ราชันเร้นลับ 1182 : วาจาศักดิ์สิทธิ์

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

แม้ไคลน์จะเพิ่งเข้ามาอยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้งได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ แต่ก็ได้ฟังข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้จากเดอะซันน้อยมาพอสมควร ย่อมทราบว่ามนุษย์ธรรมดาหรือแม้กระทั่งนักบุญก็ยังต้องพึ่งพาแสงสว่างเพื่อเดินทางในความมืด ไม่อย่างนั้นอาจเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดดุร้ายหรือไม่ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

แต่ในปัจจุบัน นักบวชชรามิได้กำลังถือตะเกียงหนังสัตว์ เพียงย่างกรายผ่านหมอกทึบเข้าไปในวิหารที่มีแสงไฟสลัว

หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมีดวงตาสงบนิ่งปราศจากความบ้าคลั่ง ไคลน์คงเชื่อว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดชนิดพิเศษ

แน่นอนว่าการเป็นมนุษย์ปกติและการอาศัยอยู่ในความมืดคือสองสิ่งที่แตกต่างกันสุดขั้ว บางทีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาอาจอันตรายและน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดชนิดพิเศษ

ตัวตนที่สามารถเดินทางท่ามกลางความมืดโดยยังรักษาสติได้มั่นคง จวบจนปัจจุบัน ไคลน์รู้จักเพียงคนเดียว

ผู้เย้ยเทพ อามุนด์!

เมื่อสัมผัสได้ว่าแสงสลัวกำลังสะท้อนบนใบหน้า ชายชราร่างยักษ์ผู้แต่งกายในชุดนักบวชสีเข้มและหลังค่อมเล็กน้อย มองไปยังรูปปั้นหมาป่าอสูรที่อยู่ถัดจากไคลน์พลางถามเสียงล่องลอย

“เจ้าเมืองนี้ไปไหน?”

ไคลน์เป็นคนประเภทที่หากสะสางปัญหาโดยไม่ต้องนองเลือดได้ก็จะทำ เพิ่มความระมัดระวังในท่าทีพลางตอบอย่างใจเย็น

“ผมเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่รู้ว่าเจ้าเมืองหายไปไหน”

ทันทีที่สิ้นเสียง วิหารทั้งหลังพลันมีบรรยากาศสลัว หมอกเจือจางพวยพุ่งเข้ามาจากด้านนอกประหนึ่งกระแสน้ำถาโถม

แสงตะเกียงในมือไคลน์มิอาจมอบความสว่างไปยังบริเวณประตูและหน้าต่าง โลกภายนอกมืดสนิทและมองไม่เห็นสิ่งใด

เพียงพริบตา คล้ายกับวิหารที่นับถือหมาป่าอสูรถูกตัดขาดจากซากปรักหักพังเมืองนอร์ธ ไม่มีใครทราบว่าปัจจุบันกำลังอยู่บนมิติใด

รูม่านตาไคลน์ขยายขึ้นทันที มันจ้องนักบวชหน้าย่นผู้เป็นเจ้าของผมสีขาวโพลนก่อนจะถามเสียงเข้ม

“คุณเป็นใคร”

นักบวชหลังค่อนข้างค่อมตอบด้วยสายตามองลง

“ข้าคือบริวารรับใช้ใกล้ชิดพระองค์ เทวทูตวาจาศักดิ์สิทธิ์ สตีฟ…ข้าเตร็ดเตร่ไปในสถานที่แห่งอดีตของพระองค์เพื่อตามหาผู้เย้ยเทพที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด”

ขณะกล่าว ร่างกายของชายชราขยายใหญ่กลายเป็นสี่เมตร ขนนกมายาสีดำปรากฏขึ้นด้านหลังและถักทอกลายเป็นปีกสี่คู่ที่ดูอึมครึมแต่ศักดิ์สิทธิ์

เทวทูตวาจาศักดิ์สิทธิ์ สตีฟ…บริวารรับใช้ใกล้ชิดพระองค์…สถานที่แห่งอดีต…นี่คือหนึ่งในข้ารับใช้ของพระผู้สร้างแท้จริง? เทวทูตบริวารของเทวทูตโชคชะตา สมาชิกของกุหลาบไถ่บาป? เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงสามารถเตร็ดเตร่ในความมืด เพราะมีพลังเสื่อมทรามคอยปกป้อง…เทพมารตนดังกล่าวยังคงตามหาตะกอนพลังของบริวารเร้นลับจนถึงทุกวันนี้? ไคลน์เงยหน้ามองสตีฟผู้แต่งกายในชุดคลุมนักบวชสีดำ ด้านหลังมีปีกเทวทูตสี่คู่และเส้นผมสีขาวโพลนซึ่งถูกขัดแย้งกันไปหมด

