ในโลกาชั้นที่สอง ขณะที่หวังเป่าเล่อควบทะยานอยู่กลางอากาศ ตอนนี้เองเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปบนฟ้า ความรู้สึกใจเต้นรัวแรงแผ่ซ่านไปทั้งกาย
ต่อให้ท้องฟ้าในตอนนี้ดูคล้ายไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้จะมีคลื่นผันผวนและเกิดรอยแยก แต่ก็เป็นเพราะอานุภาพกดดันของวิญญาณจักรพรรดิเหล่านั้นที่ตามไล่ล่าอยู่ด้านหลังของเขา
แต่ความรู้สึกใจเต้นรุนแรงมันแรงกล้าเกินไป ทำให้หวังเป่าเล่อต้องหรี่ตาลง พลังฝึกตนโคจรเคลื่อนไปที่สองตา ชั่วขณะนั้นท้องฟ้าที่เขาจ้องมองก็ไม่เหมือนเดิมเล็กน้อย
บนฟ้าราวกับมีลมพายุตกลงมาจากฟากฟ้า เมื่อพินิจอย่างละเอียดแล้ว ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็หดเกร็งขั้นรุนแรง เขารับรู้ได้ว่าลมพายุที่พุ่งมาหานี้ คาดไม่ถึงว่าจะมีรูปร่างเป็นมือยักษ์
อีกทั้งอานุภาพกดดันที่แผ่ออกมาจากมัน แม้แต่ตัวเขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวผิดปกติ
“นี่ไม่ใช่พลังของขั้นที่ห้า!” ชั่วพริบตา สมองของหวังเป่าเล่อก็นึกถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับโลกใบนี้ที่ตนได้ยินมาจากผู้อาวุโสชั้นสูงของสาขาเต๋าสายสุขขึ้นมา
ในเรื่องเล่านั้น ผู้ที่อยู่เหนือยิ่งกว่าศิษย์แห่งเทพเจ้ายังมีผู้พิทักษ์คนนั้นอยู่
ผู้พิทักษ์คนนี้คอยคุ้มครองจิตเทพเจ้าที่หลับใหล…
“กลิ่นอายนี้ทำให้ข้ารู้สึกกลัว แล้วยังรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่มันไม่เหมือนกับความรู้สึกแบบที่มหาเทพมอบให้ข้า ดังนั้นจึงเป็นได้แค่…ผู้พิทักษ์คนนั้น!”
“ผู้พิทักษ์ที่มีพลังฝึกตนขั้นหก…” หวังเป่าเล่อถอนหายใจอยู่ในใจ แต่กลับไม่เสียใจต่อการตัดสินใจก่อนหน้านี้ จากการคาดเดาของเขา การได้เมล็ดพันธุ์เต๋านั้นมาจะทำให้ตัวเขาผสานรวมกับโลกใบนี้ได้ดียิ่งขึ้น และต้องมีส่วนช่วยมากมายแน่
ทว่า ตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดอะไรมากแล้ว ร่างพลันพร่าเลือนในชั่วพริบตา แม่น้ำแห่งกาลเวลาปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขาทันที หวังเป่าเล่อก้าวเข้าไปในนั้นตรงๆ โดยไม่ลังเลแม้แต่นิด
ทันทีที่ใช้กฎเกณฑ์จากโลกภายนอกขึ้นในที่แห่งนี้จะทำให้เกิดการปราบปราม แต่ตอนนี้เขาถูกไล่ฆ่าอยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับหวังเป่าเล่อ มันจึงไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร
ทันใดนั้น เมื่อก้าวเข้าไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลา ตัวเขาก็หายวับไปในพริบตา ชั่วขณะต่อมา ในห้วงเวลาที่ต่างกัน เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็เคลื่อนไหววูบวาบไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องอยู่ในโลกใบที่สองแห่งนี้
พลังฝึกตนของวิญญาณจักรพรรดิพวกนั้นแตกต่างจากเขา มันเอาชนะได้แค่ด้านจำนวนอย่างเดียว ดังนั้นเมื่อหวังเป่าเล่อไม่เข้าไปต่อสู้หรือเข่นฆ่าทำลายพวกมัน แต่หลบหนีด้วยความเร็วเต็มกำลัง ข้อบกพร่องของวิญญาณจักรพรรดิก็ย่อมถูกเปิดเผยออกมาเป็นธรรมดา
