บทที่ 1801 ทางหนีทีไล่สำรอง

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ประมุขชิงนำขุนนางใหญ่พวกนี้เดินออกจากห้อง ได้ยินเสียงร้องไห้ทั้งข้างนอกข้างใน แต่ละคนมีสีหน้าจริงจังหนักแน่น

ไม่ว่าในอดีตจะเคยมีบุญคุณความแค้นอะไรกับเซี่ยโห้วท่า แต่นั่นก็ผ่านไปแล้ว ฉากที่เซี่ยโห้วท่าสิ้นอายุขัยดุจเปลวไฟที่ดับลงราวกับเป็นหินหนักหน่วงก้อนหนึ่งที่กดหัวใจพวกเขา ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีวันนี้ด้วยหรือเปล่า

ประมุขชิงกับกลุ่มขุนนางใหญ่ไม่ได้อยู่ต่อ พวกเขาออกไปตั้งแต่ตอนนี้ ส่วนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ยังอยู่ต่อ คาดว่าถ้าพิธีศพของเซี่ยโห้วท่ายังไม่เรียบร้อย นางก็ยังไม่สะดวกออกไป ที่จริงก็ไม่ได้มีพิธีฝังศพอะไรหรอก คนก็ไม่อยู่แล้ว ถ้าจะฝังก็ฝังได้แค่เสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้ เพียงแต่ขั้นตอนที่จำเป็นก็ยังต้องดำเนินการ คาดว่าตระกูลเซี่ยโห้วก็คงไม่อยากโดนคนอื่นตำหนิว่าเป็นลูกหลานอกตัญญูเช่นกัน ตระกูลใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีหน้าตาเป็นพิเศษ เพราะคนที่ดูอยู่มีเยอะเกินไป

จัดพิธีศพใหญ่โต!

ในระหว่างนั้น ฐานันดรท่านปู่สวรรค์ของเซี่ยโห้วลิ่งกลายเป็นความจริงแล้ว ผ่านมติราชสำนักโดยแทบจะไม่มีแรงต้านอะไร ราบรื่นมาก

ข่าวการตายของเซี่ยโห้วท่าแพร่ไปทั้งใต้หล้า ชีวประวัติเกี่ยวกับเซี่ยโห้วท่าถูกคนนำมาพูดถึงใหม่อีกครั้ง

หลังจากเหมียวอี้ได้รู้ข่าวแล้ว ก็ติดต่อหาราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทันที ขอให้นางระงับความเศร้าโศก ขณะเดียวกันก็บอกด้วยว่าตัวเองจะไปสักการะศพที่ตระกูลเซี่ยโห้ว ยามปกติแอบอ้างบารมีเซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนี้เซี่ยโห้วท่าจากโลกนี้ไปแล้ว ถ้าไม่ไปก็จะดูไม่ค่อยเหมาะสม

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อนุญาตแล้ว แต่กลับให้เขาติดต่อเอ๋อเหมย ส่วนเหตุผลน่ะเหรอ เหมียวอี้ย่อมรู้อยู่แก่ใจ เขากับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต้องแสร้งทำเป็นไม่มีวิธีติดต่อกันโดยตรง

พอทางนี้ติดต่อเอ๋อเหมยได้ เอ๋อเหมยก็รีบขอคำชี้แนะจากเว่ยซู ส่วนเว่ยซูก็ถามความเห็นจากเซี่ยโห้วลิ่งทันที แต่ใครจะคิดว่าเซี่ยโห้วลิ่งจะตอบตกลงง่ายมาก

หลังจากเตรียมตัวที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว เหมียวอี้ก็นำกำลังพลกลุ่มหนึ่งออกเดินทางอย่างรวดเร็ว

ก่อนออกเดินทาง เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวจากสวีถังหรานอย่างกะทันหัน บอกว่าหยวนกงขอลาหยุด ไม่รู้ชัดว่าจะไปไหน เหมียวอี้รู้สึกแปลกใจ หรือว่าหยวนกงจะกลับไปเคารพศพเหมือนกัน? ตามหลักแล้วนี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หยวนกงจะกล้าเปิดเผยตัวตนเหรอ?

ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านอุดอู้อยู่ในห้องมืดสลัว ในห้องวางธูปบูชาเอาไว้ ควันเขียวลอยโขมง เฉาหม่านที่สวมชุดขาวทั้งตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ

ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นชีเจวี๋ยก็เข้ามาเองโดยไม่ต้องให้เชิญ เฉาหม่านที่กำลังหลับตาอยู่บนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรงกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่มีธุระสำคัญก็อย่ามารบกวนข้า”

ชีเจวี๋ยถือจดหมายอยู่ในมือ ไม่ใช่แผนหยก แต่เป็นจดหมายที่เขียนใส่กระดาษ “เถ้าแก่ มีคนบอกว่าเป็นสหายของท่าน ต้องการพบท่าน บอกว่าหากท่านอาจจดหมายนี้แล้วก็จะรู้ว่าเขาคือใครขอรับ”

เฉาหม่านเหลือบตาขึ้น ในดวงตาฉายแววแปลกใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนใช้วิธีการเขียนจดหมายแบบนี้ติดต่อเขา ไม่กลัวว่าเนื้อหาในจดหมายจะถูกเปิดโปงเชียวหรือ?

เมื่อรับจดหมายว่าไว้ในมือ ถือซองจดหมายที่ปิดผนึกแน่นพลิกดูซ้ำไปซ้ำมา แล้วก็ฉีกซองจดหมายออก ดึงกระดายขาวที่บางเหมือนปีกจั๊กจั่นออกมา ที่แปลกกว่านั้นก็คือ บนกระดาษขาวสะอาดหมดจด ไม่มีตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นว่าบนนั้นทิ้งร่องรอยอะไรไว้

เฉาหม่านขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปที่มุมห้อง กรอกน้ำใส่ในถังเงินใบหนึ่ง แล้ววางกระดาษขาวลงในน้ำอย่างแผ่วเบาราบเรียบ

กระดาษขาวเปียกจนเปลี่ยนสี ด้านบนปรากฏตัวอักษรตัวหนึ่ง มีเพียงตัวเองเท่านั้น เป็นตัวอักษร ‘หก’ ตัวเดียว

หมายความว่าอะไร? เฉาหม่านงงไปชั่วขณะ ตัวอักษรหายไปเร็วมาก แม้แต่กระดาษแผ่นนั้นก็กระจัดกระจายแยกจากกัน ค่อยๆ ละลายอยู่ในน้ำ ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้

ส่งมาแค่คำว่า ‘หก’ เหตุใดกลับทำลึกลับขนาดนี้ ตัวอักษร ‘หก’ นี้สำคัญมากเหรอ? เฉาหม่านกำลังครุ่นคิด ในดวงตาลุกวาวทันที เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ พลันหันกลับมาถาม “คนอยู่ที่ไหน?”

ชีเจวี๋ยไม่อาจนำสิ่งของอันตรายเขามาที่นี่ได้ ก่อนหน้านี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบของในซองจดหมายแล้ว แต่ตรวจสอบไม่เจออะไร ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเฉาหม่านตรวจสอบอะไรแล้ว  จึงตอบอย่างเคารพว่า “รออยู่ในโถงรับแขกด้านล่างขอรับ”

“เชิญ!” เฉาหม่านกล่าว

หลังจากชีเจวี๋ยออกไปได้ไม่นาน นำชายหนุ่มหนวดงุ้มเข้ามา เห็นได้ชัดว่าปลอมแปลงใบหน้ามาแล้ว มองปราดเดียวก็รู้

หลังจากคนคนนี้มาแล้ว ก็ยืนสบตากับเฉาหม่านพักหนึ่ง จากนั้นก็มองประเมินกันและกัน ผู้ที่มามองสำรวจรอบห้อง หลังจากสายตาไปหยุดอยู่บนธูปบูชาแล้วก็ดูค่อนข้างเศร้าสลด

เฉาหม่านโบกมือให้ชีเจวี๋ย “เจ้าถอยออกไปก่อน ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ก็ห้ามไม่ให้ใครเข้ามารบกวน”

“ขอรับ!” ชีเจวี๋ยออกไปแล้วปิดประตู

ตอนนี้เฉาหม่านจ้องอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยถามเสียงเรียบ “ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร ทำไมปลอมตัวเป็นสหายของเฉาผู้นี้?”

