บทที่ 1794 สงบเสงี่ยมเจียมตัว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ที่สำคัญที่สุดก็คือ สวีถังหรานมักรู้สึกว่าเหยียนซิวกำลังจ้องเขาอย่างเย็นเยียบจากข้างหลัง ราวกับต้องการจะลงมือกับเขาได้ทุกเมื่อ เขาเชื่อว่าถ้าเขาเคลื่อนไหวผิดปกติเมื่อไร เหยียนซิวก็อาจจะลงมือแน่นอน ทำให้คนที่อยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ต้องระมัดระวังการกระทำของตัวเอง รสชาติแบบนี้ทำให้คนรู้สึกอึดอัด

แน่นอน สวีถังหรานเองก็เข้าใจเช่นกัน ในฐานะทหารอารักขาข้างกายนายท่านหัวหน้าภาค ความระแวดระวังนี้ก็ยังต้องมี

ทั้งสามขึ้นไปบนแท่นสังเกตการณ์ด้วยกัน ทอดสายตามองออกไป ตรงหน้าเป็นลานกว้างด้านหน้าตำหนักหลัก ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นกองหิมะกันอย่างร่าเริงสนุกสนาน เฟยหง หลินผิงผิงและเสวี่ยหลิงหลงล้วนอยู่ด้วย ยังมีสาวใช้อีกหลายคน เหมือนกำลังเล่นอย่างมีความสุขมาก

อวิ๋นจือชิวไม่อยู่ นางไปส่งของขวัญที่ปราสาทดำเนินจันทร์ ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะได้เจอประมุขปราสาทดำเนินจันทร์ลี่หัวหรือเปล่า

เมื่อเห็นเสวี่ยหลิงหลงก็อยู่ด้วย เหมียวอี้ยิ้มถาม “ไม่ได้กลับบ้านเหรอ?”

สวีถังหรานรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร จึงยิ้มสู้อยู่ข้างๆ “ไม่รีบขอรับ งานยังรัดตัว มาคารวะนายท่านก่อน เมื่อครู่ตอนผ่านทางมาก็บอกหลิงหลงแล้ว”

เหมียวอี้พิงระเบียงยื่นมือออกไป ปล่อยให้เกล็ดหิมะตกใส่ฝ่ามือจนกลายเป็นหยดน้ำใส

เวลาหนึ่งหมื่นปีนี้เหมือนจะทิ้งร่องรอยไว้บนตัวเขาแล้ว เหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแววตาหรือลักษณะท่าทาง ก็แตกต่างจากหนึ่งหมื่นปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด

ตอนนี้วรยุทธ์ก็ถึงระดับบงกชรุ้งขั้นห้าแล้วเช่นกัน ถ้าใช้ความเร็วในการดูดซับยาแก่นเซียนในแต่ละวันมานับ ก็เร็วถึงวันวันสี่พันหนึ่งร้อยเม็ดแล้วเช่นกัน ทว่าถ้าคิดจะบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งขั้นหก ก็ต้องใช้เวลาอีกเก้าพันสี่ร้อยปีกว่า ตอนนี้ใช้เวลาไปหนึ่งพันสามร้อยกว่าปีแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่า ต้องใช้เวลาอีกแปดพันกว่าปีถึงจะบรรลุระดับบงกชรุ้งขั้นหกได้

สามารถพูดได้ว่าเคล็ดวิชาอัคนีดาราไม่ใช่วิชาที่สมบูรณ์แบบไร้ข้อเสียอะไร เคล็ดวิชาฝึกตนของคนอื่นถ้าวรยุทธ์ยิ่งสูงการดูดซับก็จะยิ่งเร็ว แต่ความก้าวหน้าในการฝึกตามขั้นตอนของเขาไม่ได้เร็ว เรียกได้ว่าความแตกต่างยิ่งนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดว่าแม้แต่ตอนนี้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ดูดซับได้เร็วกว่าเขาแล้วด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอวิ๋นจือชิวแล้ว

แต่เคล็ดวิชาอัคนีดาราก็มีข้อดีในตัวเองเหมือนกัน สามารถพูดได้ว่าเคล็ดวิชาอัคนีดาราก็ไม่ใช่เคล็ดวิชาฝึกตนที่ต้องทำตามขั้นตอน แต่พิถีพิถันการปรับสัดส่วนของหยินหยางภายใน ระดับการปรับสัดส่วนยิ่งกว้างยิ่งไกลยิ่งใหญ่ ความเร็วในการดูดซับก็จะยิ่งมากขึ้นเช่นกัน ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกที่เอื้อประโยชน์เพื่อเร่งรัด

