บทที่ 1022 จุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

เวลาที่ผ่านไป 10,000 ปี หากเป็นโลกเบื้องบนมันนับว่าไม่ได้นานเท่าไหร่ แต่สำหรับโลกเบื้องล่างเวลานานขนาดนี้มันคือการผ่านไปอีกยุคหนึ่งเต็ม ๆ ซึ่งมีแต่ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเท่านั้นที่มีชีวิตอยู่ได้นานพอจะเห็นความเปลี่ยนแปลงระดับนี้

หลังจากผ่านไป 10,000 ปี มีเพียงแค่คนกลุ่มเล็ก ๆ จากยุคที่แล้วเท่านั้นที่มีชีวิตอยู่รอดมาได้ คนส่วนใหญ่ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นในโลกเบื้องล่างต่างก็ลืมกันไปหมดแล้วว่าในยุคที่แล้วมีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง ยกเว้นว่าพวกเขาจะไปหาอ่านบันทึกต่าง ๆ ที่เคยมีคนเขียนบันทึกเก็บไว้

ณ ภูมิภาคอี้ซาง อาณาเขตใกล้กับที่ตั้งสำนักชีเปลื้องอารมณ์

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

ผู้คนในตระกูลหนึ่งต่างโห่ร้องกันด้วยความดีใจที่ลูกสะใภ้ของพวกเขาได้ให้กำเนิดทายาทของพวกเขาได้สำเร็จด้วยดี

“ในที่สุดตระกูลกู๋ของข้าก็มีทายาทสืบสกุลสักที!” ชายหนุ่มตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบาน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าชายหนุ่มผู้เป็นพ่อจะดีใจเป็นอย่างมาก แต่ผู้เป็นภรรยากลับแสดงสีหน้าหดหู่ปนโล่งใจและพูดว่า “ผ่านมานานกว่า 10,000 ปีแล้วในที่สุดมันก็ใกล้จะถึงเวลาที่ข้าจะได้กลับไปยังที่ที่ข้าสมควรอยู่สักที ไอ้เจ้าปีศาจนั่นทำให้ข้าต้องทนทุกข์ทรมาณถึง 10,000 ปีโดยที่ต่อให้ข้าจะไม่ยินยอมแต่ข้าก็จำเป็นต้องยอมก้มหน้ารับอย่างขมขื่น!”

ผู้ที่เพิ่งให้กำเนิดเด็กน้อยเมื่อครู่ก็คือ ฮุยเจีย เจ้าสำนักชีเปลื้องอารมณ์ เมื่อในอดีตด้วยความโกรธแค้นหลิงตู้ฉิงได้สั่งให้นางและคนในสำนักชีของนางเกือบทั้งหมดต่างต้องออกมาหาคู่สมรสเพื่อมีทายาทแถมยังต้องเลี้ยงดูทายาทให้ดีที่สุดก่อนที่จะสามารถกลับไปยังสำนักชีของพวกนางได้

อันที่จริงนางไม่เคยยอมรับการลงโทษนี้ของหลิงตู้ฉิงได้สักวัน ไม่ต้องพูดถึงเวลา 10,000 ปีแห่งความทุกข์ทรมาน ในอดีตแค่เวลาผ่านไปไม่ถึง 1 ปี นางก็พยายามหาทุกหนทางเพื่อหลุดพ้นจากคำสาปนี้ของหลิงตู้ฉิง

นางพยายามสวดบทสวดทุกวันเพื่อให้จิตใจของนางสงบอยู่ 2,000ปีก็แล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น อารมณ์และความปรารถนาที่หลิงตู้ฉิงเคยฝังเอาไว้มันกลับปะทุรุนแรงขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำจนท้ายที่สุดนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับสภาพของตัวเอง และออกไปสร้างครอบครัวกับผู้คนในโลกภายนอกแต่โดยดี

เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความปรารถนาที่อาจจะมีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต นางจึงตัดสินใจปกปิดตัวตนและเลือกหาคู่ชีวิตที่เป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาเท่านั้นเพื่อที่จะมีลูกให้เร็วที่สุดโดยไม่ผูกพันอะไรมากมาย จากนั้นนางจะได้กลับไปที่สำนักชีของนาง

อย่างไรก็ตาม นางคือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิ ดังนั้นคนธรรมดาสามัญที่มีอายุขัยไม่ถึง 100 ปีจะทำให้นางท้องง่าย ๆ ได้ยังไง?