ไคลน์แสร้งทำเป็นไม่ใช่อริของชุมนุมแสงเหนือ อ้าปากกล่าวเสียงขรึม

“ผู้เย้ยเทพหนีไปแล้ว ผมเองก็กำลังตามหาเขาอยู่”

เทวทูตวาจาศักดิ์สิทธิ์ สตีฟ จ้องไคลน์สองสามวินาทีก่อนจะถามเสียงต่ำ

“เจ้าเป็นใคร?”

ไม่สะดวกที่จะตอบเท่าไร…ไคลน์ถอนหายใจพลางยิ้ม

“นักเดินทางสันโดษ”

หลังจากตอบคำถามจบ ชายหนุ่มสัมผัสถึงความมืดที่เริ่มก่อตัวภายในใจ จากนั้นก็จมลงไปด้านล่างและรวมกับเงาดำที่เกิดจากแสงตะเกียง

ร่างอันมืดมิดบิดเบี้ยว ‘งอกเงย’ ขึ้นมาจากเงาดำและกลายเป็นเกอร์มันสแปร์โรว์อีกคนหนึ่ง ดวงตาดุร้ายและอารมณ์เย็นชา

นี่มัน…ไคลน์หรี่ตาลงพร้อมกับเหยียดมือขวาออกไปโดยไม่ลังเล พยายามจับคว้าบางสิ่งออกจากอากาศ

หากไคลน์คิดไม่ทันว่าสตีฟกำลังฉกฉวยโอกาสจาก ‘คำตอบ’ ของตน ป่านนี้ไคลน์คงเข้าร่วมชุมนุมแสงเหนือในฐานะอัครสาวกของพระผู้สร้างแท้จริงไปแล้ว

ชายหนุ่มเข้าใจแจ่มแจ้งว่า ‘วาจาศักดิ์สิทธิ์’ หมายถึงสิ่งใด

นี่มันเทวทูต ‘วาจามาร’ ชัดๆ !

สตีฟจะทำการ ‘สกัด’ บางส่วนของคำตอบออกมา หรือไม่ก็ทำให้จุดที่คลุมเครือของคำตอบชัดเจนขึ้นเพื่อสร้างผลลัพธ์ทางวิญญาณ!

ในตอนที่ไคลน์ตอบว่า ‘ผมเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่รู้ว่าเจ้าเมืองหายไปไหน’ สตีฟได้สกัดคำว่า ‘ผมไม่รู้จะไปไหน’ ส่งผลให้ไคลน์ผนึกตัวเองออกจากโลกภายนอก

เมื่อเทวทูตทำการเปิดเผยตัวเอง ทุกคำพูดจะยิ่งมีน้ำหนักและเปี่ยมไปด้วยพลัง

ในตอนที่ไคลน์นิยามตัวเอง คำว่า ‘นักเดินทางสันโดษ’ จึงถูกสกัดออกจากร่างหลัก

นับตั้งแต่ที่นักบวชสตีฟปรากฏตัวในเมืองนอร์ธ มันได้แผ่จิตสังหารที่รุนแรงออกมาตลอดเวลา!

และเมื่อไคลน์พยายามอัญเชิญภาพฉายบางอย่างออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ คล้ายกับเกอร์มันสแปร์โรว์ร่างมืดมีความคิดที่เชื่อมโยงกัน จึงพยายามดึงภาพฉายเดียวกันออกมา ส่งผลให้เกิดการหักล้างซึ่งกันและกัน

ทันทีที่ตระหนักว่าพลังของปราชญ์โบราณของตนถูกผนึก ไคลน์หรี่ตาลงและอ้าปากเปล่งเสียงเป็นภาษาคนยักษ์

แต่ในวินาทีถัดมา คำดังกล่าวถูกขโมยไป

บนไหล่ซ้ายของเทวทูตวาจาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงเกือบสี่เมตรมีศีรษะชุ่มเลือดงอกขึ้นมาเศียรหนึ่ง ใบหน้าเหมือนกับสตีฟทุกประการ แต่เยาว์วัยกว่าพอสมควร ราวกับเพิ่งสี่สิบเท่านั้น