เหมียวอี้เองก็รู้เช่นกันว่าถ้าฝึกแบบนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีการที่ดี เขาต้องการไฟหยินและไฟหยางที่เพียงพอมาเติม เพิ่มความเร็วในการฝึกตนอีกครั้ง และไฟหยินไฟหยางทั่วไปก็ช่วยได้ไม่เยอะ เพราะธาตุไฟหยินหยางที่แฝงอยู่ในนั้นไม่เพียงพอ ไม่พอให้เขาดูดซับ

สวีถังหรานสังเกตสีหน้าเหมียวอี้อยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังคิดอะไรอยู่ จึงไม่ได้รบกวนเหมียวอี้ที่กำลังเล่นเกล็ดหิมะ

พอสะบัดหยดน้ำในฝ่ามือเบาๆ เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลัง แล้วถามเสียงเรียบ “หยวนกงนั่นเป็นยังไงบ้าง?”

สวีถังหรานมองไปรอบๆ แล้วตอบกลั้วหัวเราะ “ไม่ต้องพูดถึงเลย มีเขาออกแรงให้ โถงชุมนุมอัจฉริยะก็เติบโตได้แบบราบรื่นมาก หยวนกงทำงานได้ยอดเยี่ยมเสมอมา แน่นอน ท่านเองก็รู้กำพืดของเขา ที่บอกว่าทำงานได้ยอดเยี่ยมก็ล้วนเป็นเพราะมีทรัพยากรในมือเขาให้ความร่วมมือ เป้าหมายก็เพราะอยากจะรีบเลื่อนขั้นจะได้ชุบตัวใหม่ในขั้นแรก ที่ข้าน้อยมาครั้งนี้ก็เพราะจะขอผลงานให้เขาขอรับ”

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “นี่ก็คือเรื่องดี สามารถหาเงินให้พวกเราได้ นับผลงานเขาแล้วยังไงล่ะ อย่างมากก็แค่เลื่อนตำแหน่งให้เขา”

ในหลายปีมานี้ หยวนกงก็เรียกได้ว่าเลื่อนตำแหน่งได้เร็วสุดในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล วรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นสามแล้ว เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว แต่ในมือกลับไม่มีอำนาจทางทหาร ให้ติดตามสวีถังหรานไปข้างนอกเพื่อค้าขายและมูลค่าที่เขาควรจะมี เหมียวอี้ก็ไม่กล้าให้เขาคุมทหารในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเช่นกัน

สวีถังหรานกลับมีความกังวล “เพียงแต่กำลังคนที่รวบรวมมาที่โถงชุมนุมอัจฉริยะล้วนถูกเขาควบคุม ถ้าเขามีเจตนาไม่ซื่อขึ้นมา จะไม่ทำให้โถงชุมนุมอัจฉริยะพังหรอกหรือขอรับ?” เขาต้องพูดให้ชัดเจนไว้ก่อน เพราะถ้าโถงชุมนุมอัจฉริยะพังจนเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เขาก็ไม่อยากจะรับผิดชอบสิ่งนี้

เหมียวอี้บอกว่า “เจ้าค่อยๆ เพิ่มการควบคุมก็พอ เขาก็เล่นของเขาไป เจ้าก็เล่นของเจ้าไป ตราบใดที่สามารถส่งกำลังทรัพย์มาสนับสนุนพวกเรา ให้พวกเราใช้งานได้ ในเจ้ามีข้า ในข้ามีเจ้า แล้วจะเป็นอะไรไปล่ะ? กลัวก็แต่พวกเราจะเข้าไปพัวพันไม่ได้ ขอเพียงเข้าไปพัวพันได้ เขาอยู่ในที่แจ้ง พวกเราอยู่ในที่ลับ เขาไม่รู้แผนของพวกเรา แต่พวกเรากลับรู้แผนของเขาชัดเจน สุดท้ายใครจะพังก็ยังไม่แน่! เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลเกินไป และไม่ต้องใจร้อนอยากทำให้สำเร็จจนเผยพิรุธ ค่อยๆ ควบคุมไปทีละนิด เริ่มจากจุดเล็กขยายไปพื้นที่ใหญ่ ต่อให้ตอนสุดท้ายจะพัง แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะควบคุมกำลังพลน้อยนิดในมือเจ้าไม่ได้ เจ้าทำงาน ข้าวางใจ!”

