหญ่รับกรรมได้ แต่จะไม่ไปลองสักหน่อยเหรอ?”

ศีลแปดอารมณ์บิดเบี้ยว กล่าวด้วยสีหน้าสิ้นหวังว่า “พี่ใหญ่ ท่านต้องโหดขนาดนี้เลยเหรอ? จำเป็นต้องพูดเด็ดขาดขนาดนี้เลยหรือไง?”

“แล้วสิ่งที่ข้าพูดไม่ใช่เรื่องจริงหรือยังไงล่ะ?” เหมียวอี้ถาม

“…” ศีลแปดพูดไม่ออก

“ยังไงข้าก็มองออกว่าเจ้าออกไปแล้วก็ไม่มีสมาธิฝึกตนอยู่ดี ถ้าเจ้าโผล่หน้าไปอย่างเปิดเผย ก็อาจตกอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ก็ได้ ไม่สู้ฝึกตนอยูที่นี่ดีกว่า ดีมั้ย?” เหมียวอี้ถาม

ศีลแปดยิ้มขื่นขม “ท่านดูสภาพข้าเหมือนคนที่จะฝึกพุทธธรรมไร้ขอบเขตสำเร็จเหรอ?”

“ในเมื่อเจ้าพูดอย่างนี้ ข้าก็ไม่บังคับ ประตูก็อยู่ข้างหลังเจ้าแล้ว ถ้าอยากไปก็ไปเถอะ ข้าไม่ขัดขวางแน่นอน เพียงแต่…ในเมื่อเจ้าไม่สนใจความเป็นความตายของพี่ใหญ่คนนี้ ต่อไปพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องมาเจอกันอีกแล้ว” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

“ข้า…ท่าน…” ศีลแปดชี้เขา แล้วสุดท้ายก็ใช้สองมือกุมศีรษะนั่งยองๆ บนพื้น แล้วร่ำร้องอย่างสติแตก “พี่ใหญ่ นี่ท่านกำลังบังคับข้า!”

“ข้าไม่ได้บังคับเจ้า ข้าเพียงแค่…”

ทันใดนั้นศีลแปดก็ก้มหน้า พร้อมยกมือห้าม “ไม่ต้องพูดแล้ว ข้ายอมแพ้ ข้าจะลองแล้วยังไม่พอใจหรือไง?”

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ทันที ก้าวเข้ามาตบบ่าเขา “ลองแล้วไม่ตายหรอก ข้าเอาใจช่วยเจ้า” เขาเอาใจช่วยศีลแปดจริงๆ รู้สึกว่าคนผู้นั้นทุ่มเทความคิดไปมากเพื่อผลักดันให้ศีลแปดมาที่นี่ แสดงว่าต้องมีเหตุลแน่นอน คงไม่ยิงธนูโดยไร้เป้า

“ท่านไปเถอะ รีบไป อย่ามารบกวนข้าฝึกตน” ศีลแปดก้มหน้าโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่ได้กลัดกลุ้มธรรมดา เขามาหาสมบัติด้วยความตื่นเต้นดีใจ ผลก็คือพบว่าตัวเองเองหลุมพรางเข้าแล้ว

แกร๊ง เหมียวอี้โยนกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งตรงหน้าศีลแปด “ข้าเตรียมของสำหรับใช้ดำรงชีวิตไว้ไม่น้อยเลย เพียงพอให้เจ้าอยู่ได้นาน ข้าไปก่อนนะ ถ้าว่างจะมาเยี่ยมอีก”

“ช้าก่อน!” ศีลแปดพลันกระโจนขึ้นมา

เหมียวอี้ที่เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวหันตัวกลับมา “เป็นอะไรไป?”

ศีลแปดถลึงตาถาม “ในเมื่อท่านมีเส้นทางลับสำหรับเข้าแดนสุขาวดี ก็คงจะมีทางลับสำหรับออกไปด้วย ให้ทางเข้าออกกับข้าเถอะ”

เหมียวอี้หน้าบึ้งเล็กน้อย “ทำไม? ยังไม่ทันฝึกตน ก็คิดจะหนีแล้วเหรอ?”

ศีลแปดตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ใช่แล้ว ข้าอยากหนี แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอก ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีคนหาที่นี่พบ? ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะให้ข้านั่งรอความตายอยู่ที่นี่เหรอ ท่านก็ต้องให้ทางหนีทีไล่ข้าไว้บ้างสิ?”

“ดาวพิษมีหมอกพิษอยู่ทั่วทุกที ให้ทางออกกับเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์” เหมียวอี้กล่าว

ศีลแปดโบกแขนเสื้อ “เรื่องนี้ท่านไม่ต้องสนใจ ข้ามีวิธีออกไปได้อยู่แล้ว แล้วอีกอย่าง เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะอยู่ที่นี่ตลอดโดยไม่ออกไป ถ้าอวี้หลัวช่ามีธุระเรียกหาข้าขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ? ถ้าท่านรับประกันได้ว่าในภายหลังอวี้หลัวช่าจะไม่มาหาเรื่องข้าอีก งั้นข้าไม่เอาก็ได้”

เหมียวอี้ลำบากใจเพราะเขาแล้ว หมากลับอย่างอวี้หลัวช่าจะต้องมีประโยชน์มากในอนาคตแน่นอน คงไม่ดีหากจะไม่ไว้หน้านาง ต่อให้ไม่มีเหตุผลนี้ แต่ถึงอย่างไรทั้งสองก็มีลูกด้วยกันแล้ว ไม่ดีเลยจริงๆ ที่เขาจะไม่ให้นางพบหน้าศีลแปดอีก ไม่อย่างนั้นความพยามเรื่องสถานที่ผนึกก็จะสูญเปล่า

…………………