หลังจากความพยายามเปลี่ยนคู่ครองมาถึง 10,000 ปี ในที่สุดวันนี้นางก็ให้กำเนิดทายาทกับชายหนุ่มตระกูลกู๋

“เมื่อไหร่ที่ลูกชายของข้าเติบโตขึ้นจนดูแลตัวเองได้และสามีของข้าตายลง เมื่อนั้นจะเป็นวันที่ข้าได้ปลดเปลื้องพันธะจากไอ้เจ้าปีศาจนั่น!” ฮุยเจียพึมพำกับตัวนางเอง

และก็เป็นไปตามที่นางหวัง 20 ปีต่อมาสามีของนางก็ตายลงเพราะอุบัติเหตุ ซึ่งหลังจากที่นางฝังสามีของนางเสร็จ นางก็กลับไปที่สำนักชีเปลื้องอารมณ์ทันที

ส่วนลูกชายของนางก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ หัวหน้าผู้พิทักษ์ประตูสังสารวัฏที่ลงมาเกิดใหม่ และเมื่อหลังจากที่ฮุยเจียจากไป ความทรงจำต่าง ๆ ของเขาก็คืนกลับมาทันที

“ทำไมชีวิตนี้ของข้ามันถึงได้รันทดแบบนี้ล่ะเนี่ย!” กู๋เฉินเว่ย หรือก็คือหัวหน้าผู้พิทักษ์ประตูสังสารวัฏที่ลงมาเกิดใหม่บ่นขึ้นด้วยสีหน้าจนใจ

จากนั้นเมื่อความทรงจำของตัวเองกลับมา เขาก็เริ่มบ่มเพาะทันทีและแน่นอนว่าการที่เขาคือจักรพรรดิเทพผู้กลับมาเกิดใหม่ การบ่มเพาะของเขาจึงรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วในแบบที่ไม่มีใครในโลกเบื้องล่างสามารถเทียบเทียมได้

เขาทะลวงระดับไปถึงขอบเขตนภาได้ภายในเวลาไม่ถึง 100 ปี จากนั้นก็ทะลวงระดับไปถึงขอบเขตมหาจักรพรรดิในตอนที่เขาอายุครบได้ 1,000 ปี และท้ายที่สุดก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดด้วยอายุ 2,000 ปี

“จริงสิข้าเกือบลืมไป ไอ้เจ้านั่นต้องการให้ข้าช่วยส่งข้อความให้นี่นา!” กู๋เฉินเว่ย จู่ ๆ ก็นึกออกว่าหลิงตู้ฉิงเคยวานอะไรเขาเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงเดินทางไปที่อาณาเขตนภาในทันที

เนื่องจากเขาพอจะเข้าใจว่าการที่หลิงตู้ฉิงไปที่ประตูสังสารวัฏนั้นหลิงตู้ฉิงไม่ได้ตั้งใจจะไปขโมย แต่ไปแค่เพียงเพราะต้องการศึกษามันเท่านั้น แถมในเวลานี้เขายังได้รับโอกาสจากหลิงตู้ฉิงให้มาพักผ่อนที่โลกเบื้องล่าง ดังนั้นเขาจึงเต็มใจที่จะตอบแทนหลิงตู้ฉิงคืนบ้าง

แต่แล้วในทันทีที่เขาเดินทางไปถึงอาณาเขตนภา เขาก็อึ้งไปชั่วขณะกับภาพที่เห็น

มหาค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ที่หลิงตู้ฉิงเคยสร้างเอาไว้มันยังคงอยู่สมบูรณ์ดี และยังคงมีอำนาจไม่ต่างไปจากตอนแรกที่มันถูกสร้างขึ้น

อันที่จริงถึงแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะขึ้นไปโลกเบื้องบนมากกว่า 10,000 ปีแล้วแต่ผู้คนในโลกเบื้องล่างก็ยังไม่มีใครกล้าที่จะทำอะไรกับอาณาเขตนภา ซึ่งเป็นอาณาเขตบ้านเกิดของหลิงตู้ฉิง

เหตุหลัก ๆ มาจาก 2 ประการ ประการแรกก็คือหลิงตู้ฉิงน่ากลัวเกินไป ทุกกองกำลังต่างกลัวว่าหากพวกเขาลงมือทำอะไรกับอาณาเขตนภาลงไป แล้วจู่ ๆ วันหนึ่ง หลิงตู้ฉิงดันกลับมาเกิดใหม่อีกรอบเหมือนที่ผ่านมา เมื่อนั้นพวกเขาคงถึงกาลอวสานกันแน่นอนจริงไหม?