สวีถังหรานกำลังสังเกตสีหน้าท่าทางอย่างละเอียด พอได้ยินประโยคสุดท้าย ในใจก็ราวกับได้ดื่มน้ำผึ้งหวาน ไม่เสียแรงที่หลายปีมานี้ตนวิ่งเต้นทำงานจนฝุ่นตลบไปทั่วทุกที่ เขายิ้มหน้านบานทันที กุมหมัดคารวะบอกว่า “เป็นเพราะนายท่านวางแผนได้เหนือชั้น เมื่อมีคำพูดพวกนี้ของนายท่านเป็นพื้นฐาน ข้าน้อยก็มีความมั่นใจแล้ว รู้แล้วว่าควรจะทำยังไงขอรับ”

เหมียวอี้เอียงหน้ามองเขา “อาศัยอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้ว สะสมกำลังทรัพย์ ขยายกำลังผล วางสายลับไว้มากๆ เฝ้ารอวันข้างหน้า! ทางฮูหยินก็บอกมาแล้วเช่นกัน รายละเอียดเรื่องพวกนี้เจ้าไปคุยกับฮูหยินได้”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘เฝ้ารอวันข้างหน้า’ สวีถังหรานก็กระปรี้กระเปร่าทันที แบบนี้แสดงว่านายท่านหัวหน้าภาคยังไม่พอใจกับตำแหน่งปัจจุบัน ไม่ช้าก็เร็วจะต้องขึ้นสูงกว่านี้ หมายความว่าตำแหน่งที่มีประโยชน์ของเขาในตอนนี้ก็ต้องขึ้นสูงตามไปด้วย สำหรับสิ่งนี้เขาเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ถ้านายท่านหัวหน้าภาคไต่เต้าขึ้นสูงกว่านี้ก็จะได้อยู่ในราชสำนักแล้ว อาศัยศักยภาพปัจจุบันของนายท่านก็ยังห่างไกลจากคุณสมบัตินั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นกรณีพิเศษ ตอนนี้ก็ทำได้เพียงสะสมกำลังเพื่อรอคอยวันข้างหน้า ขอเพียงทางนี้เตรียมตัวไว้เพียงพอ ในอนาคตเมื่อน้ำมาคลอดเกิด แรงต้านก็จะยิ่งน้อยลง

“ขอรับ! ข้าน้อยจดจำไว้แล้ว” สวีถังหรานกุมหมัดเอ่ยรับ

เหมียวอี้บอกอีกว่า “เจ้ามักจะออกไปทำงานข้างนอก ได้รับรู้ข่าวสารด้านต่างๆ มากเช่นกัน ช่วงนี้ภายนอกมีใครพูดอะไรเกี่ยวกับข้ามั้ย?”

สวีถังหรานคุร่นคิดครู่หนึ่ง เมื่อเหมียวอี้บอกไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เขาย่อมรู้ว่าต่อไปจะพูดหรือไม่ได้ “หลายปีมานี้นายท่านสงบเสงี่ยมเกินไป ข้าน้อยจะพูดสิ่งที่นายท่านอาจไม่ชอบฟัง ชื่อเสียงของนายท่านเงียบลงตั้งนานแล้ว ตอนนี้สิ่งที่คนข้างนอกลือกันล้วนเป็นเรื่องว่าใครตกจากตำแหน่ง ใครได้ขึ้นตำแหน่ง ตระกูลไหนตกอับ ตระกูลไหนพุ่งพรวดพราด แทบจะไม่ได้ยินใครพูดคุยเรื่องนายท่านเลยขอรับ พวกรุ่นหลังที่ขึ้นตำแหน่งมาใหม่ก็แทบจะไม่รู้จักด้วยซ้ำว่านายท่านเป็นใคร”

“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า แบบนี้น่ะถูกแล้ว ถ้าสถานการณ์ขอเขาตอนนี้อยู่ในจุดที่คนอื่นเพ่งเล็ง นั่นก็จะเป็นปัญหาใหญ่แล้ว