ผู้ที่มากลับถ่ายทอดเสียงตอบว่า “พี่สาม ท่านรู้แล้วยังแกล้งถามทำไมอีก ในเมื่อท่านปล่อยให้ข้ามาพบ แสดงว่าท่านก็เข้าใจความหมายในจดหมายแล้ว”

เฉาหม่านเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงแล้วเช่นกัน “เจ้าคือเจ้าหกเหรอ?”

ผู้ที่มาพยักหน้า

“เจ้าไม่ถอดหน้ากากออก แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าคือตัวจริงหรือตัวปลอม?” เฉาหม่านถาม

“ท่านกับข้าเป็นพี่น้องที่ไม่เคยพบหน้ากัน ถ้าข้าถอดหน้ากากแล้วท่านจะจำข้าได้เหรอ?” ผู้ที่มาถามกลั้วหัวเราะ

“ในเมื่อเจ้ามาพบข้าแล้ว จะไม่แสดงความจริงใจสักหน่อยเหรอ?” เฉาหม่านถาม

ผู้ที่มาส่ายหน้า “ตอนท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ก็มีกฎ ว่าตอนที่ยังไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ ระหว่างพวกเราพี่น้องก็ห้ามเผยตัวตนต่อกันและกัน นี่เป็นการพิจารณาเรื่องความปลอดภัยเช่นกัน”

“เจ้าแน่ใจขนาดนี้ว่าข้าคือพี่สามของเจ้า อย่าบอกนะว่าเจ้าเคยพบข้า?” เฉาหม่านถาม

ผู้ที่มาตอบว่า “ท่านแทบจะวางตัวเองไว้ในที่แจ้ง ข้าว่าพี่น้องคนอื่นคงไม่มีใครข่มความสงสัยนี้ได้ เชื่อว่าคนอื่นๆ ก็มาพบพี่สามตั้งนานแล้วเช่นกัน”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่เสียเปรียบเกินไปหน่อยเหรอ” เฉาหม่านกล่าว

ผู้ที่มาบอกว่า “ควรจะบอกว่าพี่สามได้เปรียบสิถึงจะถูก พวกเราต่างก็รู้จักพี่สาม แต่พี่สามกลับไม่รู้จักพี่น้องอย่างพวกเราสักคน ใครที่เสียเปรียบกว่าล่ะ?”

“แล้วข้าจะตัดสินได้ยังไงว่าตัวตนของเจ้าจริงหรือปลอม?” เฉาหม่านถาม

ผู้ที่มาตอบว่า “ฐานะของข้าจะจริงหรือปลอม ในเวลานี้ไม่สำคัญสำหรับพี่สามหรอก” เขาเดินมาด้านข้างโต๊ะยาว หยิบระฆังดาราสองอันออกมาวางบนโต๊ะ “ทิ้งวิธีการติดต่อโดยตรงเอาไว้สำคัญกว่า ข้าคิดว่าพี่สามคงรู้ว่าหมายความว่าอะไร”

เฉาหม่านเดินมาข้างโต๊ะยาวเช่นกัน “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร”

“พี่สามไม่จำเป็นต้องแกล้งเลอะเลือน” ผู้ที่มากล่าว

“ถ้าเจ้าคือเจ้าหกจริงๆ รู้ตัวมั้ยว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” เฉาหม่านถาม

ผู้ที่มากล่าวว่า “ย่อมรู้แน่นอน เพียงแต่ท่านพ่อไม่อยู่แล้ว ใครจะรู้ว่าท่านนั้นจะทำเรื่องอะไรได้บ้าง ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเป็นปฎิปักษ์กับหัวหน้าตระกูลที่ท่านพ่อกำหนด ท่านพ่อได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษแห่งยุค ทำแบบนี้จะต้องมีเหตุผลของเขาแน่นอน ข้าไม่อยากให้ตระกูลเซี่ยโห้วเกิดเรื่องเช่นกัน ถ้าเกิดเรื่องกับตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่เป็นผลดีกับพวกเราคนไหนทั้งนั้น แต่หลายปีที่ผ่านมาพวกเราอยู่ในที่ลับมาตลอดเพื่อตระกูลเซี่ยโห้ว ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน ถ้าเพราะคำพูดของท่านพ่อคนเดียวแล้วข้าต้องยื่นคอรอเชือด ข้าทำไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ต้องให้เหตุผลที่ทำให้ข้ายอมได้ ข้ายังยืนยันคำเดิม ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเป็นปฎิปักษ์ต่อการตัดสินใจของท่านพ่อ ข้าไม่ได้เจตนาจะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนใหม่ด้วย แต่ชีวิตข้าใช่ว่าใครจะเอาก็เอาได้ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะทำให้ข้าเชื่อถือศรัทธา ถ้าเขาแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาได้ ข้าก็จะยอมรับ ไม่อย่างนั้นทุกคนก็เป็นลูกอนุภรรยาเหมือนกันหมด เขามีสิทธิ์อะไรมาทำซี้ซั้วอย่างนี้ล่ะ?”

