ตอนที่ 1047 พลทหารสวรรค์แสงทอง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ไพ่ก้นหีบของกองทัพใหญ่ทั้งสามพลังไร้ที่สิ้นสุด หลังจากทำลายวงล้อมรอบเมืองจนสิ้นซากก็มุ่งไปยังป้อมปราการไท่เทียนเพื่อโต้กลับทันที

สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าห่างจากเมืองจินกวังไปทางทิศตะวันตกพันลี้ ผีแม่ทัพใหญ่ชุดเกราะสีเงินกับผีแม่ทัพใหญ่เส้นผมสีทองทั้งศีรษะอีกตนหนึ่งลอยอยู่ตรงนั้นสีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก ข้างกายมีผีแม่ทัพระดับแก่นแท้สีหน้าหมองคล้ำอีกหลายตน ผีร้ายในกองทัพตนอื่นแทบจะถูกกวาดจนเกลี้ยงในแสงสีทองเมื่อครู่จนหมด

พวกเขาเฝ้ามองมนุษย์ร่างยักษ์ที่เปล่งแสงสีทองกางปีกมหึมาบนแผ่นหลังบินอย่างรวดเร็วจากไปไกลโดยมีศิษย์กองทัพแสงทองหลายร้อยคนติดตาม

ไม่นานนักขบวนคนก็ค่อยๆ หายลับไปจากสายตา ดูจากทิศทางนั่นน่าจะเป็นป้อมปราการไท่เทียน

“คิดไม่ถึงว่าเผ่ามนุษย์จะยังมีไพ่ตายเช่นนี้อยู่อีก น่าชังจริง!” ผีแม่ทัพใหญ่ชุดเกราะสีเงินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“เผ่ามนุษย์ต่อสู้กับพวกเราและพวกเราในแดนรากษสได้นานหลายหมื่นปี มีความสามารถซ่อนไว้เช่นนี้ก็นับว่าปกติ” ผีแม่ทัพใหญ่ผมทองเห็นชัดว่าเยือกเย็นกว่ามาก เขาพูดเอื่อยๆ

“เหอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องเหล่านี้กระมัง กองทัพที่เจ้ากับข้านำมาถูกทำลายสิ้นแล้ว ตอนนี้สมควรทำอย่างไร?” ผีแม่ทัพใหญ่ที่สวมเกราะสีเงินถลึงตาใส่สหายอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเอ่ยขึ้นมา

“แม้มนุษย์ทองคำยักษ์ตนนี้พลังทัดเทียมผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ แต่ข้าเห็นการเคลื่อนไหวของมันแข็งทื่อ หากผีแม่ทัพใหญ่หลายตนร่วมมือกันก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานไว้ไม่ได้ ตอนนี้ต้องดูว่าผู้อาวุโสลี่เสวียนจะรีบเร่งพาสิบสองรากษสกลับมาได้ก่อนพวกเขาหรือไม่ ขอเพียงวางค่ายกลรากษสพิฆาตเซียนได้ ชัยชนะก็ยังเป็นของพวกเรา” ผีแม่ทัพใหญ่ผมทองครุ่นคิดแล้วเอ่ยออกมา

“เจ้าพูดมีเหตุผลอยู่บ้าง ถ้าเช่นนั้นก็ดี พวกเรารีบออกเดินทางไปป้อมปราการไท่เทียนเลยเถอะ” ผีแม่ทัพใหญ่เกราะเงินพยักหน้าอย่างเชื่องช้า จากนั้นทั้งสองคนก็โบกมือพาลูกน้องที่เหลืออยู่กลายเป็นเมฆดำก้อนหนึ่งมุ่งหน้าไปทางป้อมปราการไท่เทียน

……

มีมนุษย์ทองคำยักษ์เบิกทาง ภูตผีที่พบตลอดทางย่อมหลีกลี้ไปไกล

ผู้อาวุโสแซ่เว่ยนำศิษย์กองทัพแสงทองรวมถึงหลิ่วหมิงรีบเร่งเดินทางไปยังป้อมปราการไท่เทียนได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ตลอดทางไม่เปลืองเรี่ยวแรงสักนิด

สองวันหลังจากนั้น

“นั่นคือสิ่งใด!”