ในขณะนี้เอง เงาคนหลายคนเหาะเข้ามาในตำหนักผ่านประตูตำหนัก เป็นพวกอวิ๋นจือชินั่นเอง หลังจากหยุดคุยกับพวกเฟยหงบนลานกว้างแล้ว ก็เหาะไปที่ตำหนักในอีก

พวกเหมียวอี้ที่อยู่บนแท่นสังเกตการณ์เห็นฉากนี้ชัดเจน

“ฮูหยินกลับมาแล้ว” สวีถังหรานกล่าวปนเสียงหัวเราะ

ผ่านไปไม่นาน หยางเจาชิงที่ออกเดินทางไปพร้อมอวิ๋นจือชิวก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา ขึ้นมาทำความเคารพบนเท่นสังเกตการณ์ “นายท่าน!” จากนั้นก็ทักทายสวีถังหราน ส่วนเหยียนซิวก็ไม่ต้องแล้ว อีกฝ่ายไม่สนใจ หยางเจาชิงคุ้นชินตั้งนานแล้ว

“ฮูหยินไปแล้วได้เจอลี่หัวหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถาม

หยางเจาชิงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ของขวัญก็รับไปแล้ว ลี่หัวก็ยังไม่ยอมโผล่หน้ามาพบฮูหยิน”

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ถามอีกว่า “ผู้หญิงที่หออาวรณ์คนนั้น จัดการเรื่องเป็นยังไงบ้างแล้ว?”

พอได้ยิน ‘หออาวรณ์’ สวีถังหรานก็หูตั้งทันที นี่คือสถานบันเทิงประเภทหอนางโลมของทางการ มีสาขาอยู่หลายแห่ง ผู้หญิงในครอบครัวที่กระทำความผิดล้วนถูกส่งมาทำงานในสถานที่แห่งนี้ หลายปีมานี้มีคนสิ้นอำนาจแล้วไม่น้อย คนที่ถูกทำโทษให้เข้ามาในนี้ย่อมมีไม่น้อย เขาไม่รู้ว่าอยู่ดีๆ นายท่านเอ่ยถึงสถานที่นี้ขึ้นมาหมายความว่าอะไร ทั้งยังเอ่ยถึงผู้หญิงคนหนึ่งด้วย นางเกี่ยวข้องอะไรกับนายท่าน?

หยางเจาชิงตอบว่า “ให้คนส่งเงินไปให้นางแล้วขอรับ ส่งคนไปไกล่เกลี่ยแล้วด้วย แต่เรื่องจะสำเร็จหรือไม่ก็ยังไม่ทราบได้ อย่างไรเสียผู้ชายของนางก็ถูกข้อหาไม่เบา พวกเราเองก็ไม่สะดวกจะรับประกันให้อีกฝ่าย แต่ผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะปากคอเราะร้ายพอสมควร ด่าฮูหยินพวกนั้นว่าหลงลืมบุญคุณ เวลาเจอคนในห้องก็พูดจาเหลวไหล แต่ละคำที่พูดไปล้วนไม่ไพเราะ”

“ทางฮูหยินว่ายังไงบ้าง?” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว

หยางเจาชิงตอบว่า “ฮูหยินบอกว่า ถึงยังไงก็เคยไปมาหาสู่กัน จึงไม่ถือสานางขอรับ ฮูหยินกำลงหาทางสืบข่าว ดูว่าทำยังไงถึงจะช่วยให้นางหลุดพ้นจากที่นั่นได้ ถึงยังไงก็อยู่ในอาณาเขตของตระกูลอิ๋ง เวลาจะดำเนินการก็ค่อนข้างลำบาก”

เหมียวอี้ทอดสายตามองไปไกลโดยไม่พูดอะไร

สวีถังหรานถามหยางเจาชิงด้วยเสียงต่ำ “มันเรื่องอะไรกัน?”