ประการที่สอง อาณาเขตนภาถูกรายล้อมไปด้วยอาณาเขตที่ปกครองโดยกองกำลังต่าง ๆ ที่เคยเป็นของอาณาจักรจันทราทั้งหมด หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คืออาณาเขตทุกอาณาเขตที่รายล้อมอยู่ ผู้นำของอาณาเขตเหล่านั้นต่างมีสายเลือดของหลิงยี่เทียนหรือไม่ก็สืบเชื้อสายมาจากขุนนางคนสนิทของหลิงยี่เทียนทั้งนั้น ซึ่งพวกเขาเองก็รู้ดีว่าอาณาเขตนภาคือสิ่งที่พวกเขาต้องปกป้องด้วยชีวิต

ดังนั้นด้วยสาเหตุหลัก 2 ประการนี้ มันจึงไม่มีใครสักคนที่กล้าจะบุกอาณาเขตนภา

ในทันทีที่กู๋เฉินเว่ยหยุดลงตรงหน้ามหาค่ายกลที่ปกป้องอาณาเขตนภา หลิงเจิ้นฮุยก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้าเขาในเวลาไม่ถึงหนึ่งอึดใจ

หลิงเจิ้นฮุยจ้องไปที่กู๋เฉินเว่ยด้วยสายตาระแวดระวังพลางคิดในใจ

‘หลังจากท่านปู่ของข้าขึ้นไปโลกเบื้องบน 10,000 ปี ในที่สุดมันก็มีพวกไม่รักตัวกลัวตายมารังควานแล้วงั้นเหรอ?’

หลังจากผ่านไปหมื่นปี ตอนนี้หลิงเจิ้นฮุยกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิเรียบร้อยแล้ว เขาจ้องไปที่กู๋เฉินเว่ย ซึ่งยืนอยู่ด้านนอกมหาค่ายกลและเอ่ยถามขึ้นว่า “สหายเต๋า ท่านมีธุระอะไรถึงได้มาที่นี่งั้นเหรอ?”

กู๋เฉินเว่ยไม่ได้ทำอะไรกับมหาค่ายกล เขาแค่ฉายภาพหลิงตู้ฉิงให้หลิงเจิ้นฮุยเห็น จากนั้นเขาพูดว่า “เขาวานให้ข้ามาบอกพวกเจ้าว่าเมื่อไหร่ที่พวกเจ้าจะขึ้นไปโลกเบื้องบน พวกเจ้าจงไปที่อาณาเขตทะเลโกลาหลเพื่อขึ้นไปโลกเบื้องบนจากตรงจุดนั้น”

“หืม?” หลิงเจิ้นฮุยขมวดคิ้ว

หลิงเจิ้นฮุยไม่แน่ใจว่าคำพูดของกู๋เฉินเว่ยเป็นเรื่องจริงรึเปล่า ซึ่งถ้ามันเป็นเรื่องจริงก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าหากมันเป็นกลลวงแล้วเขาดันเชื่อและขึ้นไปโลกเบื้องบนจากอาณาเขตทะเลโกลาหลจริง ๆ เมื่อตอนขึ้นไปเขาอาจจะไปโผล่ท่ามกลางดงศัตรูของปู่เขาก็ได้

กู๋เฉินเว่ยเห็นเช่นกันว่าหลิงเจิ้นฮุยแสดงสีหน้าไม่ค่อยอยากจะเชื่อเขาสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ขี้เกียจจะอธิบายอะไรต่อ เมื่อส่งข่าวเสร็จเขาหันหลังกลับและบินจากไปในทันที

