บทที่ 560.5 อยากพูด แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ชุยเฉิงมักจะปรากฏตัวเป็นประจำ แล้วยังมานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะด้วย

ชุยเฉิงเอ่ยแค่ประโยคเดียวว่า “ลงไปเล่นที่ชั้นหนึ่งไป”

เผยเฉียนกลับกลอกตาไปมา อิดออดอยู่นานกว่าจะเดินก้าวอาดๆ ออกไปจากเรือนไม้ไผ่ พอไปยืนอยู่กลางระเบียงแล้วก็ยกสองมือเท้าเอว ตะโกนเสียงดัง “โจวหมี่ลี่!”

แม่นางน้อยชุดดำที่นั่งอยู่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่รีบวิ่งออกมาบนพื้นโล่ง ถามว่า “ทำไมวันนี้ถึงได้ไม่ยินเสียงร้องโหยหวนเล่า?”

เผยเฉียนเลิกคิ้ว ยกสองแขนกอดอก หัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ? เข้ามาในชั้นสอง หากไม่รู้แพ้ชนะ เจ้าคิดว่าข้าจะเดินออกมาได้หรือ?”

โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้ว พยายามคิดหาคำถาม สุดท้ายก็ได้แต่ถามว่า “พวกเราใส่ยาถ่ายไว้ในถ้วยข้าวใบนั้นหรือ? ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องก่อนล่ะ เรื่องแบบนี้ไม่ควรมอบให้หน่วนซู่จัดการนะ ข้าเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วก็น่าจะให้ข้าทำถึงจะถูก…”

เผยเฉียนกระโดดลงมาจากชั้นสอง พลิ้วกายลงข้างกายของโจวหมี่ลี่ ยื่นมือมากดศีรษะของเจ้าโง่น้อยผู้นี้อย่างว่องไว นางบิดข้อมือหนึ่งครั้ง โจวหมี่ลี่ที่ยืนอยู่ที่เดิมก็ตัวหมุนเป็นลูกข่าง

ถึงท้ายที่สุดโจวหมี่ลี่กลับรู้สึกสนุก จึงวิ่งวนอยู่ที่เดิมด้วยตัวเอง

เผยเฉียนยื่นสองนิ้วมาประกบกัน ตวาดเบาๆ ว่า “หยุด!”

โจวหมี่ลี่หยุดยืนนิ่งทันที ยังไม่ลืมเบิกตากว้างค้างไว้ ไม่กล้ากระดุกกระดิก

เผยเฉียนเอาสองนิ้วตั้งวางไว้ตรงหน้า มืออีกข้างหนึ่งทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน พยักหน้าเอ่ยว่า “วิชาหยุดร่างตระกูลเซียนวิชานี้ของข้าร้ายกาจจริงๆ แม้แต่ภูตน้ำใหญ่ของทะเลสาบคนใบ้ก็ยังหนีไม่พ้น”

โจวหมี่ลี่ยังคงไม่กล้าขยับ มีเพียงดวงตาที่ยิ่งสาดประกายส่องแสง

เผยเฉียนค่อนข้างพอใจ จึงเหวี่ยงสองนิ้วใส่นาง “ขยับ!”

โจวหมี่ลี่รีบปรบมือ พูดด้วยอารมณ์ตื่นเต้นดีใจ “ร้ายกาจๆ เมื่อครู่นี้ข้าขยับไม่ได้จริงๆ”

วันนี้เผยเฉียนพาโจวหมี่ลี่ไปเที่ยวหาเฉินหรูชูอีกครั้ง แม่นางน้อยทั้งสามรวมกลุ่มกัน พูดคุยกันเสียงดังจ๊อกแจ๊กจอแจเหมือนมีนกขมิ้นจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องคลออยู่เหนือมวลดอกท้อที่ผลิบานอยู่ท่ามกลางขุนเขา