หยางเจาชิงเล่าสถานการณ์ให้ฟังด้วยเสียงเบา สถานการณ์คร่าวๆ ก็คือในปีนั้นตอนอวิ๋นจือชิวกำลังเปิดร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ ก็ได้รู้จักกับฮูหยินแม่ทัพภาคคนหนึ่ง นับว่าไปมาหาสู่กับอวิ๋นจือชิวบ่อยๆ ค่อนข้างอุดหนุนธุรกิจของอวิ๋นจือชิว ตอนนี้ผู้ชายของนางเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงของเบื้องบน เมื่อพรรคพวกของเขาตกอับ เขาก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ผู้ชายทั้งครอบครัวถูกตัดหัวหมด ส่วนผู้หญิงก็ถูกทำโทษให้มาเป็นนางคณิกาที่หออาวรณ์ ผู้หญิงคนนี้ก็ย่อมหนีไม่พ้น ตอนหลังผู้หญิงคนนี้รับแขกแล้วเจอคนรู้จักเก่า จึงขอให้อีกฝ่ายไปขอร้องให้อวิ๋นจือชิวช่วย เป็นเพราะตอนนี้หาคนอื่นให้ช่วยไม่ได้แล้วจริงๆ นับว่ามีแค่อวิ๋นจือชิวคนเดียวที่อาจจะช่วยนางได้ หลังจากอวิ๋นจือชิวได้ข่าวแล้ว ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก เพราะเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของเบื้องบน ถ้าถือวิสาสะสอดมือเข้าไปช่วย ดีไม่ดีปัญหาอาจจะมาถึงตัว ไม่สอดคล้องกับนโยบายสงบเสงี่ยมเจียมตัวของฝั่งเหมียวอี้ จึงต้องสืบข่าวให้ละเอียดก่อนถึงจะลงมือได้สะดวก ก็เลยให้คนส่งเงินไปให้นางเพื่อช่วยเหลือฉุกเฉิน แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่นอนจากนาง ผลปรากฏว่านางนึกว่าความหวังสุดท้ายถูกทำลายไปแล้ว จึงกัดมั่วไปหมด ส่วนสถานการณ์ตอนหลังก็เป็นเหมือนที่เพิ่งบอกเหมียวอี้ไป สรุปก็คือพูดจาถากถางอวิ๋นจือชิวไปแล้วไม่น้อย

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ สวีถังหรานพยักหน้าเงียบๆ ด้วยความเข้าใจ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ฝ่าบาทโหดเกินไปแล้ว ต้องการจะสร้างอ๋องสวรรค์คนที่ห้ามาแบ่งผลประโยชน์กับสี่อ๋องสวรรค์ สี่อ๋องสวรรค์ย่อมไม่ยอมอยู่แล้ว การโต้ตอบครั้งนี้ ไม่น่าเชื่อว่าข่มระงับเรื่องนี้ไปได้ สถานการณ์เริ่มสงบลง แต่สี่อ๋องสวรรค์ยังกังวลกับเรื่องประเภทนี้มาก เห็นได้ชัดว่ายอมฆ่าผิดตัวดีกว่าปล่อยไป กวาดล้างไปทีละก้าวแบบนี้ เกรงว่าหัวเชื้อคงยังไม่หยุดนิ่ง เหตุการณ์ที่คล้ายเรื่องของผู้หญิงคนนี้ก็มีไม่น้อย”

“เรื่องนี้เจ้าไปจัดการสักหน่อย ทำให้นางพูดไม่ได้ตลอดไป!” เหมียวอี้กล่าวเนิบๆ

ด้วยอำนาจของเขาในตอนนี้ ถ้าจะทำให้คนแบบนี้ตายสักคน ก็ง่ายเหมือนเหยียบมดตัวหนึ่ง เป็นที่เรื่องที่สั่งเพียงประโยคเดียวเท่านั้น

สวีถังหรานอึ้งไปชั่วขณะ ย่อมเข้าใจว่าทำให้พูดไม่ได้ตลอดไปหมายถึงอะไร เพียงถามอย่างลังเลว่า “ทางฝั่งฮูหยินล่ะ?”

“ถ้าทางฮูหยินตำหนิก็บอกว่าเป็นประสงค์ของข้า” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

“ขอรับ! ข้าน้อยจะไปดำเนินการเดี๋ยวนี้” สวีถังหรานเอ่ยรับ ในใจรู้สึกปลง ไม่น่าเชื่อว่ายังมีผู้หญิงโง่แบบนี้อยู่ ตกต่ำถึงขั้นนี้แล้วยังกล้าเกาะขาผู้มีอำนาจไม่ปล่อย เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ

………………