บทที่ 1803 ได้ยินมาว่า ได้ยินมาว่า ได้ยินมาว่า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เมื่อเห็นเหมียวอี้สงบเสงี่ยม ชิงหยวนจุนก็ยิ้มพร้อมบอกว่า “ทำไมไม่พูดล่ะ ข้าทำให้เจ้ารู้สึกว่าข้าวางมาดใหญ่โตจนเจ้าไม่กล้าทำความรู้จักเหรอ? ตอนที่ฮูหยินของเจ้ามาพบเสด็จแม่ของข้า ข้าก็ได้เจอฮูหยินของเจ้าหลายครั้งแล้ว ฮูหยินเจ้าพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับข้าจนทำให้เจ้าหวาดกลัวขนาดนี้ล่ะ?”

เหมียวอี้เป็นคนที่ถ้าเรียกพลังให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเมื่อไร ก็จะตอบสนองเร็วมาก เขาโพล่งออกไปทันที “องค์ชายกล่าวเกินไปแล้ว เพียงแต่เรื่องเมื่อครู่นี้ทำให้ข้าน้อยนึกขึ้นได้ถึงเรื่องอื่นก็เท่านั้นเอง ได้ยินว่านางในข้างกายเหนียงเหนียงถูกองค์ชายประหารไปแล้วไม่น้อย ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ขอรับ”

ชิงหยวนจุนตอบกลั้วหัวเราะว่า “มีเรื่องอย่างนี้จริงๆ เป็นเพราะคนพวกนั้นใจคด ข้าจงใจหาเรื่องลงโทษระบายอารมณ์ก็เท่านั้นเอง” รอยยิ้มดูไม่หยี่ระ เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่ตระกูลเซี่ยโห้วกำลังจัดพิธีศพไม่ได้สำคัญกับเขา

เหมียวอี้ถอนหายใจ “บางเรื่ององค์ชายอาจไม่พิจารณาพึงเหนียงเหนียง แต่องค์ชายก็ต้องพิจารณาเพื่อตัวเองให้มากๆ หน่อย การสังหารบ่าวไพร่ชั่วร้ายเป็นเรื่องเล็ก เพียงแต่การทำแบบนี้ในระยะยาวจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงเกียรติยศขององค์ชายเองขอรับ”

ชิงหยวนจุนหลุดขำ “แล้วชื่อเสียงเจ้าดีถึงขนาดไหนเชียว? ได้ยินว่าตอนเจ้าอยู่ตลาดสวรรค์ ชื่อเสียงก็ฉาวโฉ่ไปทั่วถนนแล้ เจ้ามาเตือนให้ข้าระวังชื่อเสียงเนี่ยนะ?”

เหมียวอี้เอามือลูบจมูกอย่างขัดเขินเล็กน้อย “องค์ชายกับข้าน้อยจะนำมาเทียบกันได้อย่างไรขอรับ ชื่อเสียงของข้าน้อยจะฉาวโฉ่หน่อยก็ไม่เป็นไร แต่องค์ชายย่อมไม่เหมือนกันขอรับ”

ชิงหยวนจุนหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “พอพูดถึงเรื่องตลาดสวรรค์ ข้าก็ไม่มีงานอะไรทำพอดีเลย อยากจะของานเสด็จพ่อทำสักหน่อย เจ้าคิดว่าตลาดสวรรค์เป็นยังไง? ให้ข้าไปดูแลตลาดสวรรค์สักหน่อยมั้ย แล้วเจ้าก็ย้ายไปช่วยงานข้าที่ตลาดสวรรค์ เป็นยังไง? ได้ยินว่าคนที่ตลาดสวรรค์กลัวเจ้าสุดๆ พอเจ้าไปถึงก็ทำให้พวกเจ้าตกใจจนปิดร้านหนีกันหมดเลยนี่”

ล้อเล่นอะไรกัน? ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะควบคุมกำลังพลกลุ่มนี้ได้ ตอนนี้ก็ไม่ได้ขาดเงินใช้ด้วย จะให้ตามเจ้าไปที่ตลาดสวรรค์เหรอ? แบบนั้นแสดงว่าสมองมีปัญหาแล้ว เหมียวอี้บ่นในใจไม่หยุด รีบโบกมือปฏิเสธ “องค์ชาย เรื่องนี้ไม่เหมาะสมขอรับ! ขออภัยที่ข้าน้อยพูดตรง ตลาดสวรรค์เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของขุนนางใหญ่เต็มราชสำนัก ไม่ว่าใครไปก็จัดการยากทั้งนั้น หากองค์ชายไปแล้วไม่อยากสร้างผลงานก็ยังพอไหว แต่ถ้าอยากสร้างผลงานก็จะต้องล่วงเกินคนไม่น้อยเลย มีแต่โทษไร้ประโยชน์ต่อองค์ชายขอรับ”

