บทที่ 1049 มือธนูอันดับหนึ่งแห่งจี้กวง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,049 มือธนูอันดับหนึ่งแห่งจี้กวง

มือธนูหนุ่มผู้นี้ยังอายุน้อยเกินไปที่จะตาย

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีในขณะนี้ยังไม่สามารถเทียบกับหลินเป่ยเฉินได้แม้แต่ปลายเส้นผม

แต่ในอนาคต มือธนูหนุ่มคือความหวังของประเทศชาติ

ดังนั้น เขาจึงก้าวถอยหลังกลับไปอย่างเงียบงัน

องค์ชายอวี่ชำเลืองมองไปที่หลินเป่ยเฉินอย่างพยายามสะกดกลั้นความคับแค้นในจิตใจ

บัดนี้ ความโกรธแค้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

จำเป็นต้องอาศัยความเยือกเย็นเท่านั้น

จักรวรรดิจี้กวงตกอยู่ในอันตราย เขาจำเป็นต้องตัดสินใจให้ดี

องค์ชายอวี่ยกมือโบกสะบัด

เป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวสงบจิตใจ

หลังจากนั้น เขาจึงได้กล่าวต่อหลินเป่ยเฉินว่า “หัวหน้านักบวชหลิน ไม่ทราบว่าข้ามีคุณสมบัติดีพอที่จะสู้กับเจ้าหรือไม่?”

บรรดาแม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าบนเรือเหาะสีขาวต่างก็ตกตะลึงไปทันที

“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

“องค์ชายอย่าทำเช่นนี้เลย”

“ห้ามเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”

แม่ทัพใหญ่หลายนายรีบเข้ามาโน้มน้าวให้องค์ชายอวี่เปลี่ยนใจ

“ท่านพ่อ อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วามเลยเพคะ”

องค์หญิงอวี่เค่อซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มองครักษ์อดแสดงตัวออกมาไม่ได้และคว้าจับแขนของบิดาตนเองแนบแน่น

เด็กสาวผู้เป็นยอดอัจฉริยะแห่งจักรวรรดิจี้กวง เดิมทีมีสีหน้าเย็นชายิ้มแย้มต่อทุกสิ่งทุกอย่าง แต่บัดนี้ มันเป็นครั้งแรกที่ใบหน้าของนางปรากฏความตื่นกลัวออกมาอย่างชัดเจน

นางกลัวว่าบิดาจะไปยืนอยู่บนแท่นประลองบนหน้าผานั่นจริง ๆ

ในเวลานี้ แท่นประลองบนผาดาวตกแทบไม่ต่างไปจากลานประหารในสายตาของชาวจี้กวง

องค์ชายอวี่ก้มหน้ามองบุตรสาวของตนเอง

องค์หญิงอวี่เค่อมีน้ำตาคลอเต็มสองเบ้า

บนหน้าผาดาวตก

สายตาของหลินเป่ยเฉินจับจ้องอยู่ที่องค์ชายอวี่

พวกเขาเปรียบเสมือนคนรู้จักกัน

เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไรออกมา

แต่เขารอคอย

แน่นอนว่าองค์ชายอวี่ย่อมมีคุณสมบัติดีพอที่จะออกมาต่อสู้

แต่ทันใดนั้น…

วูบ!

ลำแสงพุ่งออกมา

แล้วร่างที่สูงใหญ่ของชายชราผู้มีแขนยาวเลยหัวเข่าก็ปรากฏตัวบนผาดาวตก

เป็นซูถิงฟาง

มือธนูอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิจี้กวง ซูถิงฟาง

ผู้มีพลังขั้นเซียนอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิจี้กวง ซูถิงฟาง

หัวหน้านักบวชจากมหาวิหารเทพแห่งธนู ซูถิงฟาง

“ไม่รู้ว่าข้ามีคุณสมบัติดีพอที่จะต่อสู้กับหัวหน้านักบวชหลินหรือไม่?”

สีหน้าของชายชราเย็นชา ดวงตาบรรจุด้วยความแค้นและจิตสังหาร

หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “ประเสริฐ ศีรษะของท่านมีค่ามากพอที่จะวางไว้บนโต๊ะบูชาศิษย์พี่ฮันของข้า”

ซูถิงฟางเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า

บนเรือเหาะสีขาว เหล่านายทหารของจักรวรรดิจี้กวงล้วนมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป

หากเป็นในอดีต พวกเขาคงมั่นใจในตัวของชายชราร่างกำยำผู้นี้

เนื่องจากซูถิงฟางเป็นผู้มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิจี้กวง

ธนูของเขาแข็งแกร่งไร้เทียมทาน

ไม่เคยมีใครรอดชีวิตจากการยิงลูกธนูของซูถิงฟางเกินสามดอก

ไม่มีใครไม่ตาย

ในจักรวรรดิจี้กวง คำว่าซูถิงฟางสามพยางค์คือตัวแทนของความไร้เทียมทาน

เขาคือเทพเจ้าที่มือธนูทุกคนกราบไหว้บูชา

ไม่ว่าศัตรูจะแข็งแกร่งเพียงใด ไม่ว่าศัตรูจะน่ากลัวขนาดไหน ตราบใดที่ซูถิงฟางออกไปแสดงฝีมือ พวกเขาย่อมได้รับชัยชนะ

แต่วันนี้แตกต่างออกไป

เพราะเด็กหนุ่มชุดขาวผู้ยืนอยู่บนผาดาวตกในขณะนี้ ได้สร้างความตกตะลึงและแรงกดดันให้แก่ทุกคนเอาไว้หนักหน่วงมากเกินไป

ไม่เคยมีผู้ใดสามารถสร้างแรงกดดันให้แก่เหล่าแม่ทัพใหญ่ขุนพลผู้กล้าของกองทัพจี้กวงมากเท่านี้มาก่อน

ทั้ง ๆ ที่แม่ทัพใหญ่ขุนพลผู้กล้าเหล่านี้ต่างก็ผ่านสมรภูมิรบมาอย่างโชกโชน พวกเขาเคยพบเห็นศพคนตายนอนกองเป็นภูเขาเลากา แล้วยังจะมีความสยองขวัญชนิดใดสามารถสั่นคลอนจิตใจของพวกเขาได้อีก?

แต่พวกเขาก็พบเจอความสยองขวัญนั้นเมื่อได้เห็นฝีมือของเด็กหนุ่มชุดขาวผู้ยืนถือคทาเงินอยู่บนแท่นประลองบนหน้าผาคนนี้

“ผู้อาวุโสซู เหตุไฉนท่าน…”

องค์ชายอวี่กำลังจะพูดว่า ‘เหตุไฉนท่านถึงต้องยอมสละชีวิตของตนเอง’ แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกมา

นั่นเป็นเพราะว่าองค์ชายอวี่นึกถึงสถานะมือธนูอันดับหนึ่งแห่งจี้กวงของซูถิงฟางและเกรงว่าคำพูดของตนอาจจะเป็นการดูหมิ่นซูถิงฟางโดยไม่ได้ตั้งใจ มิหนำซ้ำ นั่นอาจจะทำให้ซูถิงฟางเข้าใจว่าองค์ชายอวี่ไม่เคยเห็นเขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งจริง ๆ ก็เป็นได้

แต่ซูถิงฟางย่อมเข้าใจความหมายขององค์ชายอวี่

เขาหัวเราะออกมาอย่างห้าวหาญ

“จักรวรรดิของเราอาจขาดแคลนทหารที่รู้จักการฆ่าฟัน แต่ไม่เคยขาดแคลนทหารผู้รู้หน้าที่ของตนเองพ่ะย่ะค่ะ”

ซูถิงฟางพูดโดยไม่ได้เหลียวหน้ามองกลับไปทางเรือเหาะของตนเอง “กราบทูลองค์ชาย พระองค์ทรงรักษาตัวให้ดี หลังจากความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ พวกเราต้องสูญเสียมณฑลลั่วหนาน และในภายภาคหน้า จี้กวงก็คงต้องอาศัยความชาญฉลาดของพระองค์แล้ว”

ในโลกแห่งวรยุทธ์ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงได้รับความเคารพ

ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งสามารถฆ่าคนได้เพื่อความโกรธแค้น

ยอดฝีมือคนหนึ่งสามารถฆ่าคนทั้งเมืองได้เพื่อความโกรธแค้น

ผู้มีพลังขั้นเซียนคนหนึ่งสามารถสังหารทั้งจักรวรรดิได้เพื่อความโกรธแค้น

ซูถิงฟางรู้ดีว่าตนเองอยู่ในระดับยอดฝีมือที่สามารถฆ่าคนได้ทั้งเมือง

แต่เขาไม่ใช่ผู้มีพลังขั้นเซียนที่สามารถสังหารคนได้ทั้งจักรวรรดิ

ทว่า เด็กหนุ่มชุดขาวผู้ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเขาในขณะนี้ มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับนั้น

ดังนั้น ชายชราจึงต้องออกมาตามคำท้าของหลินเป่ยเฉิน

เพราะเขาไม่อยากปล่อยให้จักรวรรดิจี้กวงต้องสูญเสียมากไปกว่านี้อีกแล้ว

ซูถิงฟางตั้งใจใช้ความตายของตนเอง เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธแค้นให้แก่นายทหารรุ่นหลัง แม้อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่นายทหารหลายคนจะสามารถเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นเซียนได้ แต่เมื่อถึงตอนนั้น ทุกคนก็จะเติบโตขึ้นมาพร้อมกับจิตใจที่อาฆาตแค้นหลินเป่ยเฉินพร้อมกับอาฆาตแค้นจักรวรรดิเป่ยไห่ และพวกเขาก็จะต้องทวงคืนความยิ่งใหญ่กลับมาให้แก่ชาวจี้กวงได้อย่างแน่นอน

แต่กว่าที่จะไปถึงช่วงเวลานั้น จักรวรรดิจี้กวงก็ต้องฟื้นตัวขึ้นมาจากความพ่ายแพ้ให้ได้เสียก่อน การฝ่าฟันสถานการณ์ที่ยากลำบากจำเป็นต้องใช้ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และคงไม่มีผู้ใดเหมาะสมสำหรับตำแหน่งนี้มากไปกว่าองค์ชายอวี่อีกแล้ว

นอกจากองค์ชายอวี่จะมีพลังยุทธ์แข็งแกร่ง พระองค์ท่านยังมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ชาญฉลาด ปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศ และควรค่าเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นองค์จักรพรรดิองค์ต่อไป

เพราะฉะนั้น

องค์ชายอวี่จึงจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อ!

นี่คือการตัดสินใจของซูถิงฟาง

คำพูดของชายชราทำให้องค์ชายอวี่น้ำตาไหลออกมา

เขาเข้าใจเจตนาของซูถิงฟางแล้ว

บนผาดาวตกในขณะนี้

ซูถิงฟางเริ่มโคจรพลังปราณธาตุของตนเอง

มวลอากาศปั่นป่วน…

พลังกดดันแผ่คุกคาม

ทันใดนั้น เศษฝุ่นทรายบนพื้นดินก็ลอยขึ้นมาในอากาศ

ลมหมุนสายหนึ่งหอบพัดกระโชกแรงนำพาเศษฝุ่นทรายเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นพายุทรายลูกใหญ่ที่น่าตื่นตระหนก…

“หัวหน้านักบวชหลิน สมัยก่อนข้ามีอาวุธคู่กายเป็นลูกธนูสามดอกที่เรียกว่าธนูฟ้า ธนูดิน และธนูมนุษย์ ผู้คนต่างยกย่องให้พวกมันเป็นลูกธนูที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เมื่อปีที่แล้ว ข้าสามารถผนวกรวมธนูทั้งสามดอกให้กลายเป็นธนูดอกเดียวได้สำเร็จ… ไม่ทราบว่าเจ้าลองรับการโจมตีของธนูนี้ของข้าดูหน่อยเป็นอย่างไร?”

นี่คือการทักทายจากชายชรา

การจู่โจมกระบวนท่าแรกของเขาจะเป็นการจู่โจมที่รุนแรงที่สุด

เพราะซูถิงฟางกลัวว่าตนเองจะไม่มีโอกาส

เขากลัวว่าเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นี้จะไม่พูดไม่จา ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้เป็นฝ่ายโจมตี หากหลินเป่ยเฉินควงไม้คทาเข้ามาเมื่อไหร่ โอกาสโจมตีของซูถิงฟางก็คงจบสิ้นลงเมื่อนั้น

หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “ย่อมได้”

เขาเห็นด้วย

ชายชราผู้นี้สมควรได้รับความเคารพอยู่บ้าง

ยิ่งไปกว่านั้น หลินเป่ยเฉินเองก็อยากจะรู้ว่าฝีมือของมือธนูอันดับหนึ่งแห่งจี้กวงนั้น จะน่าเกรงขามไร้เทียมทานสมคำเล่าลือหรือไม่

แต่ที่สำคัญก็คือหลินเป่ยเฉินเป็นคนช่างฝัน

และหนึ่งในความฝันของเขาก็คือการเป็นมือธนูผู้เก่งกาจที่สุดในปฐพี

“ประเสริฐ”

ดวงตาของซูถิงฟางพลันเป็นประกายระยิบระยับ

เมื่อร่างกายห้อมล้อมด้วยพายุหมุนเม็ดทราย ซูถิงฟางก็ระเบิดเสียงคำรามดังกังวานกึกก้อง ร่างกายของเขาคล้ายกับโป่งพองขึ้น ลำตัวยืดยาวมากกว่าปกติถึงสองเท่า และพลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายนั้น ก็เหนือล้ำมากกว่าคู่ต่อสู้ทุกคนที่หลินเป่ยเฉินเคยเผชิญหน้ามาในวันนี้

“ธนูฟ้า สายลมพัดพา… รั้งสายธนู”

เมื่อชายชรากางแขนออกกว้าง สายลมและเม็ดทรายระหว่างฝ่ามือกับนิ้วมือของเขาก็ถักทอเส้นไหมสีเงินออกมาอย่างน่ามหัศจรรย์

“ธนูดิน เม็ดทรายเป็นคันศร… ขจรเจิดจ้า”

เมื่อซูถิงฟางขยับนิ้วมืออีกครั้ง สายลมและเม็ดทรายเบื้องหน้าก็รวมตัวกันกลายเป็นคันธนูขนาดใหญ่ยักษ์ยาว 12 เซี๊ยะ มีความโค้งงอแข็งแกร่งไม่ต่างไปจากมังกรตัวหนึ่ง

“ธนูมนุษย์ เปลี่ยนบุรุษเป็นลูกศร…”

หลังตะโกนถ้อยคำเหล่านี้ออกมา ร่างของซูถิงฟางก็แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นลูกศรขนาดใหญ่ยักษ์ที่ประทับอยู่กับคันธนูทรายซึ่งรั้งสายพร้อมยิง

ชายชราใช้หัวของตนเองแทนหัวธนู ใช้ร่างกายของตนเองแทนก้านธนู พลังลมปราณในร่างกายโคจรเต็มอัตรา ก่อนที่ธนูจะถูกยิงออกมาในที่สุด!

ฟ้าว!

เสียงธนูพุ่งแหวกอากาศ

นับว่าธนูฟ้าดินมนุษย์ได้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งแล้วจริง ๆ

สมแล้วที่เป็นการโจมตีจากมือธนูอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิจี้กวง!!!