รอบศีรษะดังกล่าวมีแขนเปื้อนเลือดสองข้าง พวกมัน ‘ต้อนแกะ’ วิญญาณที่แตกต่างกันเข้าไปและมีพลังในการขโมยความคิด

ขณะเดียวกัน ศีรษะชุ่มเลือดงอกออกจากไหล่ขวาของสตีฟ ใบหน้าคล้ายกับช่วงอายุในวัยยี่สิบ

จากบรรดาทั้งสามหัว หัวหนึ่งต้อนแกะและขโมยความคิดไคลน์ อีกหัวหนึ่งมองตรงไปยังเป้าหมายอย่างเย็นชาพลางเพ่งสมาธิควบคุม ‘นักเดินทางสันโดษ’ และอีกหัวอ้าปากเปล่งเสียง

“เจ้าโกหก! เจ้าเป็นพวกนอกรีตที่ขัดขวางพิธีกรรมการจุติของบุตรแห่งพระองค์ รวมถึงขัดขวางการเสด็จเยือนถึงสองครั้ง! เจ้าก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ข้ากำลังตามหา!”

มุมปากไคลน์กระตุกแผ่วเบาก่อนจะเปล่งเสียงภาษาคนยักษ์โบราณ

“เลโอเดโร!”

ชื่อจริงของวายุสลาตัน!

ความคิดไคลน์ไม่ถูกขโมยเพราะมันป้อน ‘ชุดคำสั่ง’ แบบเดียวกันจำนวนมากลงในสมอง ต่อให้ความคิดแรกถูกขโมย ก็ยังมีความคิดถัดไปตามมาอีกหลายระลอก

นี่คือประสบการณ์ที่ได้รับจากการเผชิญหน้ากับอามุนด์

แน่นอนว่าหากต้องสู้กับอามุนด์อีกครั้ง ไคลน์เชื่อว่าวิธีเดิมไม่น่าจะได้ผลกับเทพแห่งการกลั่นแกล้งที่เตรียมความพร้อมล่วงหน้า ถ้าต้องการเอาชนะมีแต่ต้องคิดกลอุบายใหม่

ทันทีที่สิ้นเสียงไคลน์ สายฟ้าสีเงินสว่างขึ้นในดวงตาของเทวทูตวาจาศักดิ์สิทธิ์ สตีฟ

พวกมันปกคลุมซากเมืองนอร์ธทุกซอกมุม ฉีกกระชากความมืดมิดที่ปกคลุมวิหารพร้อมกับทำลายพลังเสื่อมทราม พลังความลับ พลังความโศก ความสกปรก และความชั่วร้ายในพริบตา

ภายในวิหาร ไคลน์และเกอร์มันสแปร์โรว์ร่างมืดที่อยู่ใจกลางตาพายุพลันแหลกสลายโดยไม่มีแม้แต่เสียงครวญคราง

จากนั้น อสรพิษสายฟ้าสีเงินสว่างอันน่าสะพรึง แพร่กระจายปกคลุมบริเวณโดยรอบทุกตารางนิ้ว กลืนกินรูปปั้นหมาป่าอสูรและเทวทูตวาจาศักดิ์สิทธิ์ สตีฟ

ท่ามกลางเสียงคำรามต่ำอย่างต่อเนื่อง ซากปรักหักพังเมืองนอร์ธถึงคราวพังทลายกลายเป็นซากของจริง

ณ ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำที่เหือดแห้ง ภาพฉายของไคลน์เลือนหายอย่างรวดเร็ว ร่างต้นกลับมายังโลกความจริง

ทันทีหลังจากนั้น ไคลน์ใช้กระโจนไฟหลายครั้งเพื่อสร้างระยะห่างจากซากปรักหักพังเมืองนอร์ธ ขณะเดียวกันก็นำเทวทูตกระดาษออกมาลบร่องรอยเป็นระยะ

ทุ่งกว้างอันรกร้างกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง จนกระทั่งผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ซากวิหารภายในเมืองนอร์ธเกิดการสั่นสะเทือนแผ่วเบา เป็นนักบวชสตีฟที่พยุงตัวขึ้นจากเศษฝุ่นและก้อนหิน

ผมสีขาวโพลนของมันบางลงอย่างเห็นได้ชัด เสื้อคลุมนักบวชอยู่ในสภาพขาดวิ่น

เทวทูตวาจาศักดิ์สิทธิ์เดินออกจากซากเมืองนอร์ธอย่างเงียบงัน หลังจากจำแนกทิศทางสักพักก็ตรงดิ่งหายเข้าไปในส่วนลึกของความมืด