เฉาหม่านสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด “เฉาผู้นี้ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเชื่อการตัดสินใจของท่านพ่อ และยืนหยัดจะปกป้องหัวหน้าตระกูลคนใหม่ด้วย ถ้าใครกล้ามีเจตนาไม่ซื่อทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเซี่ยโห้วและหัวหน้าตระกูล ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยเขาไป!”

ล้อเล่นอะไรกัน เขายืนยันตัวตนของอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ มีหรือที่จะเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายง่ายๆ ถ้าเป็นสายลับที่ใครบางคนส่งมาจะทำอย่างไรล่ะ? เขาย่อมต้องยืนหยัดแสดงท่าทีให้ชัดเจน มีหรือที่จะตกหลุมพรางได้ง่ายๆ ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็แสดงว่าเขาใช้ชีวิตมาโดยสูญเปล่าแล้ว

ผู้ที่มาบอกว่า “พี่สาม ข้าเองก็ขี้คร้านจะเดาว่าคำพูดของท่านจริงหรือปลอม แต่ท่านพ่อเอาชีวิตของกลุ่มพี่น้องไว้ในมือท่านแล้ว ท่านต้องรับผิดชอบสิ่งนี้ให้ไหว”

“เกรงว่าจะทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว ตอนท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้ฝากฝังอะไรไว้กับข้าทั้งนั้น” เฉาหม่านกล่าว

ผู้ที่มาจึงบอกว่า “การฝากฝังบางอย่างไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ยามปกติไม่ว่าใครก็สัมผัสไม่ได้ แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ตัวอยู่ในฐานะนั้นถึงจะตระหนักได้ คนนอกยากที่จะเข้าใจ นี่คือจุดที่ล้ำลึกของท่านพ่อที่ทำให้คนต้องนับถือ”

“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร” เฉาหม่านกล่าว

ผู้ที่มาบอกว่า “นี่พี่สามกำลังแกล้งเลอะเลือนหรือว่าเป็นคนที่อยู่ในสถานการณ์เองก็เลยงง? ใช่แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วมีแค่คนที่ยืนอยู่ในที่แจ้งเท่านั้นถึงจะมีหวังรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล พวกเราหมดหวังตั้งแต่ใช้แซ่ลับแล้ว แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่พี่สามห้ามลืม แม้พี่รองจะยืนอยู่ในที่แจ้ง แต่ท่านเองก็แทบจะยืนอยู่ในที่แจ้งเหมือนกันนะพี่รอง อย่างน้อยก็เป็นคนที่เปิดเผยตัวตนไปแล้วครึ่งหนึ่ง!”

พออีกฝ่ายพูดแบบนี้ เฉาหม่านก็ตัวสั่นเล็กน้อย เหมือนจะตระหนักอะไรได้บ้างแล้ว

ผู้ที่มาพูดต่อว่า “ตอนแรกข้าก็ไม่ได้คิดถึงจุดนี้เช่นกัน จนกระทั่งเริ่มมีอันตรายที่แท้จริงประชิดเข้ามา บีบให้ข้าต้องพิจารณาทางหนีทีไล่ บีบให้ข้าอยากปกป้องชีวิตตัวเอง บีบให้ข้าหมดหนทางจะอยู่อย่างโดดเดี่ยว บีบให้ข้าอยากหาพี่น้องมาเป็นพันธมิตรปกป้องตัวเอง สายตาข้าจึงจ้องไปที่พี่สามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ข้าแน่ใจอยู่จุดหนึ่งแล้ว เกรงว่านี่คงจะไม่ใช่ความคิดของข้าคนเดียวเท่านั้น พี่น้องคนอื่นๆ จะต้องคิดเหมือนข้าแน่นอน จนกระทั่งตอนนี้ข้าก็เพิ่งเข้าใจกระจ่าง เพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดท่านพ่อจึงเปิดเผยตัวตนของท่านไว้ครึ่งหนึ่ง ทำไมถึงให้พี่น้องที่อยู่ในที่ลับทุกคนรู้ถึงการมีอยู่ของท่าน ก็เพราะท่านพ่อทิ้งทางหนีทีไล่สำรองเอาไว้ นี่คือทางหนีทีไล่ที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้พวกเราพี่น้องในช่วงเวลาสำคัญ!”

