ราชันเร้นลับ 1184 : ‘บันทึก’

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ปัจจุบันยังไม่มีหนอนดวงดาว…อาจารย์ฝากเราถามว่าผู้ซื้อต้องการหนอนดวงดาวไปทำอะไร…ฟอร์สอ่านจดหมายตอบกลับของอาจารย์พลางถอนหายใจโล่งอก

แต่เมื่อจินตนาการว่าปฏิบัติการล่านักบุญเร้นลับ โบทิส กำลังจะเริ่มขึ้น ฟอร์สอดไม่ได้ที่จะประหม่า เพราะท้ายที่สุดอีกฝ่ายเป็นถึงครึ่งเทพและอยู่ในลำดับสี่ มาหลายปีแล้ว ปัจจุบันอาจกลายเป็นลำดับสามแล้วก็ได้

แม้ว่าคนลงมือหลักจะเป็นมาดามเฮอร์มิท แต่ในฐานะเหยื่อล่อเราก็ควรเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง…ยิ่งไปกว่านั้น เบื้องหลังชุมนุมแสงเหนือยังมีกุหลาบไถ่บาปที่เต็มไปด้วยเทวทูตและราชาเทวทูต…ฟอร์สไม่เสียใจที่ตนรับทำงานให้เกอร์มันสแปร์โรว์ เพราะนี่คือสิ่งที่เธอสมัครใจและอยากจะทำ เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะกระสับกระส่าย

เธอเริ่มจินตนาการถึงความเป็นไปได้อื่น

ถ้ามิสเตอร์เวิร์ลเข้าร่วมและนำทีมด้วยตัวเอง…เราคงสบายใจกว่านี้มาก…

ไม่ใช่เพราะฟอร์สไม่เชื่อใจฝีมือและประสบการณ์ของมาดามเฮอร์มิท เพียงแต่เมื่อเทียบกับเดอะเวิร์ล อีกฝ่ายเป็นคนละระดับ เกอร์มันสแปร์โรว์เคยล่าครึ่งเทพตามลำพังมานักต่อนัก ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะสบายใจเมื่อมีคนเช่นนั้นคอยนำทีม

ซิลที่นั่งข้างเตาผิงชำเลืองเพื่อนสนิทก่อนจะถาม

“สรุปว่าต้องล่าเหยื่อใช่ไหม”

“ใช่…” ฟอร์สพยักหน้าเคร่งขรึมและกล่าวต่อ “แต่ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ อีกหลายคนยังต้องใช้เวลาเตรียมตัว”

การล่าครึ่งเทพไม่ง่ายเหมือนกับการล่าสุนัขจิ้งจอกแถบชานเมือง ไม่จบแค่การชักชวนเพื่อนและเตรียมอุปกรณ์ ภารกิจดังกล่าวต้องมีการวางแผนที่เข้มงวดและรอบคอบ ฟอร์สเชื่อว่ามาดามเฮอร์มิทอาจต้องมาเยือนกรุงเบ็คลันด์ด้วยตัวเอง หรือไม่ก็เก็บตัวคิดหาแผนฆ่าอยู่ในสนามรบจำลองที่ใดสักแห่ง

และมิสจัสติสก็ยังต้องเร่งมือย่อยโอสถนักท่องฝัน อาจใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งถึงสองเดือน

สำหรับฟอร์ส เธอสามารถรอได้ เพราะยังต้องย่อยโอสถนักบันทึกและประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นนักท่องเที่ยวก่อนภารกิจจะเริ่มขึ้น

สิ่งเดียวที่เธอไม่มั่นใจก็คือ เดอะเวิร์ลจะกระตุ้นให้ทุกคนเร่งมือหรือไม่

เราต้องพยายามโน้มน้าวเขา…ไม่สิ ต้องให้มิสจัสติสช่วยโน้มน้าว นี่คือความถนัดของผู้ชม…ขณะฟอร์สกำลังพึมพำ ซิลหันมากล่าวด้วยสีหน้าเจือความลังเล

“วันนี้เจ้าหน้าที่ เอ็มไอเก้า คนที่คอยประสานงาน ยื่นข้อเสนอให้ฉันเข้าทำงานกับรัฐบาลอย่างเปิดเผย โดยบอกว่าหลังจากกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์แทน เรื่องเก่าๆ ในอดีตจะไม่ถูกขุดคุ้ยและเขากับฉันจะมีโอกาสได้ทำงานในตำแหน่งสำคัญ”

ฟอร์สฟังอย่างตั้งใจและไตร่ตรองสักพัก

“คงไม่ใช่วิธีสอบสวนพวกเราในรูปแบบใหม่หรอกนะ…เพราะนั่นจะทำให้พวกเขาค้นพบองค์กรเบื้องหลังเธอได้ง่ายขึ้น”

ซิลพยักหน้า

“ไม่หรอก พวกเขาเชื่อว่าฉันถูกเขี่ยทิ้งหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวจบลง และองค์กรที่ว่าน่าจะอยู่ในรูปแบบของศาสนจักร…โบสถ์รัตติกาล”

ซิลเป็นผู้ศรัทธาเทพธิดารัตติกาล เมื่อเอ่ยถึงศาสนจักรย่อมหมายถึงโบสถ์เทพธิดา แต่เนื่องจากเพื่อนสนิทของเธอนับถือเทพจักรกลไอน้ำ จึงต้องเน้นย้ำว่าเป็นศาสนาใดเพื่อหลีกเลี่ยงความคลุมเครือ

“หึหึ…นั่นคือสิ่งที่มิสเตอร์เวิร์ลบอกให้พวกเราแสร้งทำ” ฟอร์สลูบผมด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

จากนั้นก็วางมาดขึงขังด้วยความเป็นผู้ใหญ่

“ซิล นี่เป็นโอกาสสำคัญสำหรับเธอ การสวมบทบาทเป็นผู้พิพากษาจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ลำพังการเป็นผู้ตัดสินของโลกใต้ดินเบ็คลันด์ยังไม่เพียงพอ…ลำดับในปัจจุบันของเธอยังค่อนข้างต่ำ อาจช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นได้ไม่มากเท่าที่ควร…ถ้าเธอได้รับโอกาสให้ทำหน้าที่ผู้พิพากษาในศาลแขวงหรือศาลอาญาสักสองสามเดือน โอสถคงถูกย่อยอย่างรวดเร็ว…จริงสิ ฉันเคยได้ยินจาก เอ็มไอเก้า ว่ามี ‘ศาลคดีลี้ลับ’ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติโดยเฉพาะ ถ้าเธอได้เข้าไปทำงาน อาจกลายเป็นอัศวินวินัยได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมปีหน้า”

เมื่อเห็นซิลเริ่มคล้อยตาม ฟอร์สรีบเสริม

“เมื่อเธอสร้างผลงานได้มากพอ ก็มีสิทธิ์ที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของพ่อกลับมาได้ในระดับหนึ่ง เพราะในเมื่อจอร์จที่สามตายไปแล้ว ตราบใดที่การฟื้นฟูชื่อเสียงของพ่อเธอไม่ส่งผลกระทบต่อเขา เจอร์วิงตันที่สองก็คงไม่ลงมือทำอะไร”

เจอร์วิงตันเป็นบุตรชายคนโตของจอร์จที่สาม ปัจจุบันสืบทอดมงกุฎจักรพรรดิแห่งไบลัมและกษัตริย์โลเอ็นต่อจากบิดา

ซิลที่ตั้งใจฟังอย่างเงียบงันในที่สุดก็พยักหน้า

“ฉันจะลองดู”

“เธอยังสามารถพาแม่กับน้องชายย้ายเข้ามาในเบ็คลันด์ได้ด้วย แม้สถานการณ์สงครามจะกำลังตึงเครียดจนราคาอาหารพุ่งสูงขึ้น แต่เธอมีสวัสดิการของ เอ็มไอเก้า ซึ่งจะแจกจ่ายมายังครอบครัว!” ยิ่งฟอร์สพูด ซิลก็ยิ่งรู้สึกว่าการเข้าร่วมกับ เอ็มไอเก้า มีแต่ได้กับได้

หลังจากเกลี้ยกล่อมซิลเสร็จ ฟอร์สเดินกลับเข้าห้องนอนและสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล ขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยถ่ายทอดข้อความไปยังเดอะเวิร์ล

ระหว่างนั้นฟอร์สได้เล่าประเด็นสำคัญในจดหมายของอาจารย์ รวมถึงการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวเพื่อให้เกอร์มันสแปร์โรว์ช่วยใจเย็น

หลังจากวิงวอนเสร็จและเตรียมออกจากห้อง หญิงสาวมองเห็นสายหมอกสีเทาปกคลุมทัศนียภาพ และเห็นกระแสน้ำสีแดงเข้มพรั่งพรูออกจากความว่างเปล่าจนท่วมท้นร่างกาย