นอกป้อมปราการไท่เทียน กองทัพผีร้ายเห็นแสงสีทองสะดุดตาสายหนึ่งเรืองรองขึ้นที่ขอบฟ้าทิศตะวันออกแต่ไกล ต่อจากนั้นมนุษย์ทองคำร่างยักษ์ที่มีปีกอยู่บนแผ่นหลังตนหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นชัด

อึดใจต่อมาแรงกดดันจิตวิญญาณหนักหน่วงประหนึ่งจะล้มขุนเขาคว่ำสมุทรก็โถมมาถึง!

ผู้ฝึกฝนระดับสูงของกองทัพผีร้ายที่นั่นต่างหวาดผวา ผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์สี่ตนบนท้องฟ้าเหนือค่ายกลสุสานผียิ่งสีหน้าย่ำแย่

“ไม่ดีแล้ว กองหนุนของเผ่ามนุษย์มาทางนี้แล้ว เร็วยิ่งนัก อีกเดี๋ยวก็จะมาถึงแล้ว!” ผีแม่ทัพใหญ่ร่างกายบึกบึนดุจโคตนหนึ่งแววตาไหววูบเอ่ยขึ้นมา

“ทิศนั้นน่าจะเป็นกองทัพแสงทองที่เมืองจินกวัง!” ผีแม่ทัพใหญ่คิ้วแดงเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม

“เรื่องนี้ในสิบส่วนมีแปดเก้าส่วนน่าจะเกี่ยวข้องกับเด็กเผ่ามนุษย์ที่หนีไปสามสี่คนนั้น น่าชัง!” ผีแม่ทัพใหญ่ผมเขียวที่สวมชุดเกราะกระดูกสีขาวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยขึ้น

ในป้อมปราการไท่เทียน กองทัพประจำป้อมของเผ่ามนุษย์ที่นำโดยผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์สี่คนยังคงใช้สารพัดวิธีต้านการกัดกร่อนของค่ายกลสุสานผี แต่ผีแม่ทัพใหญ่ทั้งหลายไม่มีเวลาสนใจพวกเขาเหล่านั้นแล้ว ทั้งหมดจ้องเขม็งไปที่มนุษย์ทองคำยักษ์ที่มุ่งมาอย่างรวดเร็ว ความคิดวิ่งในใจเร็วจี๋ไม่หยุด

เวลาผ่านไปหลายลมหายใจ มนุษย์ทองคำยักษ์ก็พาลมปราณทำลายล้างที่ราวกับจะถล่มผืนนภาและพื้นพิภพเหาะมาอยู่ห่างป้อมปราการไม่ถึงพันจั้งอย่างรวดเร็ว

ร่างกายสูงถึงร้อยจั้งเห็นลวดลายจิตวิญญาณสีทองกับสีเงินสองสีได้อย่างชัดเจน แสงสีทองแผ่ออกมาหมื่นจั้งส่องโลกสีเทาขมุกขมัวจนเหมือนยามกลางวัน!

ทหารผีทั้งหมดที่ล้อมโจมตีเมืองอยู่เห็นเช่นนี้ก็พากันตกตะลึงหน้าถอดสียืนนิ่งอยู่กับที่!

ชิ้ง!

มนุษย์ทองคำยักษ์ลอยอยู่กลางท้องฟ้า มือกำอากาศครั้งหนึ่ง แสงสีทองนับไม่ถ้วนรอบด้านพลันรวมตัวกันกลายเป็นกระบี่แสงสีทองมหึมาอย่างยิ่งเล่มหนึ่งในพริบตา เมื่อแขนสะบัดก็พาพลังอันไร้ที่สิ้นสุดฟันลงมาใส่มหาค่ายกลสุสานผีแต่ไกล

แสงกระบี่สีทองที่สว่างผิดปกติยิ่งฟันออกมาแล้วพุ่งเร็วจี๋มายังค่ายกลใหญ่ด้วยพลังดุจอสนีบาต!

เริ่มแรกมันยาวเพียงสามสิบกว่าจั้ง แต่ทุกช่วงระยะทางหนึ่งที่บินไป มันก็ขยายใหญ่ขึ้นอีกหลายเท่า จนเมื่ออยู่ห่างมหาค่ายกลสุสานผีไม่ถึงห้าร้อยจั้ง มันก็กลายเป็นจันทร์เสี้ยวสีทองมหึมาเกือบร้อยจั้งดวงหนึ่งแล้ว!