“เจ้ายังกลัวจะล่วงเกินคนอื่นด้วยเหรอ? ได้ยินว่าตอนอยู่ตลาดสวรรค์เจ้าสังหารคนของขุนนางใหญ่พวกนั้นจนเลือดนองเป็นแม่น้ำนี่นา!” ชิงหยวนจุนกล่าว

สำหรับเขา ตอนที่เหมียวอี้ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า เขาก็ยังไม่เกิด ทั้งยังไม่เคยคลุกคลีกับเหมียวอี้มาก่อน ดังนั้นเรื่องทุกอย่างของเหมียวอี้เขาขึงแค่ได้ยินมา

เหมียวอี้ฝืนยิ้ม “ข้าน้อยเป็นคนเท้าเปล่าไม่กลัวคนสวมรองเท้าหรอก มีคนต้องการจะบีบให้ข้าน้อยตาย ข้าน้อยย่อมต้องดิ้นรนสุดชีวิต ไม่เกี่ยวกับล่วงเกินคนอื่นหรือไม่ ที่จริงข้าน้อยกลัวการล่วงเกินคนอื่นมาก”

“ข้าได้ยินมาว่า ในปีนั้นตอนองค์ชายแต่งงานกับสนมสวรรค์ เจ้าก่อเรื่องใหญ่โตในงานต้อนรับสนม เจ้าเคยชี้หน้าด่าอ๋องสวรรค์อิ๋งใช่มั้ย?” ชิงหยวนจุนถาม

“…” เหมียวอี้ปาดเหงื่อเบาๆ เจ้าเป็นผู้ชายแท้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะเอาเรื่องเมียข้ามาวิจารณ์คนอื่นซี้ซั้ว ครั้งแรกที่ได้คลุกคลีกับเจ้าหมอนี่ เขาก็รู้แล้วว่าเจ้าหมอนี่กำลังใช้คำพูดหยั่งเชิงตน จึงรีบอธิบายว่า “เป็นเรื่องที่ไม่มีจริง มีคนพูดเกินจริงขอรับ”

ชิงหยวนจุนกล่าวกลั้วหัวเราะ “งั้นเหรอ? อย่าบอกนะว่าทุกคนกำลังพูดโกหก? ข้าได้ยินมาว่าเจ้ายังถูกทำโทษให้เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปีเพราะเรื่องนี้ด้วย หรือว่าเรื่องนี้ก็ปลอมเหมือนกัน?” เห็นได้ชัดว่ากำลังบอกว่าเหมียวอี้โกหก

“อย่างน้อยก็ไม่ได้เกินจริงขนาดนั้น” เหมียวอี้กล่าวอย่างเก้อเขิน

ชิงหยวนจุนบันเทิงแล้ว “ข้ายังได้ยินมาด้วยว่าเจ้ามักจะมีเรื่องกับสนมสวรรค์ ตอนอยู่ที่การทดสอบแดนอเวจีเจ้าโจมตีสนมสวรรค์บาดเจ็บสาหัส เกือบจะฆ่าสนมสวรรค์ตายแล้ว ตอนหลังที่อยู่กองทัพองครักษ์ก็จัดการสนมสวรรค์อีก จับสนมสวรรค์แขวนบนเสาธงให้ได้รับความอับอายตั้งหลายวัน รุ่นหลานของตระกูลอิ๋งก็โดนเจ้าสังหารไปแล้วหลายคน มีเรื่องนี้หรือเปล่า?”

เหมียวอี้นับว่าฟังออกแล้ว เจ้าเวรนี่ไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตาหรอก แต่เหม็นขี้หน้าสนมสวรรค์ต่างหาก ก็พอจะเข้าใจได้เช่นกัน อย่างไรเสียเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เป็นมารดาของเขา เรื่องที่ประมุขชิงโปรดปรานจ้านหรูอี้ทุกคนรู้กันหมด กอปรกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อาจจะพูดถึงจ้านหรูอี้และตระกูลอิ๋งในทางที่ไม่ดีต่อหน้าเจ้าเวรนี่บ่อยๆ ถ้าเจ้าเวรนี่รู้สึกดีกับตระกูลอิ๋งและจ้านหรูอี้ได้ก็แปลกแล้ว