พวกเขาตามล่าหวังเป่าเล่อไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากเคลื่อนไหววูบวาบอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาไปสิบกว่าอึดใจ หวังเป่าเล่อก็สลัดวิญญาณจักรพรรดิเหล่านั้นหลุดได้อย่างสมบูรณ์
แต่…มือยักษ์ที่มาจากโลกชั้นที่หนึ่งซึ่งเกิดจากลมพายุของชายชุดคลุมดำผู้นั้นกลับไม่สนใจกาลเวลา ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะเดินทางอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนี้อย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงอยู่เสมอ
ยังอยู่ในกาลเวลาทุกห้วงขณะ ยังคงสถิตอยู่เนืองๆ
ถึงขั้นที่หลังจากหวังเป่าเล่อเคลื่อนไหววูบวาบอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาไปหลายสิบห้วงขณะแล้ว สีหน้าของเขาก็พลันอึมครึม เงยหน้ามองท้องฟ้า มองเห็นมือยักษ์ที่เกิดจากลมพายุนั่นก่อตัวเป็นรูปร่างสมบูรณ์แล้วพุ่งมาจะคว้าตัวเขา
“แม้จะเป็นขั้นที่หก แต่คิดว่าอาศัยหนึ่งฝ่ามือก็จะสยบข้าได้อย่างนั้นหรือ” เดิมทีหวังเป่าเล่อไม่อยากเผชิญหน้ากับมัน เพราะจะเป็นการเปิดเผยกฎเกณฑ์ของโลกภายนอกมากเกินไป ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจโดยสัญชาตญาณ
แต่ตอนนี้ ฝ่ามือข้างนี้ติดหนึบเหมือนไขในกระดูก เอาแต่ไล่ตามไม่ลดละ หลบหนีต่อไปก็ไร้ประโยชน์ คิดจะซ่อนตัวอีกครั้งก็ต้องทำลายมือยักษ์ข้างนี้ให้พังทลายไปเสียก่อน ทำเช่นนี้จึงจะมีสิทธิไปหลบซ่อนตัวขณะเกิดช่องว่างตอนที่อีกฝ่ายกำลังใช้พลังเทพออกมาอีกรอบ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแววตัดสินใจได้ เขาไม่หนีอีกต่อไป แต่แววตาระเบิดจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ออกมาอย่างฉับพลัน ตอนที่มือยักษ์ข้างนั้นมาถึง วิชาแปดปรมัตถ์ภายในร่างก็ถูกใช้ออกมาเต็มกำลัง เมื่อยกมือขึ้น เงามายาของแท่งเงิน เงาแห่งหยดน้ำตา อักขระเพลิงเซียน และกายาแผ่นศิลาก็ปรากฏขึ้นมาทันที
ร่างทุกร่างล้วนสะเทือนฟ้าสะเทือนดินทั้งสิ้น แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้ใช้สารัตถะแห่งไม้ออกมา ในมิติเต๋าต้นกำเนิดนี้มีข้อจำกัดต่อพลังธาตุไม้อยู่ แต่แม้ห้าธาตุจะขาดไปหนึ่ง ทว่าเมื่อหยินหยางแห่งความเป็นความตายของหวังเป่าเล่อถูกใช้ออกมา พร้อมกับการระเบิดของพลังแห่งความมืดมรณา และทันทีที่เงามายาอันทรงอานุภาพคล้ายเหยียบย่างสะพานสวรรค์แต่แท้จริงมิได้เหยียบย่างสะพานสวรรค์ปรากฏขึ้น พลังที่รวมอยู่บนร่างของหวังเป่าเล่อก็บรรลุถึงระดับที่น่าตะลึงแล้ว
ยิ่งกว่านั้น พลังที่มีสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานและชักนำหมื่นเต๋าแห่งจักรวาลออกมานี้ก็ก่อเกิดเป็นตาข่ายแห่งกฎเกณฑ์ของตนเองมารวมกัน กลายเป็นเงาร่างมหึมาสูงใหญ่เท่าแผ่นฟ้าทันที
เงาร่างนี้ก็คือร่างเต๋าของหวังเป่าเล่อนั่นเอง
ขณะที่ฝ่ามือนั้นเข้ามาจับ ร่างเต๋าที่เกิดจากหมื่นเต๋าของหวังเป่าเล่อก็ชกหมัดไปยังมือยักษ์ที่พุ่งมาหาทันที!
หมัดนี้ต่อยไปพร้อมพลังต่อสู้ของขั้นห้าในตัวเขา ทำให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาเกิดการย้อนกลับจนพังทลาย หลังจากเขาปะทะกับฝ่ามือลมพายุนั่นแล้ว แม่น้ำแห่งกาลเวลาก็รับไม่ไหว ระเบิดออกมาทันใด
สิ่งที่ระเบิดไปด้วยยังมีฝ่ามือลมพายุนั่น กับร่างเต๋าของหวังเป่าเล่อ
ทั้งสามอย่างระเบิดออกมาพร้อมกันทันที
ขณะที่เสียงดังสนั่น ร่างเต๋าของหวังเป่าเล่อก็พังทลาย ฝ่ามือลมพายุแตกสลาย และแม่น้ำแห่งกาลเวลากลายเป็นเศษซากนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปทั่ว ที่โลกชั้นที่หนึ่ง แววตาของชายชุดคลุมดำที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนรูปสลักนกแก้วก็ส่องประกายสีแดงวาบขึ้นมาโดยพลัน ตัวเขาผุดลุกขึ้นมาจากท่านั่งทันที ก่อนเอนไปข้างหน้า มองลงไปยังด้านล่าง
แทบจะพร้อมกันกับที่เขาเอนกาย ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่สลายเป็นเศษนับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นมีเงาร่างของหวังเป่าเล่อวาบผ่านแล้วหลุดออกจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาไป เมื่อปรากฏอีกครั้งก็กลับมาอยู่ในปัจจุบัน ณ สถานที่อีกแห่งในโลกชั้นที่สอง
ที่นี่ห่างไกลจากเทือกเขาก่อนหน้านี้มากนัก
หลังจากปรากฏตัว สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็ซีดขาว แต่แววตากลับนิ่งสงบอย่างยิ่ง เขาโคจรกฎเกณฑ์แห่งสุขภายในร่างจนถึงขีดสุดอย่างรวดเร็ว มันเติมเต็มทุกส่วนทุกมุมทั่วร่างกาย ปกปิดกฎเกณฑ์จากโลกภายนอกของเขาเอาไว้
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกอันตรายที่มาจากท้องฟ้าก็ยังคงค้างคาไม่จางหาย ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเล นำเมล็ดเต๋าแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงออกมาทันที จากนั้นกดมันไว้ที่หว่างคิ้ว ผสานเข้าไปในร่างกาย
เมื่อผสานมันลงไป ภายในร่างของเขาก็คล้ายมีอสนีสวรรค์ระเบิดขึ้นจนเกิดเสียงสะเทือนลั่น แต่สีหน้าท่าทางของหวังเป่าเล่อก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็มุดลงสู่ส่วนลึกของผืนดินใต้ฝ่าเท้าตรงๆ
ในส่วนลึกของผืนดิน ท่ามกลางดินโคลน หวังเป่าเล่อราวกับถูกฝัง เขานั่งขัดสมาธิไม่ขยับเขยื้อน กลิ่นอายภายในร่างถูกเก็บจนหมด ไม่เผยออกไปแม้เพียงนิด พร้อมกันนั้น กฎเกณฑ์สองชนิดอย่างสุขและเสียงภายในร่างก็เหมือนน้ำไฟไม่เข้ากัน เริ่มต่อต้านกันและกันแล้ว
และการต่อต้านของพวกมันก็ยังปกคลุมร่องรอยของกฎเกณฑ์จากโลกภายนอกภายในร่างของหวังเป่าเล่อไว้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ร่องรอยของเขาถูกลบทิ้งไปอย่างแยบยล
หากยังถูกฝ่ามือลมพายุนั่นตรึงเป้าหมายอยู่ตลอดล่ะก็ ต่อให้หวังเป่าเล่อบรรลุมาถึงขั้นนี้ ก็ยากจะตัดร่องรอยพวกนั้นให้หมดได้ แต่เมื่อฝ่ามือพังทลาย ก็ทำให้สภาพถูกตรึงเป้าหมายของเขาเกิดจุดตัดขาด
นี่ก็คือโอกาสที่หวังเป่าเล่อสร้างขึ้นมาให้ตัวเอง
และขณะที่กฎเกณฑ์สองชนิดอย่างสุขและเสียงภายในร่างของเขาต่อต้านกันและกันอยู่นั้น บนท้องฟ้าของโลกชั้นที่สองก็มีใบหน้าขนาดยักษ์ค่อยๆ โผล่ออกมา
ใบหน้านี้เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม แววตาสีแดงชาด ขณะที่ดวงตาฉายแววเย็นชาไร้ความรู้สึกก็แฝงไว้ซึ่งลมพายุเช่นกัน เห็นชัดว่ามันขัดแย้งกันอย่างยิ่ง แต่เมื่ออยู่บนหน้าของเขากลับไม่มีความไม่เข้ากันแม้แต่น้อย
เมื่อมันปรากฏขึ้นมา ผู้แข็งแกร่งทั่วทั้งโลกาชั้นที่สองต่างก็ใจสั่นสะท้านกันทั้งสิ้น พวกเขาเงยหน้าขึ้นจากที่ต่างๆ มองไปยังใบหน้าบนฟ้าด้วยความเคารพบูชา ก่อนก้มหน้าลงต่ำ
หวังเป่าเล่อที่อยู่ในสถานะซ่อนตัวไม่อาจมองไปที่ใบหน้านั้นได้ สำหรับเหล่าจอมพลังแล้ว เมื่อได้เห็นก็จะเกิดเป็นเหตุต้นผลกรรม ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นอย่างไร
แต่ในก้นบึ้งจิตใจของเขามีคำตอบอยู่บ้างแล้ว
“เต๋าแห่งฝันของข้าที่เข้าไป…ก็คือฝันของเขาอย่างนั้นหรือ ผู้พิทักษ์จิตแห่งเทพเจ้า…จักรพรรดิเสวียนเฉิน”
บนท้องฟ้า ใบหน้าที่ปรากฏขึ้นมาก็คือ…จักรพรรดิเสวียนเฉิน
……………………