เขาคือจักรพรรดิเทพขั้นสูงสุด หากไม่ใช่เพราะว่าหลิงตู้ฉิงช่วยเขาดูแลประตูสังสารวัฏและปล่อยให้เขามาใช้ชีวิตอิสระในโลกเบื้องล่างเช่นนี้ เขาคงไม่มีวันมารับหน้าที่เป็นผู้ส่งสาสน์แน่นอน ดังนั้นเมื่อเขาส่งสาสน์เสร็จแล้วเขาจึงไม่สนใจอะไรอีก เขาบินจากไปท่องโลกดูสิ่งต่าง ๆ ที่เขาไม่เคยในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ก่อนที่จะต้องกลับไปทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้พิทักษ์ประตูสังสารวัฏต่อ

หลังจากกู๋เฉินเว่ยจากไป หลิงเจิ้นฮุยครุ่นคิดอย่างหนักพยายามวิเคราะห์ว่าสิ่งที่กู๋เฉินเว่ยพูดออกมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือหลุมพลาง

ท้ายที่สุดหลิงเจิ้นฮุยเรียกรวมคนในตระกูลทั้งหมดเพื่อปรึกษาหารือในเรื่องนี้ ซึ่งท้ายที่สุดพวกเขาต่างก็ตัดสินใจกันว่าพวกเขาควรจะรอไปอีกยุคก่อนเพื่อให้อาณาเขตนภามั่นคงมากกว่านี้ จากนั้นพวกเขาค่อยมาปรึกษาเรื่องการขึ้นไปบนโลกเบื้องบนกันอีกรอบ

ในระหว่างที่หลายสิ่งหลายอย่างในโลกเบื้องล่างค่อย ๆ ดำเนินไป บนโลกเบื้องบนกลับมีบางอย่างที่ใหญ่หลวงกำลังก่อตัวขึ้น

ขณะนี้บรรดาเผ่าอสูรต่างมองไปที่ภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเผ่าของพวกมันมากนักด้วยสีหน้าตึงเครียด

ภูเขาลูกที่พวกมันกำลังมองอยู่ในขณะนี้มีกลิ่นอายอสูรอันแข็งแกร่งแผ่ออกมาอย่างไม่หยุดยั้งจากด้านในภูเขา ซึ่งทำให้พวกมันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวกับตัวตนที่อยู่ด้านใน

ไม่นานต่อมาอสูรตนหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายคนมีความสูง 3 เมตร แต่มีผิวสีขาวเหมือนหยกเงาวับไปทั่วร่างกายก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากถ้ำในภูเขาลูกนั้นพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายอันแข็งแกร่งที่ไม่มีอสูรตนไหนสามารถเทียบเทียมได้

เมื่อบรรดาผู้นำของอสูรเผ่าต่าง ๆ เห็นภาพนี้ สีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนเป็นลิงโลดในทันที พวกมันรีบวิ่งเข้าไปทักทายด้วยท่าทีเคารพ “ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วยที่ทะลวงระดับได้สำเร็จสหายฟูหวง!”

“ผิดแล้ว ข้าไม่ได้ทะลวงระดับอะไร ข้าก็แค่เข้าใกล้กับเป้าหมายของข้ามากกว่าเดิมอีกก้าวหนึ่ง!” ฟูหวงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “การที่ข้าจะพิสูจน์เต๋าของข้าได้นั้น ข้าจำเป็นต้องทำให้เผ่าอสูรของเราปกครองโลกเบื้องบนทั้งหมดให้ได้ และเมื่อไหร่ที่เผ่าอสูรของเราปกครองทุกเผ่าบนโลกได้อย่างเบ็ดเสร็จ เมื่อนั้นเต๋าของข้าจะกลายเป็นนิรันดร์!”

“ถ้างั้นพวกเราลงมือกันเลยไหมสหายฟูหวง? เพื่อทำให้ท่านพิสูจน์เต๋าได้สำเร็จ พวกเรายินดีสนับสนุนท่านทุกอย่าง!” บรรดาผู้นำอสูรเผ่าต่าง ๆ เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น

จากนั้นไม่นานเผ่าอสูรก็ยกทัพออกโจมตีเผ่าอื่น ๆ ที่อยู่ข้างเคียงอย่างรุนแรง และขยายอาณาเขตไปไกลเรื่อย ๆ ส่งผลให้โลกเบื้องบนเกิดความวุ่นวายไปทั่วทุกแห่งหน