และเพียงชั่วพริบตาเวลาของหนึ่งวันก็ผ่านไปทั้งอย่างนี้

เช้าตรู่ของวันนี้ ไม่เพียงแต่เฉินหรูชูและโจวหมี่ลี่ที่มา แม้แต่เจิ้งต้าเฟิงก็มาด้วย รวมไปถึงเฉินหลิงจวิน

เจิ้งต้าเฟิงสีหน้าไร้อารมณ์

จะโทษเขาเจิ้งต้าเฟิงไม่ได้ เขาขวางไว้ไม่อยู่จริงๆ

เฉินหลิงจวินมองผู้เฒ่าชุยเฉิงแวบหนึ่งแล้วก็ไม่มองอีก แต่เดินไปนั่งเหม่ออยู่ที่ริมหน้าผาเพียงลำพัง

ชุยเฉิงพูดกับเจิ้งต้าเฟิงว่า “บอกจูเหลี่ยนว่า ไม่ต้องการโชคชะตาบู๊ครึ่งหนึ่งนั้น นับว่าไม่เลว”

มือข้างหนึ่งของเจิ้งต้าเฟิงถือร่มใบถง ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “พ่อครัวเฒ่าไม่ต้องการ ให้ข้าก็ได้นี่นา”

ชุยเฉิงยกเท้าขึ้นถีบ ไม่เร็วนัก เจิ้งต้าเฟิงฝีเท้าโซเซเล็กน้อย แต่ก็หลบมาได้อย่างสบายๆ

เผยเฉียนที่อยู่ด้านข้างกำลังโอ้อวดเตาเจี้ยนฉว่อตรงเอวที่ไม่ได้พกมานาน ทั้งดาบไม้ไผ่และกระบี่ไม้ไผ่ล้วนอยู่ครบ

และในมือยังถือไม้เท้าเดินป่า สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กไว้บนหลัง

วันนี้ผู้เฒ่าก็สวมชุดลัทธิขงจื๊อ

ใช่ว่าเผยเฉียนจะไม่เคยเห็นผู้เฒ่าแต่งกายแบบนี้มาก่อน เพียงแต่รู้สึกว่าวันนี้ค่อนข้างแปลกตามากเป็นพิเศษ

ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “คงไม่รู้สินะ ข้าผู้อาวุโสก็มีชาติกำเนิดมาจากบัณฑิตเหมือนกัน ในอดีตยังมีความรู้ไม่ใช่เล็กๆ คือผู้รอบรู้มากความสามารถด้านการประพันธ์ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแจกันสมบัติทวีป”

เผยเฉียนเอ่ย “เจ้าเป็นคนนับเอง?”

ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “โอ๊ะ?”

เผยเฉียนรีบพูดเสียงดัง “น่าจะไม่ใช่! ต้องเป็นเรื่องจริงที่คนทั้งบนและล่างภูเขาของแจกันสมบัติทวีปให้การยอมรับอย่างแน่นอน!”

เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจอยู่ในใจ “เลือกสถานที่ได้เรียบร้อยแล้ว เริ่มจากภูเขาลึกห่างไกลแห่งหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุดของแคว้นหนันเยวี่ยนตามความประสงค์ของผู้อาวุโส”

ชุยเฉิงพยักหน้ารับ แล้วหันมามองเผยเฉียน “เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง กำไม้เท้าเดินป่าในมือไว้แน่น พูดเสียงสั่นว่า “ค่อนข้างจะพร้อมแล้ว!”

สุดท้ายหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กก็คล้ายขี่เมฆทะยานหมอกจึงมาพลิ้วกายลงบนยอดเขาที่ร้างผู้คนแห่งหนึ่ง

เผยเฉียนหน้าซีดขาวเล็กน้อย

ชุยเฉิงพูดกลั้วหัวเราะเสียงเบา “รอจนการเดินทางครั้งนี้จบลงก็จะไม่กลัวมากขนาดนั้นแล้ว เชื่อข้าผู้อาวุโส”

เผยเฉียนทิ่มไม้เท้าเดินป่าในมือลงบนพื้นหนักๆ “กลัวกะผีอะไรเล่า!”

