เมื่อได้ยินคำสั่งกัปตัน นีน่าขดมุมปากพลางชี้ไปนอกหน้าต่างและกล่าว
“มีการทดลองใดของแฟรงค์ไม่พิสดารด้วยหรือ”
“…” แคทลียาเถียงไม่ออกไปสักพัก จนกระทั่งเธอถอนหายใจและกล่าว
“ถ้ามีสัญญาณอันตรายให้รีบเขียนจดหมายถึงฉัน”
ในฐานะปราชญ์พิศวง เธอเองก็มีผู้ส่งสารส่วนตัว
“เข้าใจแล้วค่ะ” นีน่ายืดอกพูด “ฉันทราบดี…คงไม่มีใครบนอนาคตกาลเป็นผู้ใหญ่และรับผิดชอบมากไปกว่าฉันอีกแล้ว”
กล่าวจบ เธอถามเสียงฉงน
“กัปตัน คุณมาทำอะไรที่โลเอ็น? เป็นภารกิจแบบไหน? ทำลายศัตรูจากด้านหลัง?”
นีน่าเป็นลูกครึ่งฟุซัค-อินทิส จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเธอจะไม่เป็นกลางในสงครามที่กำลังปะทุขึ้น นีน่าเดาว่ากัปตันของตนอาจกำลังทำงานร่วมกับหน่วยข่าวกรองของอินทิส
“…จะพูดแบบนั้นก็ได้” พลเรือเอกดวงดาว แคทลียาตอบเสียงขรึม
ในแง่หนึ่ง การคาดเดาของนีน่าไม่ผิด แคทลียาต้องมาทำภารกิจลอบสังหารในกรุงเบ็คลันด์จริง แต่เป้าหมายไม่ใช่กองทัพหรือรัฐบาล หากแต่เป็นลัทธินอกรีต
นอกจากนั้นเรายังมีโอกาสได้เจอกับราชินี…ท่านน่าจะยังอยู่ในเบ็คลันด์ไปจนถึงต้นปีหน้า…คิดถึงตรงนี้ แคทลียาอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
นับตั้งแต่ออกจาก ‘รุ่งอรุณ’ เธอก็ไม่ได้พบกับราชินีเงื่อนงำอีกเลย มีเพียงการเขียนจดหมายตอบโต้ หรือแม้กระทั่งในยามที่ได้อยู่บนเรือลำเดียวกัน ก็ยังไม่มีโอกาสได้สนทนาด้วยเหตุผลบางประการ
นีน่าไม่ถามซักไซ้ เพียงชี้ไปทางประตูและพูด
“กัปตัน ยังมีอะไรอีกไหม? ถ้าไม่ พวกเราขอตัว”
พลเรือเอกดวงดาว แคทลียาผงกศีรษะแผ่วเบา เป็นนัยให้หัวหน้ากะลาสีเรือแห่งอนาคตกาล นีน่า พาลูกเรือทุกคนออกทะเล
ขณะนีน่าจับคันบังคับและออกแรงบิดเล็กน้อย แคทลียาที่ฉุกคิดบางสิ่งได้รีบตะโกน
“นีน่า”
“หือ?” นีน่าเจ้าของผมสีทองมัดหางม้าเผยความสับสนบนใบหน้า
“ห้ามดื่มเด็ดขาด!” แคทลียาเน้นย้ำ “ไว้ฉันกลับมาเมื่อไรจะอนุญาตให้เธอดื่มได้เต็มคราบ!”
นีน่าเผยรอยยิ้มอย่างมีเสน่ห์
“สัญญาแล้วนะ!”