เฉาหม่านทำสีหน้าตกตะลึง ไม่มีทางปิดบังได้เลย

ผู้ที่มาอธิบายอีกว่า “ท่านพ่อเป็นคนที่เคยผ่านวิธีการเข่นฆ่ากันเองมาก่อน เขารู้ถึงความโหดร้ายที่อยู่ในนั้น แต่ในปีนั้นเขาก็ไม่มีทางเลือก ข้าคิดว่าถ้าหลบเลี่ยงได้ ในฐานะคนเป็นพ่อ ไม่ว่ากับคนไหนก็ต้องคิดหาทางให้หลบเลี่ยงให้ได้มากที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดฉากเข่นฆ่ากันเองซ้ำในตระกูลเซี่ยโห้ว ข้าคิดว่าท่านพ่อเปรียบเทียบพี่รองกับพี่สามไว้ตั้งแต่แรกแล้ว นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมท่านพ่อถึงให้พี่รองยืนขึ้น แล้วให้พี่สามยืนขึ้นมาครึ่งเดียว เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อกังวลที่พี่รองมีความสามารถจำกัด ไม่อย่างนั้นพอตัดสินใจให้พี่รองรับตำแหน่งต่อแล้ว ก็จะช่วยพี่รองกวาดล้างอุปสรรคอย่างพวกเรา แต่ท่านพ่อกลับไม่ได้ทำอย่างนั้น นี่ก็คือทางหนีทีไล่ที่เขาตั้งใจเตรียมให้พวกเรา และเหลือทางหนีทีไล่ให้ตระกูลเซี่ยโห้วเช่นกัน! ท่านพ่อรู้ชัดดีมาก รู้ว่าพวกเราคงไม่อยู่ในกรอบแต่โดยดี และกำลังคนที่พวกเราแต่ละคนกุมไว้ก็เป็นไพ่ลับสุดท้ายที่จะใช้ปกป้องชีวิตตัวเอง ไม่มีทางเปิดเผยตัวตนให้พี่น้องคนอื่นรู้ง่ายๆ หมายความว่าถ้าพวกเราไม่หมดทางเลือก ก็จะไม่ต่อต้านพี่รองง่ายๆ

ภายใต้พื้นฐานนี้ ขอเพียงพี่รองไม่ใช้วิธีการรุนแรงกำจัดพวกเรา พวกเราก็ย่อมให้ความร่วมมือ อย่างไรเสียพวกเราก็ไม่อยากให้ตระกูลเซี่ยโห้วโชคร้าย ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วล้มลงก็ไม่เป็นผลดีต่อพวกเราเช่นกัน ขอเพียงเขามีความสามารถที่จะนำพาตระกูลเซี่ยโห้วก้าวไปข้างหน้าต่อได้ สามารถทำให้พวกเรายอมรับจากใจได้ พวกเราก็จะยอมศิโรราบอยู่แล้ว นี่ก็ต้องดูความสามารถของเขา ดูบททดสอบที่ท่านพ่อให้เขา แต่ถ้าเขาไม่ทำงานมัวแต่คิดจะกำจัดพวกเรา เช่นนั้นพวกเราก็ทำได้เพียงสั่งสอนเขา อย่างมากก็สะบัดเขาทิ้งไปเสีย มาอยู่แต่ใต้ดินโดยสมบูรณ์ พวกเราก็ร่วมมือกันทำงานของพวกเราเอง ผลักดันให้คนไปเจรจากับตำหนักสวรรค์ มีอำนาจอยู่ในมือยังกลัวว่าตำหนักสวรรค์จะไม่ยอมถอยอีกเหรอ ยังกลัวว่าจะแทนที่เขาไม่ได้อีกเหรอ?”

…………………