ชุยเฉิงทอดสายตามองทิศไกล เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเจ้าช่วยเก็บยันต์ในชายแขนเสื้อไปหน่อย”

เผยเฉียนสะบัดชายแขนเสื้อข้างหนึ่งเบาๆ แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น

คนทั้งสองเดินเท้าลงจากเขามาด้วยกัน

แรกเริ่มเผยเฉียนยังรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข เพียงแต่ว่านางที่เดินทางบนทางภูเขามาจนคุ้นชินแล้ว เดินไปเดินมาก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัวจริงๆ อย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้

ยังอยู่ห่างจากเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนค่อนข้างไกล ใต้ฝ่าเท้าในเวลานี้เป็นเพียงแค่สถานที่กันดารของพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีตเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นอาณาเขตของแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างแท้จริง

ท่ามกลางแสงสายัณห์ของวันนี้ เผยเฉียนหุงข้าวและปรุงแกงปลาหม้อเล็กๆ หม้อหนึ่งอย่างคล่องแคล่วคุ้นเคยเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ตรงตีนเขามีลำธารสายหนึ่ง เผยเฉียนตัดไม้ไผ่ลำหนึ่งเอามาเหลา ผูกเส้นเอ็นและตะขอตกปลาลงไป จากนั้นก็โยนเบ็ดลงน้ำ นั่งอยู่ริมน้ำเงียบๆ พอปลาติดเบ็ดก็กระชากคันเบ็ดขึ้นอย่างแรง แล้วก็กลับขึ้นมาบนฝั่ง

ตอนที่ชุยเฉิงเห็นคันเบ็ดหนาใหญ่นั่นก็ให้ปวดหัว นี่ก็เรียกว่าตกปลาได้ด้วยหรือ เรียกว่าดึงปลาขึ้นมามากกว่ากระมัง?

แต่ตอนที่ถือถ้วยใหญ่ซดน้ำแกงปลา ผู้เฒ่าที่นั่งขัดสมาธิก็ไม่ถือสาเรื่องพวกนี้อีก เค็มไปหน่อย แต่พอแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านถามเขาว่ารสชาติเป็นเช่นไร ผู้เฒ่าจึงยอมผิดต่อมโนธรรมในใจตอบไปว่าใช้ได้

เผยเฉียนตักแกงปลาราดข้าวให้ตัวเอง กลิ่นหอมฉุยอร่อยลิ้น มีแกงปลา กินข้าวได้อร่อยนักล่ะ!

เผยเฉียนที่นั่งอยู่บนพื้นโยกไหล่ไปมา แม่นางน้อยมีความสุขเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง

ผู้เฒ่าก็คร้านจะเตือนนางว่านั่งควรมีท่าของการนั่ง กินควรมีท่าทางการกินให้สำรวม

เขาไม่ใช่เฉินผิงอันสักหน่อย

วันหน้าหากเฉินผิงอันกล้าบ่นในเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ ผู้เฒ่าก็รู้สึกว่าไม่แน่ตนอาจอดไม่ไหวสั่งสอนเขาไปสองสามคำ เป็นอาจารย์แล้วร้ายกาจนักหรือ ควบคุมเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปทั่ว แม่หนูเผยจะนิสัยอย่างไร จริงๆ แล้วนางก็เพิ่งจะมีอายุแค่ไม่กี่…

เพียงแต่ว่าพอคิดถึงเรื่องพวกนี้ ผู้เฒ่าก็รู้สึกเย้ยหยันตัวเองเล็กน้อย พูดกับเผยเฉียนเสียงเบาว่า “กินช้าๆ หน่อย ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งทีแล้วเริ่มเคี้ยวอย่างละเอียด

เก็บถ้วยชามตะเกียบและหม้อไหที่ใช้ในการหุงต้มเรียบร้อยแล้ว เผยเฉียนก็หยิบเอากาน้ำออกมาล้างมือ จากนั้นก็แยกประเภทสิ่งของจัดวางไว้ในหีบไม้ไผ่ใบเล็กอย่างเป็นระเบียบ หยิบเอาพู่กันกระดาษและหมึกออกมา ใช้หีบไม้ไผ่ต่างโต๊ะ แล้วเริ่มคัดตัวอักษรอย่างจริงจัง