“ก็ได้! เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ว่าตัวเองถูกเจ้าเวรนี่จัดให้มาอยู่พวกกันโดยไม่รู้ตัว เขาได้แต่ยิ้มเจื่อน องค์ชาย นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วขอรับ ข้าน้อยจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว”

“นี่เจ้ากำลังแกล้งโง่น่ะเนี่ย! ทำก็ทำไปแล้ว ทำจนคนรู้กันหมด เจ้ายังจะอุดปากคนอื่นได้เชียวหรือ?” ชิงหยวนจุนส่ายหน้าแสดงอาการเหยียดหยาม แล้วถามต่อว่า “ข้ายังได้ยินมาด้วยว่าเพื่อที่จะชิงตัวฮูหยินคนปัจจุบัน เจ้านำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปตีทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติง อาศัยกำลังพลห้าหมื่นสังหารคนหลายแสน เรื่องนี้คงไม่ได้ยินมาผิดใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ทำสีหน้าจริงจังทันที “ไม่เกี่ยวกับการชิงตัวผู้หญิงเลยขอรับ ต่อให้ข้าน้อยจะไม่รู้จักบันยะบันยังแค่ไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเรื่องแบบนั้น เป็นเพราะตอนแรกพบเบาะแสโจรราคะเจียงอีอีจริงๆ กำลังพลน่านฟ้าระกาติงต้องการจะแย่งผลงาน ชิงลงมือกับกำลังพลของข้าน้อยก่อน กำลังพลของข้าน้อยจึงถูกบีบให้ต้องโจมตีกลับ”

ชิงหยวนจุนหัวเราะร่า “ขนาดเสด็จแม่ยังบอกว่าเจ้าชิงตัวผู้หญิง จงใจวางกับดักล่อให้กำลังพลน่านฟ้าระกาติงไปติดกับดักแล้วลงมือสังหาร อย่าบอกนะว่าเสด็จแม่จะหลอกข้าได้?”

เหมียวอี้ก้มหน้าก้มตาตอบ “บางทีเหนียงเหนียงอาจจะจำผิดก็ได้ขอรับ” ถึงแม้เขาจะรู้ว่าทุกคนต่างรู้ความจริงอยู่แก่ใจ แต่เรื่องแบบนี้เขาจะยอมรับได้อย่างไรล่ะ ชีวิตของคนหลายแสน ลูกน้องของตัวเองรบตายไปตั้งเท่าไร พูดตรงๆ ก็คือรู้สึกผิดต่อลูกน้องที่รบตายไป

ชิงหยวนจุนที่เดินเนิบนาบเอาสองมือไขว้หลัง ชื่นชมทิวทัศน์ดอกไม้แปลกตาตรงหน้า แล้วส่ายหน้าเดาะลิ้น “ทำไมข้ารู้สึกว่าคำพูดจากปากเจ้าไม่ซื่อสัตย์ล่ะ ตราบใดที่เจ้าไม่ยอมรับเรื่องชั่วที่ทำ เสด็จแม่ยังบอกว่าเจ้าเป็นคนที่ควรค่าให้เชื่อใจ เจ้าคงไม่ได้หลอกเสด็จแม่ข้าบ่อยๆ หรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้อยากจะบีบคอเจ้าหมอนี่ให้ตาย รีบโบกไม้โบกมือ “ไม่มีเรื่องแบบนั้นเลย ข้าน้อยพูดจริงทุกประโยค เหนียงเหนียงถูกคนตบตาแน่นอน เข้าใจผิดคำพูดใส่ร้ายพวกนั้น”

“งั้นเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าชิงหยวนจุนไม่เชื่อ

เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็นอย่างนี้จริงๆ ขอรับ องค์ชายไปสืบดูก็จะทราบแล้ว คนที่ข้าน้อยล่วงเกินมีเยอะเกินไปจริงๆ มีคนใส่ร้ายข้าน้อย ข้าน้อยไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด”

ชิงหยวนจุนกล่าวด้วยสีหน้าแปลกใจ “ได้ยินว่าศึกนี้ทำให้เจ้าชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า ใช้ทัพห้าหมื่นสู้กับทัพหนึ่งแสน ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์เสียเปรียบแต่ยังรบชนะได้ ขนาดเสด็จแม่ยังชมว่าเจ้าเป็นแม่ทัพผู้เหี้ยมหาญ เจ้ารีบบอกมาซิว่าเจ้าหลอกยังไง คนพวกนั้นถึงได้ติดกับดักเจ้า?”

สงสัยที่อธิบายไปจะเปล่าประโยชน์ ข้าหลอกบรรพบุรุษเจ้าสิ! เหมียวอี้ด่าในใจ เขาไม่เชื่อหรอกว่าท่านนี้อยู่ภายใต้การอบรมสั่งสอนของประมุขชิงหลายปีแล้วจะไร้เดียงสาขนาดนั้น สิ่งที่อีกฝ่ายร่ำเรียนล้วนเป็นกลอุบายของกษัตริย์ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายของวังหลวง จะเป็นคนดีบริสุทธิ์ผุดผ่องได้เหรอ? พูดอย่างกับตัวเองเป็นคนโง่อย่างนั้นแหละ เขาก้มหน้าก้มตาตอบ “องค์ชาย ไม่มีเรื่องหลอกลวงหรือไม่หลอกลวงอะไรเลยจริงๆ ขอรับ”

“ได้ ไม่ใช่การหลอกลวง แค่บอกมาว่าทำศึกนั้นยังไงก็ได้มั้ง?” ชิงหยวนจุนถาม

อีกฝ่ายพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว กอปรกับฐานะของอีกฝ่าย เป็นไปได้ที่เหมียวอี้จะไล่ให้เขาไปตาย ไม่สะดวกจะไม่ตอบด้วย ทำได้เพียงเล่าโดยเลี่ยงขั้นตอนที่หลอกลวง เริ่มตั้งแต่ตอนจับเจียงอีอีตัวปลอมได้แล้วถูกกำลังพลน่านฟ้าระกาติงรุกโจมตี

พอนึกถึงการต่อสู้ที่ดุเดือด ความคิดของเหมียวอี้ก็ค่อยๆ จมลงสู่เหตุการณ์ในปีนั้น น้ำเสียงฟังดูเจ็บปวด เล่าอธิบายทีละฉาก

ตอนที่ได้ยินว่าทหารที่ตกอยู่ในสภาพตกอับพากันร้องไห้ตะโกนว่าสู้ตาย ตะโกนว่าจะดักหลังให้เหมียวอี้ ให้เหมียวอี้หนีไปก่อน แต่เหมียวอี้กลับสู้ตายไม่ยอมถอย ชิงหยวนจุนก็ทำสีหน้าตื้นตันใจ ตอนได้ยินว่าตีทัพใหญ่ล้านแตกพ่าย กำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์แทบจะถูกโจมตีจนพิการหมด แต่ละคนสภาพเหมือนปีขึ้นมาจากบ่อเลือด บนตัวทุกคนมีบาดแผลหลายรอย ในบรรดาคนที่รอดมาได้ยังมีคนที่แขนขาดขาขาดไม่น้อย ชิงหยวนจุนก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ทัพที่ถูกบีบจักต้องได้ชัยชนะ!”

เหมียวอี้จมอยู่ในเหตุการณ์ของปีนั้นแล้วจริงๆ สีหน้าฉายแววเศร้าโศก ชิงหยวนจุนที่ดึงสติกลับมาแล้วจ้องสีหน้าของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มอีก “ได้ยินว่าเจ้าคือศิษย์ของอสุราอัคนี?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ใช่ขอรับ! เพียงแต่เป็นศิษย์ต่างยุค มีวาสนาไปพบของที่เขาทิ้งไว้โดยบังเอิญเท่านั้นเอง”

“ข้ายังเคยได้ยินอีกว่า หลังจากจบศึกนั้น พวกอ๋องสวรรค์แย่งกันรับเจ้าเป็นเขย?” ชิงหยวนจุนถาม

เหมียวอี้อยากจะให้เขาหุบปากจริงๆ แต่ฐานะของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ เขาไม่สะดวกที่จะไม่ตอบ ไม่อย่างนั้นคงสะบัดหน้าหนีไปนานแล้ว เขาส่ายหน้าตอบ “องค์ชาย ข้าน้อยจำได้ไม่ชัดเจนแล้วจริงๆ ขอรับ”

ชิงหยวนจุนถามอีก “ได้ยินว่าตำแหน่งหัวหน้าภาคนี้เจ้าก็หลอกเอามาได้ เจ้าสร้างสถานการณ์หลอกขุนนางเต็มราชสำนักให้ตอบรับการเดิมพันของเจ้ายังไง ไหนเล่าขั้นตอนมาให้ข้าฟังหน่อย”

ข้าหลอกบรรพบุรุษเจ้าน่ะสิ! ไอ้ลูกตะพาบเอ๊ย ได้ยินมาจากไหนมากมายขนาดนั้น? เหมียวอี้ด่ากราดในใจ ภายนอกก็ยกมือนวดหน้าผาก ทำท่านึกไม่ออก “หลอกลวงที่ไหนกันขอรับ ข้าน้อยโดนอิงอู๋เชวียบีบจนเป็นแบบนั้น ด้วยความร้อนใจ…”

“หุบปากเถอะ! อย่ามาเล่นลูกไม้นี้กับข้า!” ชิงหยวนจุนยกมือตัดบท แล้วกล่าวอย่างเริงร่า “ไม่ต้องพูดแล้ว เข้าใจแล้ว ก็อย่างที่บอก ตราบใดที่เจ้าไม่ยอมรับเรื่องชั่วที่ทำ ข้าถามไปก็เปล่าประโยชน์ เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าตอบคำถามข้าอีกข้อเดียว ขอเพียงเจ้ายอมพูดความจริง ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอีก เป็นยังไง?”

“ที่ข้าน้อยพูดล้วนเป็นความจริง” เหมียวอี้กล่าวอย่างซื่อสัตย์

ชิงหยวนจุนแสยะยิ้ม “อย่ามาเล่นลูกไม้นี้กับข้า ข้าถามเจ้าคำถามเดียว เจ้าคงไม่ถึงขั้นไม่รับปากหรอกมั้ง”

เหมียวอี้ยังปากแข็ง “อยู่ต่อหน้าองค์ชาย ข้าน้อยต้องพูดความจริงแน่นอนขอรับ แต่เรื่องผ่านมานานแล้ว เกรงว่าข้าน้อยจะจำได้ไม่ชัดเจน!”

“เรื่องนี้เจ้าต้องจำได้ชัดเจนแน่นอน” ชิงหยวนจุนยิ้มเบาๆ

ถูกกัดไม่ปล่อยแล้วจริงๆ! เหมียวอี้โดนบีบจนหมดทางเลือก “ข้าน้อยจะลองดูแล้วกันขอรับ”

ชิงหยวนจุนพลันอมยิ้ม “ตามที่ข้ารู้มา เดิมทีเจ้าเป็นคนใต้สังกัดกองทัพองครักษ์ของเสด็จพ่อ ทำไมต้องทรยศองค์ชายไปพึ่งพาตระกูลโค่ว…” ยังไม่ทันรอให้เหมียวอี้อธิบาย เขาพูดต่อว่า “อย่าพูดอะไรจอมปลอมกับข้า ถ้าเจ้าบอกว่าทำเพื่อฮูหยิน ข้าจะเชื่อเจ้าก่อนก็ได้ เพียงแต่ข้าจะถามเรื่องในตอนหลัง เหตุใดตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแล้วไม่ขอพึ่งพาเสด็จพ่อ ตอนนี้กลับมาพึ่งพาเสด็จแม่?”

ทำไมเจ้าหมอนี่ต้องถามเรื่องที่ตนไม่สะดวกจะพูดต่อหน้าเขาด้วยนะ? เหมียวอี้นับว่ามองออกแล้ว เจ้าหมอนี่แสร้งว่ามีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว ไม่เข้าใจแต่แกล้งเข้าใจ เรื่องเมื่อก่อนซับซ้อนขนาดนั้น มีหรือที่จะใช้คำว่าขอพึ่งพามาอธิบายได้ เขาพบว่าพูดกับเจ้าหมอนี่ไปก็พูดได้ไม่ชัดเจน จึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “องค์ชายอยากจะฟังจริงหรือขอรับ?”

“เจ้าคิดว่ายังไง?” ชิงหยวนจุนถาม

“ข้าน้อยเกรงว่าพูดออกมาแล้วจะรับผิดชอบไม่ไหว” เหมียวอี้กล่าว

ชิงหยวนจุนบอกว่า “ข้าไม่เอาเรื่องเจ้าหรอก! อย่างไรเสียก็ไม่มีคนนอก คำพูดจากปากเจ้า ฟังเข้าหูข้า ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้ากับข้ารู้ พูดจบแล้วเจ้าไม่ต้องยอมรับก็ได้ พอออกจากที่นี่ไปแล้วก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”

เหมียวอี้หันซ้ายหันขวา คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย จึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “สาเหตุก็เรียบง่ายมาก เป็นเพราะข้าน้อยกับองค์ชายปัสสาวะลงกระโถนเดียวกันไม่ได้[1]!”

…………………………

[1] ปัสสาวะลงกระโถนเดียวกันไม่ได้ 尿不到一只壶里去 อุปมาว่าอุดมการณ์ต่างกัน