ฟอร์สพบว่าตนกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางวังโบราณบนเก้าอี้พนักสูงเหมือนทุกครั้ง แต่ในตำแหน่งประธานกลับปราศจากตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งร่างกายปกคลุมด้วยม่านหมอกสีเทา

ในเวลานี้มีเพียงเธอและเดอะเวิร์ล เกอร์มันสแปร์โรว์เพียงสองคน

“…” ฟอร์สเครียดขึ้นมาทันที รีบคิดบทสนทนาและพูดออกไป “มิสเตอร์เวิร์ล ฉันหมายความว่าหากคุณอดทน ผลลัพธ์ของงานจะออกมาดีที่สุด แต่ถ้าคุณมีเหตุเร่งด่วนก็ไม่เป็นอะไร พวกเราจะหาโอกาสเริ่มปฏิบัติการโดยเร็วที่สุด”

ไคลน์หัวเราะแห้ง

“ไม่ต้องกังวล ผมไม่รีบ”

เมื่อเป้าหมายสูงสุดคือสูตรโอสถระดับเทวทูตและสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ชายหนุ่มอดทนในเรื่องแบบนี้ได้เป็นอย่างดี

ฟู่ว…เมจิกเชี่ยน ฟอร์ส ถอนหายใจโล่งอกก่อนจะถามเสียงฉงน

“แล้วคุณอยากให้ดิฉันทำอะไร”

ไคลน์ตอบเสียงเรียบ

“อยากย่อยโอสถนักบันทึกโดยเร็วไม่ใช่หรือ? นอกจากการบันทึกวัฒนธรรมและทัศนียภาพของดินแดนแปลกใหม่ ผมคิดว่าคุณต้องบันทึกพลังพิเศษชนิดต่างๆ ให้มากที่สุด ยิ่งมีระดับสูงเท่าไรก็ยิ่งย่อยได้เร็วเท่านั้น”

ดวงตาฟอร์สส่องประกายทันที

“ต…ตกลง!”

หลังจากโพล่งออกไป เธอเริ่มตระหนักว่าท่าทีของตนโจ่งแจ้งเกินไปหน่อย จึงรีบเสริมอย่างกระอักกระอ่วน

“นี่คือการจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าที่คุณเคยพูดถึงใช่ไหม”

ไคลน์พยักหน้าสำรวจ

“มาเริ่มกันเลย…เตรียมตัวให้พร้อม ผมยืมสมบัติวิเศษระดับหนึ่ง มาจากมิสเตอร์ฟูลแล้ว พลังของมันอยู่ในขอบเขตนักบุญ”

สำหรับนักบันทึกลำดับหกโอกาสที่จะบันทึกพลังระดับเทวทูตสำเร็จนั้นเกือบเป็นศูนย์ ไคลน์จึงไม่พยายามอัญเชิญมิสผู้ส่งสารและมิสเตอร์อะซิกออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์เพื่อสำแดงพลัง

ฟอร์สนั่งหลังตรงพลางผงกศีรษะหนักแน่น

“ค่ะ!”

วินาทีถัดมา เธอเห็นเดอะเวิร์ล เกอร์มันสแปร์โรว์ยกคทากระดูกที่เลี่ยมด้วยอัญมณีสีฟ้าขึ้น

ท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจ้า สายฟ้าหลายเส้นโผล่ออกจากความว่างเปล่าและถักทอเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นผืนป่าสายฟ้าคำราม มอบบรรยากาศทำลายล้างอย่างท่วมท้น

ดวงตาฟอร์สสะท้อนแสงสีเทาสว่างด้วยอากัปกิริยาตกตะลึง

หลังจากพายุสายฟ้าสงบลง หญิงสาวทำหน้ามึนงงสักพักก่อนจะกล่าว

“ล้มเหลว…”

“เอาใหม่” ไคลน์ตอบเสียงเย็น

พายุสายฟ้าอุบัติขึ้นหนแล้วหนเล่าท่ามกลางวังโบราณเหนือสายหมอก จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ฟอร์สเอนหลังพิงเก้าอี้พลางกล่าวด้วยสีหน้ายินดีปรีดา

“ส…สำเร็จ! สำเร็จแล้ว!”

ในที่สุดเธอก็ประสบความสำเร็จในการบันทึกพายุสายฟ้า

จบสักที…เมื่อฟอร์สเริ่มผ่อนคลาย เธอได้ยินเสียงเย็นเยียบของเดอะเวิร์ลถูกเปล่ง

“เอาล่ะ…พลังต่อไป”

…ต่อไป? เพียงพริบตา ฟอร์สเห็นนักผจญภัยเสียสติเหยียดแขนขวาเข้าไปในสายหมอกและดึงไม้กางเขนทองแดงซึ่งพันด้วยหนามออกจากความว่างเปล่า

ให้บันทึกพลังของไม้กางเขน? ฟอร์สพยายามเก็บสีหน้า

หลังจากโอสถนักบันทึกของเธอย่อยไปถึงระดับหนึ่ง สิทธิ์ในการบันทึกพลังครึ่งเทพได้เพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง

“เปล่า…” ไคลน์ชำเลืองมิสเมจิกเชี่ยนก่อนจะพูด “บันทึกพลังที่ผมใช้ดึงไม้กางเขนออกมา”

“…ล้มเหลว” ฟอร์สกระซิบกระซาบ

สาเหตุของความล้มเหลวคือเธอบันทึก ‘ไม่ทัน’

ไคลน์ยกเลิกภาพฉายไม้กางเขนและล้วงมือเข้าไปหยิบปืนลูกโม่สีดำออกไปหนึ่งกระบอก

“ไม่สำเร็จ…” ฟอร์สตอบด้วยสีหน้าซับซ้อน

ภายในใจเธออยากจะกลับสู่โลกความจริงและวิเคราะห์พัฒนาการของโอสถ แต่ฟอร์สทำเช่นนั้นไม่ได้เพราะ ‘กริ่งหมดคาบ’ ยังไม่ดังขึ้น

เกือบสามสิบครั้งถัดมา ขณะที่พลังใจและพลังวิญญาณของหญิงสาวใกล้เหือดแห้ง ในที่สุดเธอก็บันทึก ‘อัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์’ ได้สำเร็จ

ตอนนี้เธอรู้สึกอยากพรั่งพรูน้ำตาอาบสองแก้ม แต่ก็ยังต้องสงวนท่าทีเพื่อให้ดูเป็นนักเรียนที่ดีในสายตาอีกฝ่าย

“พลังชนิดนี้สามารถอัญเชิญผู้คนหรือวัตถุที่เกี่ยวข้องกับตัวเองออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์? เมื่อเวลานั้นมาถึง ฉันควรอัญเชิญใครหรือวัตถุชิ้นใด?”

ไคลน์จ้องมิสเมจิกเชี่ยนและตอบหน้านิ่ง

“ผม”

“…” ฟอร์สยิ้มแห้งก่อนจะถาม “ตัวคุณในช่วงเวลาใด?”

“ครั้งล่าสุดที่พวกเราได้พบกัน” ไคลน์คิดคำตอบไว้แล้ว

ในช่วงเวลาดังกล่าว ไคลน์ที่เป็นปราชญ์โบราณเรียบร้อยแล้ว เดินทางไปรับมิสเมจิกเชี่ยนกลับจากโลกแห่งน้ำแข็ง จากนั้นจึงค่อยดำเนินแผนการทำลายพิธีกรรมของจอร์จที่สาม

ฟอร์สพยักหน้าขึงขังและถามตามความเคยชิน

“ถ้าล้มเหลวต้องทำยังไง? การอัญเชิญเป้าหมายที่มีระดับสูงกว่าตัวเองมากมักล้มเหลว…”

“พรุ่งนี้มาบันทึกพลังเดิมด้วย ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’” ไคลน์ตอบเสียงทุ้ม

รับประกันความสำเร็จภายในสองครั้ง? เมจิกเชี่ยน ฟอร์ส สงสัยแต่มิได้ถามออกไป เพราะเธอเห็นว่าเกอร์มันสแปร์โรว์กำลังแสดงความมั่นใจ

หญิงสาวยกมือขึ้นพร้อมกับทำท่าทาง

“ถ้าอย่างนั้น ฉันกลับได้หรือยัง?”

ไคลน์อืมในลำคอก่อนจะส่งมิสเมจิกเชี่ยนที่กำลังมีความสุขกลับไป

บนเกาะโซเนีย ภายในป่าดิบชื้น

อัลเจอร์วิลสันพาลูกน้องจำนวนหนึ่งเข้าไปในโบราณสถานเอลฟ์ที่มีผู้มาเยี่ยมเยียนไม่บ่อยนัก

…………..