ครึ่งวันถัดมา ร่างหนึ่งเดินเข้ามาใกล้กับซากปรักหักพังเมืองนอร์ธจากอีกทิศทางหนึ่ง ไม่ใช่ใครนอกจากไคลน์ที่อ้อมไปไกล

ในคราวก่อน มันไม่มีโอกาสได้สำรวจเมืองนอร์ธมากนัก คราวนี้จึงย้อนกลับมาโดยหวังจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของเดิม

ในจุดห่างไกลออกไป ไคลน์ทำซ้ำขั้นตอนเดิม ส่งตัวเองเข้าไปในมิติหมอกและใช้ตาทิพย์ตรวจสอบรอบเมือง จากนั้นก็อัญเชิญภาพฉายของตัวเองออกมาพร้อมกับนำร่างต้นเข้าไปหลบในช่องว่างประวัติศาสตร์ ตามด้วยการใช้ภาพฉายอัญเชิญภาพฉายอีกทอดหนึ่ง

เตรียมการเสร็จ ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในเมืองนอร์ธอีกครั้งและตรงมายังวิหารหลังเดิม

ระหว่างทาง ซากศพที่เกลื่อนกลาดตามถนนถูกเปลี่ยนให้เป็นเถ้าถ่านหรือไม่ก็ผุยผง ปราศจากความสยองขวัญและพิสดารเหมือนคราวก่อน

ตาแก่ที่ชื่อสตีฟนั่นยังไม่ตาย…ดูเหมือนว่าพลังของวายุสลาตันที่หลงเหลืออยู่จะไม่เพียงพอต่อการสังหารเทวทูต…ไคลน์หยุดยืนหน้าซากวิหารพลางรำพันด้วยความเสียดาย

แน่นอนว่าเป็นความเสียดายเพียงเล็กน้อย เพราะมันก็ไม่คิดว่าจะจัดการกับเทวทูตได้ง่ายดายอยู่แล้ว

กวาดสายตาสักพัก ชายหนุ่มมองเห็นชิ้นส่วนรูปปั้นหมาป่าอสูรที่แตกกระจัดกระจาย

ผิวเป็นสีเข้ม แต่ด้านในเป็นสีแดงเข้มไม่เหมือนกับหินทั่วไป

ไม่ใช่หินที่พบได้ในละแวกใกล้เคียง…หมาป่าอสูรทมิฬเจาะจงเลือกหินพิเศษชนิดนี้มาแกะสลักรูปปั้นด้วยตัวเอง? บางทีถ้าเราสืบค้นต้นกำเนิดของก้อนหิน ก็อาจพบจุดที่หมาป่าอสูรทมิฬเคยหลบซ่อนก่อนจะหนีมายังเมืองนอร์ธ…ในฐานะผู้ชี้นำปาฏิหาริย์หรือไม่ก็บริวารเร้นลับ หมาป่าอสูรทมิฬย่อมเก่งกาจด้านการลบร่องรอยจนยากที่จะระบุพิกัดปัจจุบัน แต่ถ้าเราสามารถระบุพิกัดในอดีตได้ทั้งหมด ก็น่าจะพอคาดเดาตำแหน่งซ่อนตัวในอนาคตจากอุปนิสัย…

การล่วงรู้อดีตของใครสักคนทุกซอกมุมย่อมช่วยให้ทำนายอนาคตได้แม่นยำ! ไคลน์ก้าวไปข้างหน้าและโน้มตัวลง เตรียมเก็บชิ้นส่วนก้อนหิน

ทันใดนั้น ฝ่ามือที่ผิวไหม้เกรียมพลันโผล่ออกมาขวางปลายนิ้วไคลน์

จากหางตา ชายหนุ่มพบว่าศพในละแวกใกล้เคียงที่อยู่ในสภาพไหม้เกรียมได้ฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรก็มิอาจทราบได้!

มืออีกข้างของศพเลื่อนแว่นตาขาเดียวขึ้นมาวางลงบนตาซ้าย

อามุนด์! ตาซ้าย…? หัวใจไคลน์หล่นไปอยู่ตาตุ่มในตอนต้น ก่อนจะผุดความฉงนอย่างแรงกล้า

วินาทีถัดมา ศพไหม้เกรียมยิ้มและกล่าว

“ขออภัย…ใส่ผิดข้าง”

กล่าวจบ มันถอดแว่นไปสวมไว้ที่ตาขวา

………………..