โดยปกติทั่วไป เพื่อนพ้องสหายรักกันเวลาจะแต่งงาน ก็มักจะมีการให้เงินทองเป็นขวัญถุงกัน เขากับหม่าชาวสนิทรักใคร่ต่อกันยิ่งกว่าพี่น้องร่วมสายเลือด
ที่สำคัญที่สุด สมัยตอนหม่าชาวยังเด็ก ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อแม่ของเขาได้เสียชีวิตไปทั้งคู่ เหลือเขากับน้องสาวอีกคนหนึ่ง
ในเวลานั้น หม่าชาวเพิ่งมีอายุห้าขวบ น้องสาวแค่สามขวบ
สุดท้าย คงได้น้าสาวคนเล็กของหม่าชาวรับภาระรับสองพี่น้องนี้ไปเลี้ยง
แต่เป็นเวลาไม่นานต่อมา น้าเขยเกิดมีความไม่ชอบใจ มักจะลงไม้ลงมือระบายอารมณ์ใส่กับพี่น้องคู่นี้ หม่าชาวในขณะตอนที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น น้าเขยก็ไม่ยอมให้เรียน บังคับให้ลงไร่ทำนากับเขา
น้องสาวที่อ่อนกว่าหม่าชาวสองขวบ ก็ถูกบังคับให้ออกจากการเรียน
อยู่ภายใต้การทารุณของน้าเขยนานวันเข้า สุดท้ายหม่าชาวพาน้องสาวหนีไปด้วยกัน
ขณะนั้น หม่าชาวอายุเพียงสิบสามปี ไม่เคยมีประสบการณ์ความโหดร้ายของสังคมมนุษย์ พี่น้องสองคนถูกแก๊งค้ามนุษย์หลอกจับไป ตอนหลังหม่าชาวหนีออกมาได้ แต่น้องสาวหายไป
หลายปีมานี้ หม่าชาวก็ยังพยายาสืบเสาะตามหาอยู่ แต่มองไม่เห็นวี่แววเส้นทางที่จะหาได้
หยางเฉินถึงจะมีชีวิตที่ลำบากด้วยขวากหนาม แต่เมื่อเทียบกับหม่าชาว ก็ยังไกลกันอยู่
อย่างน้อยหยางเฉินก็ยังมีแม่ที่รักเขาอย่างที่สุด อยู่กับเขาจนเขาได้จบมหาวิทยาลัย
“พี่เขย!”
ในขณะที่หยางเฉินกำลังคิดใคร่ครวญหาของขวัญให้กับหม่าชาว มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เสี่ยวยี เธอเป็นอะไรไปหรือ?”
เป็นฉินยี สีหน้าของหล่อนซีดขาว
ช่วงที่อยู่ในบริษัท เวลาฉินยีพบหยางเฉิน ก็จะเรียกประธาน จู่ ๆ มาเรียกพี่เขย คงต้องมีอะไรผิดปกติเป็นแน่
“พี่เขย เมื่อครู่นี้ที่โถงใหญ่ของบริษัทมีเรื่องกัน พี่คงทราบแล้วนะคะ?”ฉินยีถาม
หยางเฉินผงกหัว “ข้ารู้แล้ว เธอมาพบฉันด้วยเรื่องนี้หรือ?”
ฉินยีผงกหัว พูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ฉันได้ตรวจดูแล้ว ไอ้เจ้าคนที่มาก่อกวนนั่น ชื่อไป๋จวิ้นเหา เป็นลูกหลานสายตรงตระกูลไป๋ในตระกูลเดอะคิง ปู่ของเขาก็คือกษัตริย์ไป๋ในปัจจุบัน”
“พี่ชาวให้เขาชดใช้หนึ่งพันล้าน แม้จะสาแก่ใจดี แต่ถึงยังไงฝ่ายนั้นเขาก็เป็นถึงหลานแท้ ๆ ของกษัตริย์ไป๋ พวกเราทำแบบนี้ จะพาทำให้บริษัทเราต้องเดือดร้อนกันเป็นเรื่องใหญ่เลยไหม?”
ที่แท้ห่วงเรื่องตระกูลไป๋ในตระกูลเดอะคิง หยางเฉินหัวเราะ “เสี่ยวยี เธอวางใจเถอะ ตระกูลไป๋ทำอะไรเยี่ยนเฉินกรุ๊ปไม่ได้หรอก!”
ไม่รู้เป็นยังไง ทุกครั้งที่ประสบปัญหาวุ่นวายหนัก ๆ เวลาดูหยางเฉินที่ออกอาการสงบเฉยอย่างมาก ฉินยีก็จะรู้สึกฟื้นคืนอารมณ์รู้สึกกลับสู่ปกติได้อย่างรวดเร็ว
“จริงสินะเสี่ยวยี มะรืนนี้พี่ชาวของเธอจะแต่งงานแล้ว ข้าไม่รู้จะหาของขวัญอะไรให้เขาดี เธอช่วยคิดหน่อยสิ!”
หยางเฉินจู่ ๆ ก็ถามออกมา
ฉินยีทำหน้าตื่นเต้น “พี่ชาวจะแต่งงานแล้วหรือคะ?ทำไมปุ๊ปปั๊ปจัง?”
หยางเฉินหัวเราะ “มีแต่เธอเท่านั้นแหละที่รู้ช้า ความจริงที่เขาตั้งใจจะแต่งงานกับพี่อ้าย ก็ได้เตรียมกันไว้หลายปีแล้ว”
“เธอก็รู้นะ หม่าชาวเป็นเด็กกำพร้า ในเยี่ยนตูไม่มีญาติเครือที่ไหน ถ้าจะลำดับญาติ ข้าก็คือญาติสนิทที่สุดของเขา”
“ไหน ๆ ก็เป็นวันมงคลที่สำคัญที่สุดของเขา เขาก็มีข้าคนเดียวนี่แหละที่เป็นญาติสนิท ข้าก็ต้องจัดอะไรให้เขาบ้าง”
ฉินยีผงกหัวรับรู้ นิ่งคิดสักครู่ แล้วพูดว่า “ตระกูลอ้ายจะว่าไปแล้ว ก็จัดว่าเป็นตระกูลเศรษฐีหนึ่งในเยี่ยนตู พี่ชาวก็เป็นเด็กกำพร้า น่ากลัวต้องมีหลาย ๆ เรื่องที่เขาคงจะคิดไม่ถึง”
“แต่พี่เขยก็พูดแล้ว พี่ก็คือญาติสนิทของพี่ชาว ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พี่ก็ต้องจัดการเรื่องที่ผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะต้องจัดให้”
“เป็นต้นว่า ห้องหอรถยนต์ ก็ต้องมีใช่ไหม?สินสอดก็ต้องจัดใช่ไหม?”
“ไม่ใช่จะว่าเพราะพี่ชาวไม่มีพ่อแม่ แล้วก็จะไม่ต้องจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของฝ่ายชายต้องจัดเตรียมเหล่านี้หละ?”
ได้ยินฉินยีพูดมาแบบนี้ หยางเฉินให้รู้สึกตาสว่างขึ้นมาทันที
“เธอพูดถูกเป๋งเลย หม่าชาวไม่มีพ่อแม่ ข้าถึงจะอยู่ระดับพี่น้อง แต่บางเรื่องของพ่อแม่ ข้าก็น่าจะมีหน้าที่ต้องทำให้ จะมาปล่อยให้ชาวบ้านมามองด้อยค่าพี่น้องข้าได้ยังไง”
หยางเฉินหัวเราะแล้วพูด “เสี่ยวยี ตอนนี้เธอว่างไหม?ถ้าว่างอยู่ ไปเป็นเพื่อนข้าด้วยกัน”
“ได้คะ!”
ฉินยีตอบรับปาก
อย่างรวดเร็ว ทั้งสองก็พากันออกจากเยี่ยนเฉินกรุ๊ป
“พี่เขยคะ พี่ชาวมีเพื่อนสหายฉันพี่น้องอย่างพี่นี่ ช่างโชคดีมากจริง ๆ เลยนะ”
ในระหว่างทาง ฉินยีมองหน้าหยางเฉินพูดด้วยความเลื่อมใส
หยางเฉินหัวเราะ ขับรถไปพูดไปว่า “ข้ากับหม่าชาวเป็นเพื่อนพี่น้องที่รับเกณฑ์เข้าอยู่ในกองทัพด้วยกัน พวกเราผ่านสงครามมาหลายสมรภูมิ เราต่างให้ความไว้วางใจต่อกันอย่างที่สุด เราต่างกล้าพร้อมจะทิ้งข้างหลังของเราให้อีกฝ่ายหนึ่งเฝ้าให้”
“พี่เขยคะ พี่เคยผ่านการทำสงครามในสมรภูมิจริงหรือ?”ฉินยีถามขึ้นมาในทันใด
“ผ่านมาจริงแน่นอนสิ”
หยางเฉินพูดยิ้ม ๆ เขารู้ว่าฉินซีคิดอะไรอยู่ จึงชี้แจงให้ฟังว่า “ปัจจุบันจิ่วโจวเอง ดูเหมือนยิ่งใหญ่เข้มแข็งอยู่มาก แต่ก็ยังคงมีอันตรายแฝงอยู่ตลอด โดยเฉพาะแปดประเทศแถบชายแดนเหนือ ต่างจ้องเชมือบมาที่จิ่วโจว”
“โลกนี้ จะมีก็แต่ผู้กล้าที่คอยปกป้องคุ้มครองประเทศบ้านเมือง จึงจะเรียกว่าเป็นคานขื่อหลักของประเทศ ไม่มีพวกเขา ก็จะไม่มีจิ่วโจวในวันนี้”
ฉินยีอดไม่ได้ที่จะให้รู้สึกเลื่อมใสนับถือ สายตาที่มองหยางเฉิน ในแววตาส่อเข้มเต็มในความเคารพ
“พี่เขยของฉัน คือฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่!”
ฉินซียิ้มหน้าบานพูดไป
ทั้งสองสนทนากันไป แล้วก็มาถึงสำนักงานขายโครงการเมืองในฝัน
เมืองในฝันเรียลเอสเตรทเป็นบริษัทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก และเป็นบริษัทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของจิ่วโจว ในเยี่ยนตู บริษัทของพวกเขา จะมุ่งกลุ่มเป้าหมายลูกค้าชั้นหรูระดับไฮเอนด์
ในเมื่อหยางเฉินต้องเป็นธุระให้หม่าชาวในฐานะผู้ปกครองฝ่ายชายที่ต้องทำ ซื้อบ้านที่ดินย่อมต้องเป็นเรื่องอันดับแรก
ถึงแม้ว่าหม่าชาวกับอ้ายหลินจะมีบ้านกันแล้ว แต่โดยความหมายนั้นไม่เหมือนกัน
ทั้งสองเพิ่งเดินเข้าประตู ทันทีก็มีพนักงานฝ่ายขายตรงเข้ามาต้อนรับ
“สวัสดีค่ะท่าน ดิฉัน หมีเสวี่ยเป็นพนักงานฝ่ายขายเมืองในฝันค่ะ มีอะไรให้ดิฉันช่วยได้บ้างคะ?”
ผู้หญิงในวัยสามสิบบวก/ลบ พารอยยิ้มในเชิงธุรกิจเข้ามาทักทาย
สมกับระดับฝ่ายขายโครงการเมืองในฝัน พนักงานที่เห็นอยู่ ทั้งบุคลิกและหน้าตาดูเลิศ
“ผมอยากได้คฤหาสน์ขนาดที่ใหญ่สักหน่อย คุณพอมีแบบไหนที่จะแนะนำให้ได้บ้างครับ?”
หยางเฉินย้อนตอบ
“ไม่ทราบงบประมาณของท่าน จะตั้งไว้ประมาณไหนคะ?”
หมีเสวี่ยก็ถามไปอีกด้วยรอยยิ้ม
“นี่หยางเฉินไม่ใช่หรือ?”
ขณะนั้นเอง เสียงแบบฉงนตื่นเต้น ดังขึ้นมาในกระทันหัน
มีคนเรียกชื่อขึ้นมา หยางเฉินก็ให้รู้สึกเหนือจากคาดคิด หันกลับไปมองเห็นสาวสวยในชุดสากลแบบฟอร์มของพนักงานที่นี่ กำลังมุ่งเดินเข้ามาหาเขา
แต่ทว่า หยางเฉินให้รู้สึกดูคุ้นหน้าอยู่ และก็รู้ว่าเป็นเพื่อนนักเรียนสมัยมัธยมฯ.ปลาย แต่รู้สึกไม่สบายใจ ก็คือฝ่ายนั้นรู้จักชื่อเขา แต่เขานึกไม่ออกว่าหล่อนเป็นใคร
“เซียวจื่อฉิง ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ!”
หยางเฉินทำเนียนเหลือบดูชื่อที่ป้ายติดที่เสื้อตรงหน้าอก จึงได้รู้จักชื่อของหล่อน
“ใช่เจ้าคางคกตัวนั้นจริง ด้วย!”
เซียวจื่อฉิงพูดไปด้วยเสียงหัวเราะ
พอหล่อนพูดประโยคนี้ออกไป หยางเฉินขมวดคิ้วย่น ตัวเขาเป็นคางคกไปตั้งแต่เมื่อไหร่นี่?
ฉินยีก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทั้งสองข้าง กำลังจะระเบิดอารมณ์โกรธ พอดีเห็นเซียวจื่อฉิงยกมือปิดปากตัวเอง แล้วรีบพูดขอโทษ “หยางเฉิน ฉันเผลอปากไป คุณอย่าถือสานะ”
ดูเหมือนว่าขออภัย แต่ไม่เห็นทีท่าของความรู้สึกจะขออภัย โดยเฉพาะสายตาที่มองหยางเฉิน ยังพกไว้ด้วยความดูแคลน
ดูรู้สึกเหมือนว่าหยางเฉินไม่น่าจะคู่ควรที่เป็นเพื่อนนักเรียนกับหล่อนเลย
“ช่างมันเถอะ!”
หยางเฉินพูดอย่าไร้ความรู้สึก
“จริง ๆ แล้ว พวกเราไม่ได้เจอกันต้องมีสิบปีแล้วมั้ง?