ชุยเฉิงนั่งอยู่ด้านข้างยิ้มกล่าว “มาถึงที่นี่แล้วไม่ต้องคัดตัวอักษรก็ได้ วันหน้าหากอาจารย์ของเจ้าตำหนิ เจ้าก็บอกไปว่าข้าเป็นคนอนุญาต”

หลังจากคัดตัวอักษรประโยคหนึ่งอย่างเป็นระเบียบบรรจงเสร็จแล้ว เผยเฉียนถึงได้หันหน้ามาถลึงตาใส่ “พูดเหลวไหลอะไรน่ะ!”

ชุยเฉิงโบกมือ

กว่าเผยเฉียนจะคัดตัวอักษรเสร็จ ฟ้าก็มืดสลัวแล้ว นางจึงเก็บสิ่งของทั้งหมดลงไปอย่างระมัดระวัง

อันที่จริงการมองวัตถุในยามค่ำคืน สำหรับเผยเฉียนในทุกวันนี้แล้วก็ง่ายดายไม่ต่างจากการดื่มน้ำกินข้าว

มองเห็นว่าผู้เฒ่าแซ่ชุยกำลังงีบหลับ เผยเฉียนจึงหยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมา เดินย่องไปยังยอดเขาจุดที่ห่างไปไกล แล้วฝึกวิชากระบี่มารคลั่งของนาง

ชุยเฉิงยิ้มถาม “ในเมื่อเป็นวิชากระบี่ เหตุใดถึงไม่ใช้กระบี่ไม้ไผ่ที่เจ้าห้อยไว้ตรงเอว?”

เผยเฉียนหยุดวิชากระบี่ ตอบกลับเสียงดังว่า “ก็เลียนแบบอาจารย์น่ะสิ อาจารย์ไม่มีทางออกกระบี่ง่ายๆ เจ้าไม่เข้าใจหรอก แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ เอาเป็นว่าแค่ทำตามก็พอแล้ว”

ชุยเฉิงถาม “แล้วถ้าอาจารย์ของเจ้าผิดล่ะ?”

เผยเฉียนฝึกวิชากระบี่มารคลั่งของนางต่อไป เสียงตวัดไม้เท้ากลายเป็นเสียงลมอื้ออึง หากดังเข้าหูของผู้ฝึกยุทธทั่วไป คำพูดของนางคงจะขาดๆ หายๆ แต่ยังดีที่ดังเข้าหูชุยเฉิง เขาจึงได้ยินอย่างชัดเจน “อาจารย์ที่อยู่กับข้าจะสอนลูกศิษย์ผิดได้อย่างไร ไม่มีทางผิด ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่มีทางผิด ถึงอย่างไรต่อให้ผิด ข้าก็รู้สึกว่าไม่ผิด พวกเจ้าใครก็มาบังคับข้าไม่ได้”

ชุยเฉิงยิ้ม แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก จากนั้นจึงเริ่มหลับตาทำสมาธิ

ประมาณยามจื่อ ชุยเฉิงก็ปลุกเรียกเผยเฉียน เผยเฉียนขยี้ตาตื่น แล้วก็ไม่ได้บ่นอะไร

ออกเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน ขึ้นเขาลงห้วย มีอะไรให้ต้องแปลกใจกัน

ตอนที่ลงจากเขา บนร่างของเผยเฉียนก็มีเบ็ดตกปลาคันหนึ่งที่ดูไม่ค่อยเหมือนคันเบ็ดสักเท่าไรเพิ่มมา

ชุยเฉิงถาม “ไม่เหนื่อยรึ?”

ดูเหมือนว่าเผยเฉียนจะรอประโยคนี้อยู่ จึงพูดอย่างน่าสงสารว่า “เหนื่อยสิ”

ชุยเฉิงจึงเอ่ยว่า “อย่าได้หวังว่าข้าจะช่วยเจ้าสะพายคันเบ็ดตกปลานั่น ข้าผู้อาวุโสไม่หน้าหนาขนาดนั้นหรอก”

เผยเฉียนทอดถอนใจหนึ่งที บอกให้ชุยเฉิงรอสักครู่ แล้วจึงปลดเส้นเอ็นกับตะขอตกปลามาเก็บไว้ในห่อสัมภาระใบเล็กแล้วใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ หลังจากสะพายหีบไม้ไผ่ขึ้นหลังอีกครั้ง ก็หยิบคันเบ็ดตกปลาขึ้นมา ตวาดเบาๆ “เจ้าไปได้!”

คันเบ็ดพุ่งตรงไปปักลงบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล

อาหารสองมื้อเช้าค่ำของวันถัดมา เนื่องจากเดินเลียบลำคลองสายใหญ่เส้นนั้น จึงยังคงหุงข้าวกินกับแกงปลาอยู่เหมือนเดิม

ชุยเฉิงจิบน้ำแกงคำเล็กๆ แล้วเอ่ยว่า “หากต้องเดินเลียบลำคลองนี้ไปเรื่อยๆ พวกเราสองคนก็ต้องกินแบบนี้กันทุกมื้องั้นรึ?”

เผยเฉียนเหลือกตามองบนใส่ “มีให้กินก็พอแล้ว ยังจะเรื่องมากอีกทำไม”

สุดท้ายเผยเฉียนแค่นเสียงฮึในลำคอ “เจ้าไม่รู้อะไร ปีนั้นตอนที่ข้ากับอาจารย์ท่องยุทธภพด้วยกัน มีแค่ข้ากับอาจารย์สองคนจริงๆ ไม่มีพวกพ่อครัวเฒ่าอยู่ด้วย ตอนนั้นแหละต้องเรียกว่าลำบากอย่างแท้จริง เวลานั้นอาจารย์ยังทดสอบข้าอยู่ ยังไม่ได้รับข้าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาอย่างเป็นทางการ อาจารย์ตกปลาเก่งนักล่ะ แต่ข้ากลับทำไม่ได้ มีครั้งหนึ่งข้าหิวจนตาลาย แล้วอาจารย์ก็ไม่ได้เรียกให้ข้าไปกินข้าวด้วย เจ้าลองเดาดูสิว่าข้าคิดวิธีแบบไหนได้?”

ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “ขอร้องให้เฉินผิงอันมอบข้าวให้เจ้ากินคำหนึ่ง?”

เผยเฉียนหลุดหัวเราะพรืด “ผายลมน่ะสิ ข้าลงไปในลำคลองน้ำขุ่นสายหนึ่ง น้ำไม่ลึกมาก ประมาณเอวของข้า กระโจนตูมเอาหัวทิ่มลงไป แล้วข้าก็ยื่นมือไปในซอกหิน เอามือควานอยู่ครู่หนึ่งก็จับปลาใหญ่มาได้ตัวหนึ่ง เป็นปลาดุกตัวใหญ่ยาวประมาณแขนข้า ดุร้ายนักล่ะ เวลากัดคนจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ข้าก็เลยรีบขึ้นจากน้ำ วิ่งขึ้นไปบนฝั่ง เหวี่ยงแขนสะบัดแรงๆ อยู่หลายทีกว่าจะกระแทกให้ปลาดุกตัวนั้นแน่นิ่งอยู่บนพื้นได้!”

เผยเฉียนพูดมาถึงตรงนี้ก็มีท่าทางลำพองใจเล็กน้อย “อาจารย์มองอึ้งไปเลยล่ะ เขายกนิ้วโป้งพูดชมข้าไม่ขาดปากเลย!”

ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “แต่งเรื่องหลอกผีไปเรื่อย”

เผยเฉียนไหล่ห่อคอตกทันใด “ก็ได้ อาจารย์ไม่ได้ยกนิ้วโป้ง แล้วก็ไม่ได้เอ่ยชมอะไรข้า แค่ชำเลืองตามองข้าแวบเดียว”

ในความเป็นจริงแล้ว ครั้งนั้นเด็กหญิงตัวดำเป็นถ่านเอาแขนที่ได้รับบาดเจ็บไปซ่อนไว้ด้านหลังอย่างดื้อรั้น แล้วถลึงตามองเฉินผิงอันอย่างดุดัน

เวลานี้ เผยเฉียนรีบพูดกับผู้เฒ่าด้วยท่าทางน่าเชื่อถือว่า “แต่ข้าจับปลาดุกใหญ่ตัวนั้นได้จริงๆ นะ…”

พูดมาถึงตรงนี้ กังวลว่าชุยเฉิงจะไม่เชื่อ เผยเฉียนจึงถลกแขนเสื้อขึ้น ผลกลับต้องโมโหหนักกว่าเดิม สุดท้ายก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “ลืมไปเลยว่าแผลเป็นนั่นหายไปตั้งนานแล้ว”

แต่ไม่นานเผยเฉียนก็คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า “โชคดีที่ปีนั้นอาจารย์ไปเก็บยาสมุนไพรกำหนึ่งมาโยนไว้ตรงหน้าข้า ทุบให้ละเอียดแล้วโปะไว้บนแขนก็ไม่เจ็บเลยสักนิด เจ้าว่าแปลกหรือไม่? ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่? เจ้าคงไม่เข้าใจสินะ?”

ชุยเฉิงยิ้มพลางพยักหน้ารับ

หลังจากนั้นมา

เผยเฉียนก็ยังคงคัดตัวอักษรทุกวัน และคอยฝึกวิชากระบี่มารคลั่งอยู่เป็นระยะ

ชุยเฉิงเพียงแค่พาเผยเฉียนเดินทางไปช้าๆ

วันนี้เห็นเผยเฉียนขว้างหินลงบนผิวน้ำ ผู้เฒ่าจึงถามชวนคุยว่า “นังหนูเผย คำพูดที่ทำให้เจ้าเสียใจที่สุดในชีวิตนี้คืออะไร?”

เผยเฉียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ผู้เฒ่าจึงถามซ้ำอีกรอบ

เผยเฉียนนั่งอยู่ริมน้ำ ตอบเนิบช้าว่า “มีอยู่สองครั้งกระมัง ครั้งหนึ่งคือตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมริมชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียนของใบถงทวีป อันที่จริงอาจารย์ไม่ได้พูดอะไร อาจารย์แค่มองข้า แต่ข้ากลับเสียใจมาก”

“ภายหลังมีอยู่ประโยคหนึ่ง เป็นเจ้าห่านขาวใหญ่นั่นที่พูด เขาถามข้าว่า หรือว่าจะต้องรอให้อาจารย์ตายก่อน ถึงจะยอมฝึกหมัด ข้าเสียใจจนนอนไม่หลับเลย”

ชุยเฉิงจึงไม่พูดอะไรอีก

เผยเฉียนที่ดูเหมือนว่าจะกลับไปไร้ทุกข์ไร้กังวลได้อย่างรวดเร็วอีกครั้งเด็ดหญ้าไร้ชื่อริมลำคลองมาสองต้น แล้วเล่นดึงหญ้า (การละเล่นอย่างหนึ่งของเด็กจีน คนเล่นสองคนจะหาหญ้าที่มีความเหนียวทนทานมาเกี่ยวกันแล้วดึงรั้งกันไปมา หญ้าของใครขาดก่อนคนนั้นแพ้) ที่เด็กบ้านนอกในชนบทชอบเล่นกันมากที่สุดอยู่กับตัวเอง

เส้นทางภูเขาสายน้ำยาวไกล ในที่สุดพวกเขาก็ค่อยๆ เดินไปจนถึงสถานที่ที่มีผู้คน

ชุยเฉิงยังคงพาเผยเฉียนเดินทางไปเยือนสถานที่ที่มีชื่อเสียง ขณะที่หยุดอยู่ตรงหน้าผาสูงชันแห่งหนึ่ง ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สมกับคำว่าลวดลายหน้าผาดุจบุปผาเหล็กแกะสลัก ปราณเย็นผนึกคางคกจำศีลจริงๆ”

เผยเฉียนอืมรับหนึ่งทีพลางพยักหน้ารับเบาๆ ราวกับว่าตัวเองฟังเข้าใจทั้งหมด

ชุยเฉิงหันหน้ามายิ้มกล่าว “ชินกับการที่สองเท้าเหยียบพื้นขึ้นเขาลงห้วยแล้ว ต่อจากนี้พวกราสองคนมาข้ามเขาข้ามดอยกันจริงๆ สักที กล้าหรือไม่?”

เผยเฉียนแปะยันต์แผ่นหนึ่งไว้บนหน้าผาก พูดอย่างห้าวเหิมว่า “คนในยุทธภพ มีเพียงทำไม่ได้ ไม่มีไม่กล้าทำ!”

ชุยเฉิงไม่ได้ทะยานลมเดินทางไกล แต่ปีนเหยียบขึ้นผนังหน้าผาไป ด้านหลังคือเผยเฉียนที่ทำเลียนแบบเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

ไปถึงยอดเขา อยู่ห่างจากภูเขาเขียวที่ห่างไปไกลอย่างน้อยก็มีระยะทางสิบกว่าลี้

ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “จับไม้เท้าเดินป่าและหีบไม้ไผ่ให้แน่น”

ไม่รอให้เผยเฉียนถามอะไร ผู้เฒ่าก็จับไหล่นาง ยิ้มพลางตวาดเสียงดังว่า “เจ้าไปได้!”

เผยเฉียนที่ราวกับกลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ขี่เมฆทะยานหมอก แรกเริ่มยังตกใจจนมือเท้าเย็นเฉียบ เพียงแต่ว่าไม่นานก็ปรับตัวได้ นางร้องว้าวหนึ่งที แล้วก็เริ่มทำท่าหมาตะกายน้ำ ก้มหน้ามองไป ภูเขาสายน้ำเลื้อยคดเคี้ยวอยู่ใต้ฝ่าเท้า

ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวนี่นา

ในขณะที่กำลังจะพุ่งเข้าไปในภูเขาเขียวฝั่งตรงข้าม เผยเฉียนปรับลมหายใจของตัวเองเบาๆ ยืดขยายร่างอยู่กลางอากาศ เปลี่ยนท่าทางแล้วปรับเปลี่ยนวิถีการโคจรเล็กน้อย ใช้สองเท้าเหยียบบนต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง ขาทั้งสองข้างพลันงอลงในชั่วพริบตา ร่างทั้งร่างขดตัวห่องอ ต้นไม้ใหญ่ถูกเท้าของนางเหยียบจนหักครึ่ง เมื่อลำต้นไม้ที่หักหล่นกระแทกลงบนพื้น เผยเฉียนก็ดีดปลายเท้าเบาๆ พลิ้วกายลงบนพื้น ชุยเฉิงมายืนอยู่ข้างกายนางแล้ว เขาเอ่ยว่า “มาแข่งกันว่าใครจะไปถึงยอดเขาก่อน”

เผยเฉียนชักเท้าวิ่งตะบึงประหนึ่งควันเขียวกลุ่มหนึ่ง ชุยเฉิงทิ้งระยะห่างจากเผยเฉียนประมาณห้าหกจั้งตลอดเวลา มองเห็น แต่ไล่ตามไม่ทัน

ท่ามกลางการเดินทางบนเส้นทางภูเขาช่วงหลัง หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กก็เดินมุ่งไปในแนวเส้นตรงตลอดเช่นนี้ หากเบื้องหน้าไร้เส้นทางให้ก้าวเดิน ชุยเฉิงก็จะโยนเผยเฉียนออกไป

ถึงท้ายที่สุด เผยเฉียนก็ถึงขั้นสามารถร่ายวิชากระบี่มารคลั่งของนางอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกได้