บทที่ 875 พี่เขยคือฮีโร่

The king of War

โดยปกติทั่วไป เพื่อนพ้องสหายรักกันเวลาจะแต่งงาน ก็มักจะมีการให้เงินทองเป็นขวัญถุงกัน เขากับหม่าชาวสนิทรักใคร่ต่อกันยิ่งกว่าพี่น้องร่วมสายเลือด

ที่สำคัญที่สุด สมัยตอนหม่าชาวยังเด็ก ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อแม่ของเขาได้เสียชีวิตไปทั้งคู่ เหลือเขากับน้องสาวอีกคนหนึ่ง

ในเวลานั้น หม่าชาวเพิ่งมีอายุห้าขวบ น้องสาวแค่สามขวบ

สุดท้าย คงได้น้าสาวคนเล็กของหม่าชาวรับภาระรับสองพี่น้องนี้ไปเลี้ยง

แต่เป็นเวลาไม่นานต่อมา น้าเขยเกิดมีความไม่ชอบใจ มักจะลงไม้ลงมือระบายอารมณ์ใส่กับพี่น้องคู่นี้ หม่าชาวในขณะตอนที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น น้าเขยก็ไม่ยอมให้เรียน บังคับให้ลงไร่ทำนากับเขา

น้องสาวที่อ่อนกว่าหม่าชาวสองขวบ ก็ถูกบังคับให้ออกจากการเรียน

อยู่ภายใต้การทารุณของน้าเขยนานวันเข้า สุดท้ายหม่าชาวพาน้องสาวหนีไปด้วยกัน

ขณะนั้น หม่าชาวอายุเพียงสิบสามปี ไม่เคยมีประสบการณ์ความโหดร้ายของสังคมมนุษย์ พี่น้องสองคนถูกแก๊งค้ามนุษย์หลอกจับไป ตอนหลังหม่าชาวหนีออกมาได้ แต่น้องสาวหายไป

หลายปีมานี้ หม่าชาวก็ยังพยายาสืบเสาะตามหาอยู่ แต่มองไม่เห็นวี่แววเส้นทางที่จะหาได้

หยางเฉินถึงจะมีชีวิตที่ลำบากด้วยขวากหนาม แต่เมื่อเทียบกับหม่าชาว ก็ยังไกลกันอยู่

อย่างน้อยหยางเฉินก็ยังมีแม่ที่รักเขาอย่างที่สุด อยู่กับเขาจนเขาได้จบมหาวิทยาลัย

“พี่เขย!”

ในขณะที่หยางเฉินกำลังคิดใคร่ครวญหาของขวัญให้กับหม่าชาว มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เสี่ยวยี เธอเป็นอะไรไปหรือ?”

เป็นฉินยี สีหน้าของหล่อนซีดขาว

ช่วงที่อยู่ในบริษัท เวลาฉินยีพบหยางเฉิน ก็จะเรียกประธาน จู่ ๆ มาเรียกพี่เขย คงต้องมีอะไรผิดปกติเป็นแน่

“พี่เขย เมื่อครู่นี้ที่โถงใหญ่ของบริษัทมีเรื่องกัน พี่คงทราบแล้วนะคะ?”ฉินยีถาม

หยางเฉินผงกหัว “ข้ารู้แล้ว เธอมาพบฉันด้วยเรื่องนี้หรือ?”

ฉินยีผงกหัว พูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ฉันได้ตรวจดูแล้ว ไอ้เจ้าคนที่มาก่อกวนนั่น ชื่อไป๋จวิ้นเหา เป็นลูกหลานสายตรงตระกูลไป๋ในตระกูลเดอะคิง ปู่ของเขาก็คือกษัตริย์ไป๋ในปัจจุบัน”

“พี่ชาวให้เขาชดใช้หนึ่งพันล้าน แม้จะสาแก่ใจดี แต่ถึงยังไงฝ่ายนั้นเขาก็เป็นถึงหลานแท้ ๆ ของกษัตริย์ไป๋ พวกเราทำแบบนี้ จะพาทำให้บริษัทเราต้องเดือดร้อนกันเป็นเรื่องใหญ่เลยไหม?”

ที่แท้ห่วงเรื่องตระกูลไป๋ในตระกูลเดอะคิง หยางเฉินหัวเราะ “เสี่ยวยี เธอวางใจเถอะ ตระกูลไป๋ทำอะไรเยี่ยนเฉินกรุ๊ปไม่ได้หรอก!”

ไม่รู้เป็นยังไง ทุกครั้งที่ประสบปัญหาวุ่นวายหนัก ๆ เวลาดูหยางเฉินที่ออกอาการสงบเฉยอย่างมาก ฉินยีก็จะรู้สึกฟื้นคืนอารมณ์รู้สึกกลับสู่ปกติได้อย่างรวดเร็ว

“จริงสินะเสี่ยวยี มะรืนนี้พี่ชาวของเธอจะแต่งงานแล้ว ข้าไม่รู้จะหาของขวัญอะไรให้เขาดี เธอช่วยคิดหน่อยสิ!”

หยางเฉินจู่ ๆ ก็ถามออกมา

ฉินยีทำหน้าตื่นเต้น “พี่ชาวจะแต่งงานแล้วหรือคะ?ทำไมปุ๊ปปั๊ปจัง?”

หยางเฉินหัวเราะ “มีแต่เธอเท่านั้นแหละที่รู้ช้า ความจริงที่เขาตั้งใจจะแต่งงานกับพี่อ้าย ก็ได้เตรียมกันไว้หลายปีแล้ว”

“เธอก็รู้นะ หม่าชาวเป็นเด็กกำพร้า ในเยี่ยนตูไม่มีญาติเครือที่ไหน ถ้าจะลำดับญาติ ข้าก็คือญาติสนิทที่สุดของเขา”

“ไหน ๆ ก็เป็นวันมงคลที่สำคัญที่สุดของเขา เขาก็มีข้าคนเดียวนี่แหละที่เป็นญาติสนิท ข้าก็ต้องจัดอะไรให้เขาบ้าง”

ฉินยีผงกหัวรับรู้ นิ่งคิดสักครู่ แล้วพูดว่า “ตระกูลอ้ายจะว่าไปแล้ว ก็จัดว่าเป็นตระกูลเศรษฐีหนึ่งในเยี่ยนตู พี่ชาวก็เป็นเด็กกำพร้า น่ากลัวต้องมีหลาย ๆ เรื่องที่เขาคงจะคิดไม่ถึง”

“แต่พี่เขยก็พูดแล้ว พี่ก็คือญาติสนิทของพี่ชาว ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พี่ก็ต้องจัดการเรื่องที่ผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะต้องจัดให้”

“เป็นต้นว่า ห้องหอรถยนต์ ก็ต้องมีใช่ไหม?สินสอดก็ต้องจัดใช่ไหม?”

“ไม่ใช่จะว่าเพราะพี่ชาวไม่มีพ่อแม่ แล้วก็จะไม่ต้องจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของฝ่ายชายต้องจัดเตรียมเหล่านี้หละ?”

ได้ยินฉินยีพูดมาแบบนี้ หยางเฉินให้รู้สึกตาสว่างขึ้นมาทันที

“เธอพูดถูกเป๋งเลย หม่าชาวไม่มีพ่อแม่ ข้าถึงจะอยู่ระดับพี่น้อง แต่บางเรื่องของพ่อแม่ ข้าก็น่าจะมีหน้าที่ต้องทำให้ จะมาปล่อยให้ชาวบ้านมามองด้อยค่าพี่น้องข้าได้ยังไง”

หยางเฉินหัวเราะแล้วพูด “เสี่ยวยี ตอนนี้เธอว่างไหม?ถ้าว่างอยู่ ไปเป็นเพื่อนข้าด้วยกัน”

“ได้คะ!”

ฉินยีตอบรับปาก

อย่างรวดเร็ว ทั้งสองก็พากันออกจากเยี่ยนเฉินกรุ๊ป

“พี่เขยคะ พี่ชาวมีเพื่อนสหายฉันพี่น้องอย่างพี่นี่ ช่างโชคดีมากจริง ๆ เลยนะ”

ในระหว่างทาง ฉินยีมองหน้าหยางเฉินพูดด้วยความเลื่อมใส

หยางเฉินหัวเราะ ขับรถไปพูดไปว่า “ข้ากับหม่าชาวเป็นเพื่อนพี่น้องที่รับเกณฑ์เข้าอยู่ในกองทัพด้วยกัน พวกเราผ่านสงครามมาหลายสมรภูมิ เราต่างให้ความไว้วางใจต่อกันอย่างที่สุด เราต่างกล้าพร้อมจะทิ้งข้างหลังของเราให้อีกฝ่ายหนึ่งเฝ้าให้”

“พี่เขยคะ พี่เคยผ่านการทำสงครามในสมรภูมิจริงหรือ?”ฉินยีถามขึ้นมาในทันใด

“ผ่านมาจริงแน่นอนสิ”

หยางเฉินพูดยิ้ม ๆ เขารู้ว่าฉินซีคิดอะไรอยู่ จึงชี้แจงให้ฟังว่า “ปัจจุบันจิ่วโจวเอง ดูเหมือนยิ่งใหญ่เข้มแข็งอยู่มาก แต่ก็ยังคงมีอันตรายแฝงอยู่ตลอด โดยเฉพาะแปดประเทศแถบชายแดนเหนือ ต่างจ้องเชมือบมาที่จิ่วโจว”

“โลกนี้ จะมีก็แต่ผู้กล้าที่คอยปกป้องคุ้มครองประเทศบ้านเมือง จึงจะเรียกว่าเป็นคานขื่อหลักของประเทศ ไม่มีพวกเขา ก็จะไม่มีจิ่วโจวในวันนี้”

ฉินยีอดไม่ได้ที่จะให้รู้สึกเลื่อมใสนับถือ สายตาที่มองหยางเฉิน ในแววตาส่อเข้มเต็มในความเคารพ

“พี่เขยของฉัน คือฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่!”

ฉินซียิ้มหน้าบานพูดไป

ทั้งสองสนทนากันไป แล้วก็มาถึงสำนักงานขายโครงการเมืองในฝัน

เมืองในฝันเรียลเอสเตรทเป็นบริษัทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก และเป็นบริษัทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของจิ่วโจว ในเยี่ยนตู บริษัทของพวกเขา จะมุ่งกลุ่มเป้าหมายลูกค้าชั้นหรูระดับไฮเอนด์

ในเมื่อหยางเฉินต้องเป็นธุระให้หม่าชาวในฐานะผู้ปกครองฝ่ายชายที่ต้องทำ ซื้อบ้านที่ดินย่อมต้องเป็นเรื่องอันดับแรก

ถึงแม้ว่าหม่าชาวกับอ้ายหลินจะมีบ้านกันแล้ว แต่โดยความหมายนั้นไม่เหมือนกัน

ทั้งสองเพิ่งเดินเข้าประตู ทันทีก็มีพนักงานฝ่ายขายตรงเข้ามาต้อนรับ

“สวัสดีค่ะท่าน ดิฉัน หมีเสวี่ยเป็นพนักงานฝ่ายขายเมืองในฝันค่ะ มีอะไรให้ดิฉันช่วยได้บ้างคะ?”

ผู้หญิงในวัยสามสิบบวก/ลบ พารอยยิ้มในเชิงธุรกิจเข้ามาทักทาย

สมกับระดับฝ่ายขายโครงการเมืองในฝัน พนักงานที่เห็นอยู่ ทั้งบุคลิกและหน้าตาดูเลิศ

“ผมอยากได้คฤหาสน์ขนาดที่ใหญ่สักหน่อย คุณพอมีแบบไหนที่จะแนะนำให้ได้บ้างครับ?”

หยางเฉินย้อนตอบ

“ไม่ทราบงบประมาณของท่าน จะตั้งไว้ประมาณไหนคะ?”

หมีเสวี่ยก็ถามไปอีกด้วยรอยยิ้ม

“นี่หยางเฉินไม่ใช่หรือ?”

ขณะนั้นเอง เสียงแบบฉงนตื่นเต้น ดังขึ้นมาในกระทันหัน

มีคนเรียกชื่อขึ้นมา หยางเฉินก็ให้รู้สึกเหนือจากคาดคิด หันกลับไปมองเห็นสาวสวยในชุดสากลแบบฟอร์มของพนักงานที่นี่ กำลังมุ่งเดินเข้ามาหาเขา

แต่ทว่า หยางเฉินให้รู้สึกดูคุ้นหน้าอยู่ และก็รู้ว่าเป็นเพื่อนนักเรียนสมัยมัธยมฯ.ปลาย แต่รู้สึกไม่สบายใจ ก็คือฝ่ายนั้นรู้จักชื่อเขา แต่เขานึกไม่ออกว่าหล่อนเป็นใคร

“เซียวจื่อฉิง ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ!”

หยางเฉินทำเนียนเหลือบดูชื่อที่ป้ายติดที่เสื้อตรงหน้าอก จึงได้รู้จักชื่อของหล่อน

“ใช่เจ้าคางคกตัวนั้นจริง ด้วย!”

เซียวจื่อฉิงพูดไปด้วยเสียงหัวเราะ

พอหล่อนพูดประโยคนี้ออกไป หยางเฉินขมวดคิ้วย่น ตัวเขาเป็นคางคกไปตั้งแต่เมื่อไหร่นี่?

ฉินยีก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทั้งสองข้าง กำลังจะระเบิดอารมณ์โกรธ พอดีเห็นเซียวจื่อฉิงยกมือปิดปากตัวเอง แล้วรีบพูดขอโทษ “หยางเฉิน ฉันเผลอปากไป คุณอย่าถือสานะ”

ดูเหมือนว่าขออภัย แต่ไม่เห็นทีท่าของความรู้สึกจะขออภัย โดยเฉพาะสายตาที่มองหยางเฉิน ยังพกไว้ด้วยความดูแคลน

ดูรู้สึกเหมือนว่าหยางเฉินไม่น่าจะคู่ควรที่เป็นเพื่อนนักเรียนกับหล่อนเลย

“ช่างมันเถอะ!”

หยางเฉินพูดอย่าไร้ความรู้สึก

“จริง ๆ แล้ว พวกเราไม่ได้เจอกันต้องมีสิบปีแล้วมั้ง?