แม้ไคลน์จะเพิ่งเข้ามาอยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้งได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ แต่ก็ได้ฟังข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้จากเดอะซันน้อยมาพอสมควร ย่อมทราบว่ามนุษย์ธรรมดาหรือแม้กระทั่งนักบุญก็ยังต้องพึ่งพาแสงสว่างเพื่อเดินทางในความมืด ไม่อย่างนั้นอาจเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดดุร้ายหรือไม่ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่ในปัจจุบัน นักบวชชรามิได้กำลังถือตะเกียงหนังสัตว์ เพียงย่างกรายผ่านหมอกทึบเข้าไปในวิหารที่มีแสงไฟสลัว
หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมีดวงตาสงบนิ่งปราศจากความบ้าคลั่ง ไคลน์คงเชื่อว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดชนิดพิเศษ
แน่นอนว่าการเป็นมนุษย์ปกติและการอาศัยอยู่ในความมืดคือสองสิ่งที่แตกต่างกันสุดขั้ว บางทีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาอาจอันตรายและน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดชนิดพิเศษ
ตัวตนที่สามารถเดินทางท่ามกลางความมืดโดยยังรักษาสติได้มั่นคง จวบจนปัจจุบัน ไคลน์รู้จักเพียงคนเดียว
ผู้เย้ยเทพ อามุนด์!
เมื่อสัมผัสได้ว่าแสงสลัวกำลังสะท้อนบนใบหน้า ชายชราร่างยักษ์ผู้แต่งกายในชุดนักบวชสีเข้มและหลังค่อมเล็กน้อย มองไปยังรูปปั้นหมาป่าอสูรที่อยู่ถัดจากไคลน์พลางถามเสียงล่องลอย
“เจ้าเมืองนี้ไปไหน?”
ไคลน์เป็นคนประเภทที่หากสะสางปัญหาโดยไม่ต้องนองเลือดได้ก็จะทำ เพิ่มความระมัดระวังในท่าทีพลางตอบอย่างใจเย็น
“ผมเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่รู้ว่าเจ้าเมืองหายไปไหน”
ทันทีที่สิ้นเสียง วิหารทั้งหลังพลันมีบรรยากาศสลัว หมอกเจือจางพวยพุ่งเข้ามาจากด้านนอกประหนึ่งกระแสน้ำถาโถม
แสงตะเกียงในมือไคลน์มิอาจมอบความสว่างไปยังบริเวณประตูและหน้าต่าง โลกภายนอกมืดสนิทและมองไม่เห็นสิ่งใด
เพียงพริบตา คล้ายกับวิหารที่นับถือหมาป่าอสูรถูกตัดขาดจากซากปรักหักพังเมืองนอร์ธ ไม่มีใครทราบว่าปัจจุบันกำลังอยู่บนมิติใด
รูม่านตาไคลน์ขยายขึ้นทันที มันจ้องนักบวชหน้าย่นผู้เป็นเจ้าของผมสีขาวโพลนก่อนจะถามเสียงเข้ม
“คุณเป็นใคร”
นักบวชหลังค่อนข้างค่อมตอบด้วยสายตามองลง
“ข้าคือบริวารรับใช้ใกล้ชิดพระองค์ เทวทูตวาจาศักดิ์สิทธิ์ สตีฟ…ข้าเตร็ดเตร่ไปในสถานที่แห่งอดีตของพระองค์เพื่อตามหาผู้เย้ยเทพที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด”
ขณะกล่าว ร่างกายของชายชราขยายใหญ่กลายเป็นสี่เมตร ขนนกมายาสีดำปรากฏขึ้นด้านหลังและถักทอกลายเป็นปีกสี่คู่ที่ดูอึมครึมแต่ศักดิ์สิทธิ์
เทวทูตวาจาศักดิ์สิทธิ์ สตีฟ…บริวารรับใช้ใกล้ชิดพระองค์…สถานที่แห่งอดีต…นี่คือหนึ่งในข้ารับใช้ของพระผู้สร้างแท้จริง? เทวทูตบริวารของเทวทูตโชคชะตา สมาชิกของกุหลาบไถ่บาป? เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงสามารถเตร็ดเตร่ในความมืด เพราะมีพลังเสื่อมทรามคอยปกป้อง…เทพมารตนดังกล่าวยังคงตามหาตะกอนพลังของบริวารเร้นลับจนถึงทุกวันนี้? ไคลน์เงยหน้ามองสตีฟผู้แต่งกายในชุดคลุมนักบวชสีดำ ด้านหลังมีปีกเทวทูตสี่คู่และเส้นผมสีขาวโพลนซึ่งถูกขัดแย้งกันไปหมด
ไคลน์แสร้งทำเป็นไม่ใช่อริของชุมนุมแสงเหนือ อ้าปากกล่าวเสียงขรึม
“ผู้เย้ยเทพหนีไปแล้ว ผมเองก็กำลังตามหาเขาอยู่”
เทวทูตวาจาศักดิ์สิทธิ์ สตีฟ จ้องไคลน์สองสามวินาทีก่อนจะถามเสียงต่ำ
“เจ้าเป็นใคร?”
ไม่สะดวกที่จะตอบเท่าไร…ไคลน์ถอนหายใจพลางยิ้ม
“นักเดินทางสันโดษ”
หลังจากตอบคำถามจบ ชายหนุ่มสัมผัสถึงความมืดที่เริ่มก่อตัวภายในใจ จากนั้นก็จมลงไปด้านล่างและรวมกับเงาดำที่เกิดจากแสงตะเกียง
ร่างอันมืดมิดบิดเบี้ยว ‘งอกเงย’ ขึ้นมาจากเงาดำและกลายเป็นเกอร์มันสแปร์โรว์อีกคนหนึ่ง ดวงตาดุร้ายและอารมณ์เย็นชา
นี่มัน…ไคลน์หรี่ตาลงพร้อมกับเหยียดมือขวาออกไปโดยไม่ลังเล พยายามจับคว้าบางสิ่งออกจากอากาศ
หากไคลน์คิดไม่ทันว่าสตีฟกำลังฉกฉวยโอกาสจาก ‘คำตอบ’ ของตน ป่านนี้ไคลน์คงเข้าร่วมชุมนุมแสงเหนือในฐานะอัครสาวกของพระผู้สร้างแท้จริงไปแล้ว
ชายหนุ่มเข้าใจแจ่มแจ้งว่า ‘วาจาศักดิ์สิทธิ์’ หมายถึงสิ่งใด
นี่มันเทวทูต ‘วาจามาร’ ชัดๆ !
สตีฟจะทำการ ‘สกัด’ บางส่วนของคำตอบออกมา หรือไม่ก็ทำให้จุดที่คลุมเครือของคำตอบชัดเจนขึ้นเพื่อสร้างผลลัพธ์ทางวิญญาณ!
ในตอนที่ไคลน์ตอบว่า ‘ผมเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่รู้ว่าเจ้าเมืองหายไปไหน’ สตีฟได้สกัดคำว่า ‘ผมไม่รู้จะไปไหน’ ส่งผลให้ไคลน์ผนึกตัวเองออกจากโลกภายนอก
เมื่อเทวทูตทำการเปิดเผยตัวเอง ทุกคำพูดจะยิ่งมีน้ำหนักและเปี่ยมไปด้วยพลัง
ในตอนที่ไคลน์นิยามตัวเอง คำว่า ‘นักเดินทางสันโดษ’ จึงถูกสกัดออกจากร่างหลัก
นับตั้งแต่ที่นักบวชสตีฟปรากฏตัวในเมืองนอร์ธ มันได้แผ่จิตสังหารที่รุนแรงออกมาตลอดเวลา!
และเมื่อไคลน์พยายามอัญเชิญภาพฉายบางอย่างออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ คล้ายกับเกอร์มันสแปร์โรว์ร่างมืดมีความคิดที่เชื่อมโยงกัน จึงพยายามดึงภาพฉายเดียวกันออกมา ส่งผลให้เกิดการหักล้างซึ่งกันและกัน
ทันทีที่ตระหนักว่าพลังของปราชญ์โบราณของตนถูกผนึก ไคลน์หรี่ตาลงและอ้าปากเปล่งเสียงเป็นภาษาคนยักษ์
แต่ในวินาทีถัดมา คำดังกล่าวถูกขโมยไป
บนไหล่ซ้ายของเทวทูตวาจาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงเกือบสี่เมตรมีศีรษะชุ่มเลือดงอกขึ้นมาเศียรหนึ่ง ใบหน้าเหมือนกับสตีฟทุกประการ แต่เยาว์วัยกว่าพอสมควร ราวกับเพิ่งสี่สิบเท่านั้น
รอบศีรษะดังกล่าวมีแขนเปื้อนเลือดสองข้าง พวกมัน ‘ต้อนแกะ’ วิญญาณที่แตกต่างกันเข้าไปและมีพลังในการขโมยความคิด
ขณะเดียวกัน ศีรษะชุ่มเลือดงอกออกจากไหล่ขวาของสตีฟ ใบหน้าคล้ายกับช่วงอายุในวัยยี่สิบ
จากบรรดาทั้งสามหัว หัวหนึ่งต้อนแกะและขโมยความคิดไคลน์ อีกหัวหนึ่งมองตรงไปยังเป้าหมายอย่างเย็นชาพลางเพ่งสมาธิควบคุม ‘นักเดินทางสันโดษ’ และอีกหัวอ้าปากเปล่งเสียง
“เจ้าโกหก! เจ้าเป็นพวกนอกรีตที่ขัดขวางพิธีกรรมการจุติของบุตรแห่งพระองค์ รวมถึงขัดขวางการเสด็จเยือนถึงสองครั้ง! เจ้าก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ข้ากำลังตามหา!”
มุมปากไคลน์กระตุกแผ่วเบาก่อนจะเปล่งเสียงภาษาคนยักษ์โบราณ
“เลโอเดโร!”
ชื่อจริงของวายุสลาตัน!
ความคิดไคลน์ไม่ถูกขโมยเพราะมันป้อน ‘ชุดคำสั่ง’ แบบเดียวกันจำนวนมากลงในสมอง ต่อให้ความคิดแรกถูกขโมย ก็ยังมีความคิดถัดไปตามมาอีกหลายระลอก
นี่คือประสบการณ์ที่ได้รับจากการเผชิญหน้ากับอามุนด์
แน่นอนว่าหากต้องสู้กับอามุนด์อีกครั้ง ไคลน์เชื่อว่าวิธีเดิมไม่น่าจะได้ผลกับเทพแห่งการกลั่นแกล้งที่เตรียมความพร้อมล่วงหน้า ถ้าต้องการเอาชนะมีแต่ต้องคิดกลอุบายใหม่
ทันทีที่สิ้นเสียงไคลน์ สายฟ้าสีเงินสว่างขึ้นในดวงตาของเทวทูตวาจาศักดิ์สิทธิ์ สตีฟ
พวกมันปกคลุมซากเมืองนอร์ธทุกซอกมุม ฉีกกระชากความมืดมิดที่ปกคลุมวิหารพร้อมกับทำลายพลังเสื่อมทราม พลังความลับ พลังความโศก ความสกปรก และความชั่วร้ายในพริบตา
ภายในวิหาร ไคลน์และเกอร์มันสแปร์โรว์ร่างมืดที่อยู่ใจกลางตาพายุพลันแหลกสลายโดยไม่มีแม้แต่เสียงครวญคราง
จากนั้น อสรพิษสายฟ้าสีเงินสว่างอันน่าสะพรึง แพร่กระจายปกคลุมบริเวณโดยรอบทุกตารางนิ้ว กลืนกินรูปปั้นหมาป่าอสูรและเทวทูตวาจาศักดิ์สิทธิ์ สตีฟ
ท่ามกลางเสียงคำรามต่ำอย่างต่อเนื่อง ซากปรักหักพังเมืองนอร์ธถึงคราวพังทลายกลายเป็นซากของจริง
ณ ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำที่เหือดแห้ง ภาพฉายของไคลน์เลือนหายอย่างรวดเร็ว ร่างต้นกลับมายังโลกความจริง
ทันทีหลังจากนั้น ไคลน์ใช้กระโจนไฟหลายครั้งเพื่อสร้างระยะห่างจากซากปรักหักพังเมืองนอร์ธ ขณะเดียวกันก็นำเทวทูตกระดาษออกมาลบร่องรอยเป็นระยะ
ทุ่งกว้างอันรกร้างกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง จนกระทั่งผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ซากวิหารภายในเมืองนอร์ธเกิดการสั่นสะเทือนแผ่วเบา เป็นนักบวชสตีฟที่พยุงตัวขึ้นจากเศษฝุ่นและก้อนหิน
ผมสีขาวโพลนของมันบางลงอย่างเห็นได้ชัด เสื้อคลุมนักบวชอยู่ในสภาพขาดวิ่น
เทวทูตวาจาศักดิ์สิทธิ์เดินออกจากซากเมืองนอร์ธอย่างเงียบงัน หลังจากจำแนกทิศทางสักพักก็ตรงดิ่งหายเข้าไปในส่วนลึกของความมืด
ครึ่งวันถัดมา ร่างหนึ่งเดินเข้ามาใกล้กับซากปรักหักพังเมืองนอร์ธจากอีกทิศทางหนึ่ง ไม่ใช่ใครนอกจากไคลน์ที่อ้อมไปไกล
ในคราวก่อน มันไม่มีโอกาสได้สำรวจเมืองนอร์ธมากนัก คราวนี้จึงย้อนกลับมาโดยหวังจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของเดิม
ในจุดห่างไกลออกไป ไคลน์ทำซ้ำขั้นตอนเดิม ส่งตัวเองเข้าไปในมิติหมอกและใช้ตาทิพย์ตรวจสอบรอบเมือง จากนั้นก็อัญเชิญภาพฉายของตัวเองออกมาพร้อมกับนำร่างต้นเข้าไปหลบในช่องว่างประวัติศาสตร์ ตามด้วยการใช้ภาพฉายอัญเชิญภาพฉายอีกทอดหนึ่ง
เตรียมการเสร็จ ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในเมืองนอร์ธอีกครั้งและตรงมายังวิหารหลังเดิม
ระหว่างทาง ซากศพที่เกลื่อนกลาดตามถนนถูกเปลี่ยนให้เป็นเถ้าถ่านหรือไม่ก็ผุยผง ปราศจากความสยองขวัญและพิสดารเหมือนคราวก่อน
ตาแก่ที่ชื่อสตีฟนั่นยังไม่ตาย…ดูเหมือนว่าพลังของวายุสลาตันที่หลงเหลืออยู่จะไม่เพียงพอต่อการสังหารเทวทูต…ไคลน์หยุดยืนหน้าซากวิหารพลางรำพันด้วยความเสียดาย
แน่นอนว่าเป็นความเสียดายเพียงเล็กน้อย เพราะมันก็ไม่คิดว่าจะจัดการกับเทวทูตได้ง่ายดายอยู่แล้ว
กวาดสายตาสักพัก ชายหนุ่มมองเห็นชิ้นส่วนรูปปั้นหมาป่าอสูรที่แตกกระจัดกระจาย
ผิวเป็นสีเข้ม แต่ด้านในเป็นสีแดงเข้มไม่เหมือนกับหินทั่วไป
ไม่ใช่หินที่พบได้ในละแวกใกล้เคียง…หมาป่าอสูรทมิฬเจาะจงเลือกหินพิเศษชนิดนี้มาแกะสลักรูปปั้นด้วยตัวเอง? บางทีถ้าเราสืบค้นต้นกำเนิดของก้อนหิน ก็อาจพบจุดที่หมาป่าอสูรทมิฬเคยหลบซ่อนก่อนจะหนีมายังเมืองนอร์ธ…ในฐานะผู้ชี้นำปาฏิหาริย์หรือไม่ก็บริวารเร้นลับ หมาป่าอสูรทมิฬย่อมเก่งกาจด้านการลบร่องรอยจนยากที่จะระบุพิกัดปัจจุบัน แต่ถ้าเราสามารถระบุพิกัดในอดีตได้ทั้งหมด ก็น่าจะพอคาดเดาตำแหน่งซ่อนตัวในอนาคตจากอุปนิสัย…
การล่วงรู้อดีตของใครสักคนทุกซอกมุมย่อมช่วยให้ทำนายอนาคตได้แม่นยำ! ไคลน์ก้าวไปข้างหน้าและโน้มตัวลง เตรียมเก็บชิ้นส่วนก้อนหิน
ทันใดนั้น ฝ่ามือที่ผิวไหม้เกรียมพลันโผล่ออกมาขวางปลายนิ้วไคลน์
จากหางตา ชายหนุ่มพบว่าศพในละแวกใกล้เคียงที่อยู่ในสภาพไหม้เกรียมได้ฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรก็มิอาจทราบได้!
มืออีกข้างของศพเลื่อนแว่นตาขาเดียวขึ้นมาวางลงบนตาซ้าย
อามุนด์! ตาซ้าย…? หัวใจไคลน์หล่นไปอยู่ตาตุ่มในตอนต้น ก่อนจะผุดความฉงนอย่างแรงกล้า
วินาทีถัดมา ศพไหม้เกรียมยิ้มและกล่าว
“ขออภัย…ใส่ผิดข้าง”
กล่าวจบ มันถอดแว่นไปสวมไว้ที่ตาขวา
………………..