แคทลียาไตร่ตรองสักพักก่อนจะกล่าวต่อ
“นอกจากแฟรงค์แล้ว…เธอควรจับตามองสถานะของฮีธให้ดี อย่าปล่อยให้เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็นในเสียงที่ไม่ควรได้ยิน อย่าปล่อยให้เขาเหนื่อยเกินไป…คอยดึงอ็อตโตลอฟออกจากห้องเป็นระยะเพื่อไม่ให้เขาสัมผัสกับความรู้ในปริมาณมาก…นอกจากนั้น…”
“ฉันรู้น่า…ไม่มีใครรู้จักพวกเขาดีกว่าฉันอีกแล้ว” นีน่าโบกไม้โบกมือ
หลังจากนีน่ากับลูกเรือที่เหลือเดินออกจากห้องกัปตันและปิดประตูสนิท แคทลียามองออกไปนอกหน้าต่างในทิศทางของกรุงเบ็คลันด์
ไม่กี่นาทีถัดมา เธอดึงไพ่ทาโรต์ออกจากสำรับในมือ
ภาพหน้าไพ่เป็นชายชราผู้สันโดษกำลังถือตะเกียงแก้วและไม้เท้า
ไพ่เฮอร์มิท
…
กลางดึกสงัดในกรุงเบ็คลันด์ บ้านเอิร์ลฮอลล์
ออเดรย์ผู้แต่งกายในชุดนอนโปร่งสีขาว ลืมตาขึ้นกะทันหันพร้อมกับนำผ้าห่มสีน้ำเงินมาคลุมตัว
จากนั้นก็พลิกตัวและลุกจากเตียง เดินไปทางกระจกเงาบานใหญ่ในห้อง สำรวจตัวเองอย่างถี่ถ้วนโดยอาศัยแสงจันทร์ที่ส่องลอดผ้าม่าน
ดวงตาสีเขียวมรกตของเธอเปล่งประกายแวววาวและคมชัด ใครก็ตามที่จ้องมองจะเห็นรายละเอียดทั้งหมดอย่างชัดเจน
ออเดรย์หลับตาลง และเมื่อลืมตาอีกครั้ง ความผิดทั้งหมดพลันอันตรธานหาย
มุมปากหญิงสาวบรรจงยกโค้งจนแก้มถูกเน้น คิวและดวงตาโก้งโค้งเล็กน้อย จากนั้นก็สรรเสริญตัวเองในใจด้วยเสียงต่ำ
ออเดรย์ ในที่สุดเธอก็มาถึงจุดนี้จนได้~!
โอสถนักท่องฝันถูกย่อยอย่างสมบูรณ์แล้ว
ตามความเข้าใจและการคาดเดาของออเดรย์ เธอเชื่อว่าตนจะย่อยโอสถเสร็จสมบูรณ์ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แต่กลับกลายเป็นว่า ในระยะหลังเธอได้พบกับความฝันพิสดารจำนวนมาก
มีทั้งฝันซ้อนฝัน ฝันที่เกิดจากอาการทางจิต ฝันที่คมชัด ฝันที่เกิดจากอิทธิพลของวิญญาณมาร และฝันของครึ่งเทพอีกจำนวนหนึ่ง
ภายใต้สถานการณ์ปรกติ ออเดรย์ซึ่งเป็นนักท่องฝันสามารถประเมินได้อย่างคร่าวว่าตนเข้ามาในความฝันของสิ่งมีชีวิตระดับใด ช่วยให้หลีกเลี่ยงอันตรายได้ง่าย ทว่า เหล่าครึ่งเทพกลับซ่อนตัวได้ยอดเยี่ยมเกินไปจนออเดรย์ไม่รู้ตัวและสำรวจถลำลึก พอรู้ตัวว่ามีบางสิ่งผิดปรกติก็อดไม่ได้ที่จะหวาดผวา
โชคดีที่เธอไม่ถูกพบตัวในช่วงเวลาดังกล่าว ในทางกลับกัน ออเดรย์ยังทำการสำรวจต่ออย่างระมัดระวัง รวมไปถึงการวิเคราะห์และสังเกตความฝัน และนั่นช่วยให้โอสถย่อยได้เร็วมาก
นอกจากนั้น บรรดาความฝันพิเศษยังช่วยให้เธอได้รับประสบการณ์แปลกใหม่ ในภายหลังออเดรย์สร้างฝันซ้อนฝันขึ้นมาและเข้าไปหลบในความฝันดังกล่าว จากนั้นก็แอบชักนำความฝันอย่างชาญฉลาดและแทรกแซงจิตใต้สำนึกของผู้คนเพื่อรักษาอาการทางจิต หรือไม่ก็ขจัดการกัดกร่อนจากวิญญาณมาร
เธอละเมิดกฎที่ตัวเองตั้งไว้ว่าจะทำเพียงเฝ้าสังเกตและบันทึก อย่างไรก็ตาม การแหกกฎกลับช่วยให้โอสถถูกย่อยเร็วขึ้นอย่างน่าฉงน
นั่นทำให้เธอสรุปกฎข้อใหม่
…หากต้องการแทรกแซงความฝัน จงทำจากเบื้องหลังโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นแม้เป้าหมายจะลุล่วง
สำหรับเรื่องนี้ ออเดรย์ทำได้ดีจนน่าทึ่ง ผู้ที่มีอาการทางจิตกลับมาหายดีหลังจากเธอเข้าฝันไปเพียงห้าหกครั้ง
และโดยทั่วไป ความฝันของคนเหล่านั้นจะทั้งแปลกประหลาดและเข้าใจได้ยาก
การที่โอสถนักท่องฝันย่อยได้เร็วขนาดนี้ ปัจจัยสำคัญคือความโชคดีในระยะหลัง หากปราศจากเหตุการณ์พิเศษ เห็นทีคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองเดือนกว่าจะย่อยเสร็จสมบูรณ์…จะว่าไป เรามีสิทธิ์ที่จะถูกครึ่งเทพพบตัวและฆ่าทิ้งหลายครั้ง แต่ก็รอดมาได้ทั้งหมด…เริ่มโชคดีขึ้นตั้งแต่ตอนไหนกันนะ? อา…ดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงหลังจากสังเวยไอศกรีมให้เทวทูตแห่งเส้นทางชะตากรรมตนนั้น…ไม่สิ ข้ารับใช้ของท่านต่างหาก…ออเดรย์จ้องตัวเองในกระจกพลางยิ้มและกะพริบตาถี่
หญิงสาวรีบถอนสายตา สำรวจห้องนอนและโต๊ะเครื่องแป้ง
ด้านบนมีไพ่ทาโรต์หนึ่งสำรับ
เป็นเรื่องธรรมดาที่ห้องนอนของสตรีผู้หลงใหลศาสตร์เร้นลับจะมีสำรับไพ่ทาโรต์
ออเดรย์เหยียดมือขวาไปข้างหน้า สัมผัสหน้าไพ่ด้วยปลายนิ้วพลางหายใจเชื่องช้าและพึมพำกับตัวเอง
แนวรบอมานด้าทวีความดุเดือดขึ้นอย่างต่อเนื่อง…แคว้นเลียบทะเลสูญเสียท่าเรือไปแล้ว…
เป็นที่คาดกันว่า แนวรบสันเขาโฮนาซิสในแคว้นซิลวารัสคงยื้อได้ไม่ถึงฤดูใบไม้ผลิ…
หากไม่ใช่เพราะกองทัพของเราได้เปรียบในสมรภูมิกลางทะเล ป่านนี้คงถูกตัดขาดกับไบลัมตะวันออกไปแล้ว…
พี่อัลเฟรดยังอยู่ที่นั่น…
สงครามนี้จะพัฒนาไปในทิศทางใดกัน…
โชคดีที่เรากำลังจะกลายเป็นครึ่งเทพ มิสเตอร์เวิร์ลได้มอบสูตรโอสถและตะกอนพลังจอมบงการมาแล้ว…สำหรับน้ำตาของมนุษย์เจ็ดคนที่หลั่งออกมาขณะอารมณ์กำลังเข้มข้นสุดขีด เรารวบรวมครบแล้วระหว่างการท่องความฝันในช่วงที่ผ่านมา…
ใบไม้สีทองของเจ้าแห่งมนุษย์ต้นไม้ได้จากการแลกเปลี่ยนกับเดอะซันน้อย ตอนนี้เหลือแค่เลือดของมังกรวิญญาณชรา…
อา…บางทีอาจหาได้จากชุมนุมลับของสมาคมแปรจิต…ก่อนที่เฮอร์วินแรมบิสจะตาย เรากลายเป็นหัวหน้าชุมนุมย่อยบางกลุ่มแล้ว…แต่นั่นจะไม่ทำให้เบื้องบนสงสัยว่า เรามีส่วนเกี่ยวข้องกับความตายของเฮอร์วินแรมบิสหรอกหรือ?
หรือจะให้มิสเตอร์เวิร์ลช่วยอัญเชิญออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์? วัตถุดิบดังกล่าวสามารถคงสภาพได้นานสิบห้านาที ไว้เราเลื่อนลำดับสำเร็จค่อยเข้าฌานเพื่อชดเชยพลังวิญญาณที่หายไปก็ได้…ต่อให้ภาพฉายดังกล่าวหมดอายุขัย แต่มันก็เป็นแค่วัตถุดิบเสริม…
ออเดรย์ เธอไปหัดขี้โกงมาจากไหน! แถมยังคิดจะโกงในเรื่องแบบนี้อีก!
หลังจากถากถางตัวเอง ออเดรย์เริ่มไตร่ตรองว่าตนควรใช้โอกาสใดในการประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นจอมบงการ
สาระสำคัญของพิธีกรรมคือการดื่มโอสถท่ามกลางอารมณ์ที่สั่นพ้องของผู้คนนับหมื่น
ท่ามกลางกระแสความคิด ออเดรย์ผุดไอเดียเบื้องต้น
วันเฉลิมฉลองเหมันต์ของเทพธิดา?
แต่ไม่ว่าพิธีมิสซาจะใหญ่แค่ไหนก็คงจุคนได้ไม่ถึงหมื่น…วิหารหลังหนึ่งรองรับคนไม่ได้มากขนาดนั้น…
ยังมีวิธีอยู่…แค่เราบริจาคเงินจำนวนหนึ่งและระดมคนให้มารวมตัวกันในจัตุรัสรำลึกหรือสถานที่ที่คล้ายกัน ฉากหน้าอ้างว่าเป็นพิธีสวดส่งดวงวิญญาณคนตายที่จากไปเพราะสงคราม…
จัตุรัสที่สำคัญที่สุดจะต้องเชิญครอบครัว ญาติ และเพื่อนของผู้เสียชีวิตมาร่วมงาน นั่นจึงจะทำให้การสั่นพ้องของอารมณ์ส่งผลไปถึงผู้เข้าร่วมมิสซาคนอื่น ช่วยให้เราบรรลุเงื่อนไขพิธีกรรมอย่างง่ายดาย…
หลังจากไตร่ตรองอย่างใจเย็น ออเดรย์ก้มหน้ามองกระจกเงาบนโต๊ะเครื่องแป้ง พบว่ารอยยิ้มบนหน้าเลอโฉมเลือนหายไป แทนที่ด้วยความเศร้าโศกในดวงตา
หญิงสาวจ้องหน้าตัวเองพลางกระซิบด้วยรอยยิ้มขื่นขม
“ออเดรย์…เธอกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจไปแล้วนะ…”
เมื่อหลับตาลงและลืมขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวกลับเป็นปรกติ
เธอเหยียดแขนไปหยิบไพ่ทาโรต์ใบบนสุดของสำรับและหงายขึ้น
หน้าไพ่เป็นภาพของเทพีแห่งความยุติธรรมกำลังนั่งบนเก้าอี้หิน มือข้างหนึ่งถือดาบ อีกข้างถือตาชั่ง จ้องมองมาข้างหน้าด้วยสายตาเฉยเมย
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตฮิลสตัน ภายในบ้านที่มีเตาผิง
“โอสถนักบันทึกของเธอย่อยสมบูรณ์แล้วหรือ” หลังจากซิลเปลี่ยนชุดและเดินกลับมายังห้องนั่งเล่น เธอได้ยินข่าวที่น่าทึ่ง
ฟอร์สพยักหน้าอย่างอิดโรย
“อา…เธอรู้ไหมว่าฉันต้องใช้ชีวิตแบบใดในช่วงที่ผ่านมา?”
นอกจากจะถูกบังคับให้ท่องเที่ยวไปยังสถานที่หกแห่งที่แตกต่างกันเพื่อบันทึกทุกสิ่งตลอดคืนวัน ฟอร์สยังถูกดึงเข้าไปในมิติหมอกเป็นครั้งคราวเพื่อบันทึกพลังพิเศษระดับสูงสุดพิสดาร
พายุสายฟ้าและอัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ถูกบันทึกทับของเก่าหลายครั้ง และวันนี้ถึงคราวกลับมาวนครบรอบใหม่อีกครั้ง
“ไม่รู้…” ซิลตอบเถรตรง
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่รู้!” ฟอร์สสูดลมหายใจยาว “เฮ้อ…แล้วเธอล่ะ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ไม่เลว…พักหลังได้รับมอบหมายให้ดูแลศาลคดีเหนือธรรมชาติ หลังจากตั้งกฎการสวมบทบาท โอสถก็ถูกย่อยเร็วขึ้น” ซิลพยักหน้ารับ
“ฉันจินตนาการภาพเธอสวมชุดผู้พิพากษาและนั่งพิจารณาคดีไม่ออก…” ฟอร์สถอนหายใจด้วยความอ่อนเพลีย
“เธอกำลังจะบอกว่า…นักโทษและทนายความอาจมองไม่เห็นฉัน?” ซิลตั้งคำถาม แต่มิได้ถือสาเป็นจริงจัง
ฟอร์สหัวเราะแห้ง
“ฉันขอพักผ่อนอีกสักระยะก่อนจะเริ่มพิธีกรรมเลื่อนเป็นนักท่องเที่ยว”
“เธอต้องเดินทางเข้าไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณใช่ไหม? มีวิธีแล้วหรือยัง?” ซิลถามด้วยความสงสัย
ฟอร์สพยักหน้ารับ
“ชายคนนั้นบอกให้ฉันอัญเชิญผู้ส่งสารของเขา”
…………………………