“ถอย! ถอยเดี๋ยวนี้!”

ผึแม่ทัพใหญ่ใบหน้าสีน้ำเงินสีหน้าเปลี่ยนไปมาดั่งสายฟ้าแลบ ฉงน ตกตะลึง ฝืนกล้ำกลืน อารมณ์ต่างๆ ปรากฏไล่เรียงกันมา สุดท้ายเขาก็ตวาดลั่น ร่างกายขยับวูบเดียวเหาะหนีไป

ผีแม่ทัพใหญ่อีกสามตนที่เหลือได้ยินคำพูดของผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินก็หลบอย่างไม่ลังเลสักนิด

พรึ่บ!

ภูตผีที่ปฏิกิริยาตอบสนองไวในกองทัพผีร้ายทยอยใช้วิชาหลีกหลบ ทหารที่เหลือหลังจากได้ยินเสียงตวาดดังลั่นของผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินก็ได้สติ ต่างร้องตะโกนพลางพุ่งหนีไปด้านข้าง!

ชั่วขณะสถานการณ์น่าอเนจอนาถยิ่งนัก!

จันทร์เสี้ยวสีทองเร็วยิ่ง ไม่ทันที่ผีทุกตนจะผละถอยไปยังตำแหน่งปลอดภัย เสียงหวีดหวิวก็ดังมาถึง แรงกดดันจิตวิญญาณน่าหวาดกลัวทำให้ภูตผีมากมายที่ยังไม่ทันออกห่างจากมหาค่ายกลสุสานผีถูกกดฟุบอยู่บนพื้นไม่อาจกระดิกกระเดี้ยวได้ในทันที

แสงสีทองเจิดจ้าสะดุดตาสายหนึ่งส่งแรงกดดันซัดนำมาก่อน กวาดทหารของกองทัพผีร้ายเกือบพันตนที่ยังไม่ทันผละหนีจนเกลี้ยง!

ครู่ต่อมาจันทร์เสี้ยวสีทองก็ฟันมาถึงมหาค่ายกลสุสานผีซึ่งเป็นหมอกสีดำสนิทรูปครึ่งวงกลมอย่างเงียบเชียบ ม่านแสงรูปครึ่งวงกลมยุบลงไปลึก ม่านแสงที่ถูกกระบี่แสงฟันมีปราณสีดำนับไม่ถ้วนทะลักออกมาเดือดพล่านราวกับน้ำเดือด พร้อมกับเสียงดุจอสนีบาตดังครืนคราง

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”

เมื่อจันทร์เสี้ยวสีทองร่วงลงมา ผู้คนที่อยู่ในป้อมปราการไท่เทียนย่อมรู้สึกถึงความผิดปกติ พวกเขาส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาในทันใด

“นิ่งไว้! ลมปราณสายนี้ พลทหารสวรรค์แสงทองน่าจะมาถึงแล้ว!” ผู้เฒ่าจมูกแดงที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าเหนือป้อมปราการไท่เทียนเอ่ยพึมพำกับตนเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี

สิ้นเสียงเขาพลันมีเสียงปริแตกดังมาจากบนท้องฟ้า แสงสีทองฉายออกมาจากจุดที่มหาค่ายกลสุสานผีมหึมาถูกฟัน จากนั้นค่ายกลก็แยกเป็นสองเสี่ยงอย่างไม่มีลางบอกทั้งสิ้น มันฉีกออกเสียงดังสนั่นกลายเป็นปราณสีดำมากมายนับไม่ถ้วนในทันใด

ไกลออกไปบนท้องฟ้า พวกผีแม่ทัพใหญ่คิ้วแดงสีหน้าย่ำแย่อย่างที่สุด!

พวกเขาสละภูตผีหลายหมื่นตนกว่าจะวางมหาค่ายกลได้ แต่จู่ๆ กลับถูกฟันสลายในกระบี่เดียวเช่นนี้

ปราณดำหนาทึบลอยกระจายออกไปรวดเร็วยิ่งนัก เผยให้เห็นป้อมปราการไท่เทียนที่อยู่ด้านใน มนุษย์ทองคำยักษ์ก้าวเดินเสียงดังสนั่นเข้ามาทันที

ต่อจากนั้นลำแสงสว่างสี่สายก็เหาะเร็วรี่ออกมาจากด้านใน ลำแสงเหล่านั้นก็คือพวกผู้เฒ่าจมูกแดงผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์สี่คนจากสี่กองทัพใหญ่นั่นเอง จากนั้นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ในป้อมปราการก็พลันกลายเป็นลำแสงสายแล้วสายเล่าทยอยเหาะขึ้นมาด้วย

เมื่อเห็นร่างของมนุษย์ทองคำยักษ์ที่หยุดอยู่ห่างออกไปหลายร้อยจั้ง ดวงตาพวกผู้เฒ่าจมูกแดงก็เผยแววตายินดี ศิษย์คนอื่นยังไม่รู้สถานการณ์ตอนนี้อย่างละเอียด แต่ทุกคนล้วนตาโตอ้าปากค้างมองมนุษย์ทองคำยักษ์ที่อยู่ไม่ไกล

เวลานี้บุรุษวัยกลางคนแซ่เว่ยลอยอยู่เหนือศีรษะมนุษย์ทองคำยักษ์ ปากพร่ำท่องมนตร์ แผ่นกลมสีเงินสามชิ้นนั้นลอยเรียงตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่หลังร่าง แผ่นกลมแต่ละแผ่นยิงลำแสงสีเงินหนาเท่าแขนเส้นหนึ่งเข้าไปในศีรษะของมนุษย์ทองคำยักษ์

“พี่เว่ย พวกท่านมาแล้ว!”

ผู้เฒ่าจมูกแดงขยับร่างกายวูบเดียวก็มาปรากฏตัวหน้ามนุษย์ทองคำยักษ์ แล้วประสานมือคำนับบุรุษวัยกลางคนแซ่เว่ยแต่ไกล

“ผู้อาวุโสเผิง ขออภัยที่ข้ามาช้า” บุรุษวัยกลางคนแซ่เว่ยเอี้ยวศีรษะไปมองผู้เฒ่าจมูกแดงแล้วแย้มรอยยิ้มตอบ

“มิได้ ผู้อาวุโสเว่ยมาได้เวลาพอดี” ผู้เฒ่าจมูกแดงหัวเราะฮ่าๆ ตอบกลับ

ผู้ฝึกฝนจากกองทัพแสงทองสองร้อยกว่าคนที่ติดตามมาด้วยกันกับมนุษย์ทองคำยักษ์เหาะช้ากว่าไม่น้อย ยามนี้พวกเขาเพิ่งรีบเร่งมาถึง พวกเขาหยุดอยู่บนท้องฟ้าเหนือป้อมปราการไท่เทียน ยืนอยู่ด้วยกันกับพลทหารป้องกันเมืองของเผ่ามนุษย์

หลิ่วหมิงปะปนอยู่ในกลุ่มกองทัพแสงทอง เวลานี้เขาเพ่งสายตามองป้อมปราการไท่เทียนที่อยู่เบื้องล่าง

แม้มหาค่ายกลสุสานผีถูกทำลายแล้ว แต่ใกล้กับป้อมปราการยังหลงเหลือปราณวิญญาณอันเย็นยะเยือกอยู่ไม่น้อย อาคารและสิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่อยู่ในป้อมปราการล้วนถูกปกคลุมด้วยของบางสิ่งที่เหมือนผลึกน้ำแข็งสีเทาเข้ม

ผลึกน้ำแข็งสีเทาแผ่ปราณหยินเสียดกระดูกออกมา ห้าปีนี้ที่อยู่ในทางปีศาจร้าย หลิ่วหมิงเคยเห็นผลึกน้ำแข็งที่ก่อตัวจากปราณหยินเหล่านี้ตามใต้ดินที่ปราณหยินหนักหน่วงที่สุดอยู่บ้าง พวกมันแต่ละชิ้นล้วนเย็นยะเยือกเสียดแทงกระดูกกัดกร่อนร่างกายเผ่ามนุษย์ได้รุนแรงยิ่งนัก

หลายวันนี้ที่ถูกมหาค่ายกลสุสานผีล้อม ปราณหยินในป้อมปราการไท่เทียนเข้มข้นจนถึงระดับนี้เชียว!

หลิ่วหมิงลอบตกตะลึงในใจ สายตาเลื่อนไปมองเหล่าผู้ฝึกฝนประจำป้อมปราการไท่เทียนที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ศิษย์ที่พลังระดับต่ำส่วนใหญ่สีหน้าคล้ำเขียว บนผิวมีจุดด่างสีดำจุดแล้วจุดเล่าอยู่ ลมปราณก็แห้งเหี่ยวไร้พลังเล็กน้อย

ดูท่าหากความช่วยเหลือมาถึงช้ากว่านี้อีกสองวัน ผู้ฝึกฝนประจำป้อมที่พลังต่ำต้อยเหล่านี้ของป้อมปราการไท่เทียนคงบาดเจ็บล้มตายเกินกว่าครึ่ง

ตอนนี้เองผู้ฝึกฝนหญิงผมสั้นเรือนร่างอรชรนางหนึ่งก็เหาะเข้ามาจากบริเวณใกล้ๆ นางขยับวูบเดียวร่อนลงมาข้างกายหลิ่วหมิงอย่างแผ่วเบา

“ศิษย์พี่เสี่ยวอู่!” หลิ่วหมิงผงกศีรษะให้คนที่มา

เสี่ยวอู่แลดูไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ใบหน้ายังคงชมพูระเรื่อเหมือนเช่นก่อน ดูเหมือนไม่ได้รับความทุกข์ทรมานจากปราณหยินเลยแม้แต่น้อย

แต่นี่ก็ปกติ นางถูกขังอยู่ในถ้ำปราณหยินใต้เนินหลิงจิ้วอยู่หลายปียังปลอดภัยไร้อันตราย ยามนี้กายเนื้อย่อมมีความสามารถขจัดปราณหยินในค่ายกลสุสานผีนี่ได้ในระดับหนึ่ง

“หลายวันนี้ไม่เห็นศิษย์น้องเลย ที่แท้ก็ถูกส่งออกไปพากองหนุนมานี่เอง” เสี่ยวอู่ยิ้มหวานเอ่ยขึ้น

“ข้าได้รับคำสั่งมา ในที่สุดก็ไม่ผิดต่อคำสั่ง” หลิ่วหมิงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

“จิ๊ๆ นี่คือกองหนุนที่ศิษย์น้องพามาสินะ ดูน่ากลัวยิ่งนักจริงๆ!” เสี่ยวอู่เหลือบมองมนุษย์ทองคำยักษ์แล้วจิ๊ปากเอ่ยชม

ตอนนี้มนุษย์ทองคำยักษ์ยืนตระหง่านดุจภูเขาลูกย่อมๆ อยู่ข้างป้อมปราการไท่เทียน เมื่อรวมกับกองหนุนฝีมือเยี่ยมอีกสองร้อยคนที่มาใหม่ เผ่ามนุษย์ด้านนี้ย่อมมีกำลังใจฮึกเหิมขึ้นมาก

ไกลออกไป กองทัพผีที่ล้อมป้อมปราการไท่เทียนอยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มอีกครั้งท่ามกลางเสียงภูตผีครวญครางดังระงม แม้จำนวนมากกว่าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์มาก ทว่าแต่ละตนหวาดผวาตื่นตระหนก ท่าทางไม่มั่นคงอย่างเห็นได้ชัด

“มนุษย์ทองคำยักษ์ตนนี้น่าจะเป็นไพ่ตายของเผ่ามนุษย์ ถึงกับซ่อนสิ่งที่ร้ายกาจเช่นนี้เอาไว้ ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เจ้าเล่ห์ยิ่งนักจริงๆ” ผีแม่ทัพใหญ่คิ้วแดงกัดฟันเอ่ยขึ้น

“ตอนนี้จะทำอย่างไร? ยามนี้พวกเราเหลือทหารไม่ถึงหมื่นตน แค่มนุษย์ทองคำยักษ์ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ตนนั้น พวกเราก็ต้านไม่ไหวแล้ว อีกฝ่ายยังมีผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์อีกสี่คน?” ผีแม่ทัพใหญ่ผู้สวมเกราะกระดูกเก็บความโอหังที่มีมาตลอดไปหมดสิ้นแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด