“ในเมื่อภารกิจครั้งนี้อันตรายหนักหนา แม้เป็นยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจแต่ละแห่งก็คงจะชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมภารกิจคุ้มกันหรือไม่สินะ” บุรุษร่างใหญ่ผู้สวมอาภรณ์สีน้ำเงินแววตาทอประกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามต่อ
“แม้เป็นเช่นนั้น แต่กลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งล้วนให้ค่าตอบแทนมากมาย เมื่อมีรางวัลอย่างงาม รายชื่อคนสมัครแต่ละครั้งล้วนเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้หากคิดจะเข้าร่วมขบวนคุ้มกันจะต้องผ่านการคัดเลือกก่อน” ผู้เฒ่าหัวเราะเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกไปจากกลุ่มคน
บุรุษร่างใหญ่ผู้สวมชุดสีน้ำเงินหยุดยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนอีกพักใหญ่กว่าจะผละจากกำแพงหยกสีดำที่อยู่ตรงกลาง
คนผู้นี้ไม่ต้องบอกกล่าวมาก เขาย่อมคือหลิ่วหมิง
เวลานี้เขามีรอยยิ้มที่แทบจะสังเกตไม่เห็นอยู่บนใบหน้า ขณะที่เดินไปยังตำหนักภารกิจที่อยู่ด้านข้างลานกว้าง
จะว่าไปแล้วตัวหลิ่วหมิงเองก็ไม่ได้สนใจภารกิจคุ้มกันครั้งนี้มากนัก แต่เมื่อได้รู้รายละเอียดของภารกิจคุ้มกันครั้งนี้ เขาก็ดีใจยิ่งนักทันที
หลายวันนี้เขาศึกษาแผนที่ของแดนวารีมืดมาแล้ว เส้นทางของขบวนบรรณาการจากเมืองเหลิ่งเยวี่ยไปถึงเมืองปี้โยวเส้นนี้บังเอิญผ่านแม่น้ำมืดสายไม่น้อยสายหนึ่งพอดี
ขบวนบรรณาการมียอดฝีมือมากมาย อีกทั้งคุ้นเคยกับเส้นทาง พวกเขาย่อมหลบเลี่ยงเขตอันตรายจำนวนหนึ่งตามรายทางได้อย่างราบรื่น เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมลดอันตรายที่ต้องเผชิญหากเดินทางไปยังแม่น้ำมืดตามลำพังได้มาก
อีกอย่างการติดตามขบวนก็มีข้อดีใหญ่หลวงอีกประการหนึ่งนั่นก็คือใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้โดยไม่เสียเงินหลายครั้ง นี่ย่อมช่วยประหยัดเวลาได้อย่างยิ่ง
อย่างไรก็ดีหากตนเดินทางไปเอง ค่ายกลเคลื่อนย้ายเหล่านี้ย่อมต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อย ตอนนี้เขากระเป๋าแห้งอีกทั้งมีเวลาจำกัด ไม่มีเวลามากมายเพื่อไปสะสมหินยมโลก
สรุปก็คือหากได้ติดตามไปกับขบวนบรรณาการ เขาย่อมลดปัญหายุ่งยากไปได้มากมาย
แต่จากที่ผู้เฒ่าตนนั้นบอกก่อนหน้านี้ การเดินทางครั้งนี้จะต้องพบกับการจู่โจมดักปล้นจากกลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกกลุ่มอื่น ทว่าหลิ่วหมิงไม่คิดจะติดตามขบวนคุ้มกันบรรณาการไปตลอดทาง หลังจากเข้าใกล้เขตแม่น้ำมืด เขาจะหาโอกาสเหมาะๆ ออกจากขบวน เดินทางไปหาแม่น้ำมืด
ระหว่างที่ครุ่นคิด หลิ่วหมิงก็ก้าวเท้ามาถึงหน้าสิ่งก่อสร้างทรงกลมสามชั้นแห่งหนึ่ง
ที่แห่งนี้ก็คือ ‘หอจันทร์บรรจบ’ ตำหนักภารกิจของเมืองเหลิ่งเยวี่ย
ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในห้องโถงชั้นหนึ่งก็พบว่าห้องโถงที่เดิมทีค่อนข้างกว้างขวางมีผู้คนเบียดเสียดกันอยู่ก่อนแล้ว ผู้อาวุโสฝ่ายดำเนินการของจวนเจ้าเมืองหลายตนที่อยู่ตรงจุดรับสมัครด้านหน้าถูกผู้คนรุมล้อมจนหยดน้ำยังไม่อาจลอดผ่าน
สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าเผ่ายมโลกของเมืองเหลิ่งเยวี่ยเหล่านี้ให้ค่าภารกิจครั้งนี้ปานใด
เขาเพิ่งยกเท้าเดินไปด้านหน้าได้ไม่กี่ก้าว บุรุษวัยกลางคนผู้สวมอาภรณ์สีฟ้าท่วงท่าสง่างามผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลิ่วหมิง
“พี่อิ่นหาน คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะพบหน้ากันอีกครั้งที่นี่” บุรุษวัยกลางคนชุดสีฟ้าประสานมือเอ่ยอย่างมีมารยาท
“ที่แท้ก็สหายถูคุนนั่นเอง ไม่คิดว่าจากกันวันนั้น กว่าจะได้พบกันอีกทีก็ตอนนี้” หลิ่วหมิงยิ้มตอบ
“ภารกิจคุ้มกันบรรณาการเช่นนี้ ข้าต้องมาร่วมสนุกด้วยแน่นอน อย่างไรขอแค่ลงชื่อเข้าร่วมการคัดเลือกก็ได้หินยมโลกจำนวนหนึ่งเป็นรางวัลแล้ว” ถูคุนหัวเราะฮ่าๆ
หลังจากนั้นทั้งสองคนสนทนากันอีกสองสามประโยค หลิ่วหมิงก็ขอตัวแยกไปแจ้งชื่อ
เวลาเจ็ดวันผ่านไปในพริบตา
วันนี้ดวงตะวันมืดลอยอยู่กลางท้องฟ้า สายลมเย็นยะเยือกพัดโชย
บนทุ่งราบกว้างผืนหนึ่งไม่ไกลจากทางเหนือของเมืองเหลิ่งเยวี่ย มีเวทีประลองพื้นที่หลายสิบจั้งสิบกว่าเวทีถูกสร้างขึ้นมา
เวทีประลองเรียงกันเป็นวง ตรงกลางมีแท่นสูงแท่นหนึ่ง บุรุษวัยกลางคนเผ่ายมโลกผู้มีหนวดยาวสามปอยใต้คาง สวมอาภรณ์สีเงินบนร่างตนหนึ่งยืนเอามือทั้งสองข้างไพล่ไว้ด้านหลัง ขณะที่เพ่งมองเบื้องหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย
คนผู้นี้ก็คือเหลิ่งเยวี่ยผู้เป็นเจ้าเมืองเหลิ่งเยวี่ย
ลมปราณบนร่างเหลิ่งเยวี่ยเหมือนนิ่งสงบ แต่ความจริงเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง ดูเหมือนจะบรรลุถึงระดับดาราพยากรณ์ขั้นกลางแล้ว
ข้างกายเขายังมีเผ่ายมโลกที่สวมอาภรณ์สีดำตัวยาวอยู่อีกสองตน ตนหนึ่งเป็นผู้เฒ่า ส่วนอีกตนหนึ่งเป็นสตรี พวกเขาทุกตนล้วนมีสีหน้าเรียบเฉยยืนเอามือประสานกันไว้ พลังบรรลุถึงระดับดาราพยากรณ์ขั้นต้น
เวลานี้รอบเวทีประลองแต่ละเวทีมีเผ่ายมโลกรวมตัวกันอยู่มากมาย ในหมู่เผ่ายมโลกเหล่านี้มีเผ่ายมโลกระดับล่างที่พลังเพียงระดับของเหลวจิตวิญญาณอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการคัดเลือกกันเสียทั้งหมด ส่วนใหญ่เพียงเดินทางมาชมการต่อสู้เพื่อเปิดหูเปิดตาและชมเรื่องสนุกเท่านั้น
กฎของการคัดเลือกเรียบง่ายอย่างยิ่ง คล้ายกับเมื่อตอนหลิ่วหมิงอยู่ที่นิกายปีศาจ เริ่มตั้งแต่เที่ยงวันยามที่ดวงตะวันมืดทรงพลังที่สุด ให้เลือกท้าทายเวทีประลองทั้งสิบได้ตามใจ จวบจนพลบค่ำ ผู้ที่ยังยืนอยู่บนเวทีประลองจะถือว่าผ่านการคัดเลือก มีสิทธิเข้าร่วมการคุ้มกันบรรณาการเดินทางไปยังเมืองเอกเมืองปี้โยว
แต่สิ่งที่แตกต่างจากโลกภายนอกก็คือการประลองของเผ่ายมโลกไม่มีการตั้งกรรมการ มีเพียงสองวิธีเท่านั้นที่จะตัดสินแพ้ชนะ วิธีที่หนึ่งเป็นฝ่ายยอมแพ้เองแล้วถูกชั้นจำกัดบนเวทีประลองเคลื่อนย้ายออกไป อีกวิธีหนึ่งก็คือโจมตีจนอีกฝ่ายไม่อาจขยับได้หรือสังหารเสีย
ด้วยเหตุนี้ก่อนหน้าที่ทุกคนจะเข้าร่วมการคัดเลือกล้วนต้องใช้ป้ายประจำตัวของตนทำสัญญาของเผ่ายมโลกที่ค่อนข้างพิเศษฉบับหนึ่ง
กฎเกณฑ์เหล่านี้หลิ่วหมิงย่อมไม่สนใจ ไม่ต้องพูดถึงป้ายประจำตัวนี่ไม่ใช่ของตน ต่อให้สัญญาเป็นผล หากมีเพียงผู้ฝึกฝนที่ต่ำกว่าระดับดาราพยากรณ์เท่านั้นที่เข้าร่วมการคัดเลือก เขาย่อมปกป้องตนเองได้อย่างไม่ต้องกังวล
“ได้เวลาแล้ว การคัดเลือกครั้งนี้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ” ทันใดนั้นเหลิ่งเยวี่ยก็เงยหน้ามองดวงตะวันมืดที่ทอแสงเต็มดวงบนท้องฟ้า เขากระแอมให้คอโล่งแล้วประกาศเสียงดังกังวาน
สิ้นเสียง ฝูงชนที่เดิมทีส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่รอบด้านก็เงียบลงทันที
สายตาของคนทั้งหมดกวาดพรึ่บไปบนเวทีประลองสิบเวทีที่เรียงเป็นวงอยู่
ทันใดนั้นเงาดำหลายร่างก็ทยอยเหาะขึ้นไปยืนบนเวทีประลอง ยึดครองเวทีประลองทั้งสิบไว้จนครบ
บนเวทีประลองเวทีหนึ่ง เพราะมีสองตนขึ้นไปบนเวทีพร้อมกัน พวกเขาจึงเริ่มประลองกันอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
สตรีเผ่ายมโลกอาภรณ์สีดำที่อยู่ข้างกายเหลิ่งเยวี่ยเห็นสถานการณ์ก็รีบถูฝ่ามือสองข้างเบาๆ แสงสีเทาสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา
“ฟู่” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นครั้งหนึ่ง แสงสีเทาพลันจมลงไปกลางเวทีประลอง ต่อจากนั้นเสียงบึ๊มพลันดังขึ้น ม่านแสงสีเทาใสชั้นหนึ่งฉับพลันส่องสว่างล้อมคนทั้งสองไว้ด้านใน
บุรุษร่างสูงบนเวทีประลองขยับริมฝีปากขมุบขมิบท่องมนตร์หลายประโยค ทันใดนั้นใจกลางเวทีประลองพลันมีเมฆสีเทาก้อนหนึ่งผุดออกมา บุรุษร่างสูงกระทืบเวทีประลองอย่างแรง ร่างกายพุ่งหายเข้าไปในเมฆสีเทาทันที
ทันใดนั้นเมฆสีเทาทั้งก้อนก็ขยายขึ้นไม่หยุด พริบตาเดียวขยายหลายเท่าล้อมมืดฟ้ามัวดินเข้าหาเผ่ายมโลกเยาว์วัยหน้าตาหมดจดอีกตนหนึ่ง
ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดเห็นสถานการณ์พลันหน้าถอดสีอย่างห้ามไม่ได้ มือข้างหนึ่งพลิกหงาย แส้กระดูกขาวเส้นยาวเส้นหนึ่งร่วงลงในมือ พร้อมกันนั้นปราณหยินสีเทาพลันทะลักออกมาจากร่าง พวกมันม้วนเป็นเกลียวก่อนจะกลายเป็นเปลวเพลิงสีเทาสายหนึ่งพุ่งไปยังแส้ยาวในมือ
“ฟู่” แส้ยาวสีเทาลุกติดไฟ เพลิงยมโลกลุกโหม
อึดใจต่อมาชายหนุ่มหน้าตาหมดจดพลันเหวี่ยงแขน สะบัดแส้ยาวสีเทาอย่างบ้าคลั่งปกป้องทั้งร่างไว้ด้านในจนสายลมสายฝนไม่อาจลอดผ่าน
เวลานี้หลิ่วหมิงที่แปลงกายเป็นชายร่างใหญ่สูงเจ็ดฉื่อกำลังยืนอยู่ในกลุ่มคนด้านล่างเวทีประลองนี้ สองตาหรี่ลงมองเมฆสีเทากลางอากาศก้อนนั้น
หากตนมองไม่ผิด เมฆสีเทาก้อนนี้คล้ายคลึงอย่างยิ่งกับวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่ตนใช้ แส้ยาวที่ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดผู้นั้นใช้คงทำร้ายเผ่ายมโลกตนนี้ไม่ได้สักนิด
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินไปยังเวทีถัดไป
หลังจากเดินวนอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหลิ่วหมิงก็กระโดดขึ้นไปบนเวทีประลองเวทีหนึ่ง
อีกฝั่งหนึ่งของเวทีประลองคือชายหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาตนหนึ่ง
อึดใจต่อมาม่านแสงชั้นจำกัดสีเทาจางๆ ชั้นหนึ่งก็ส่องสว่างล้อมเวทีประลองทั้งหมดไว้ในพริบตา
เมื่อเห็นหลิ่วหมิงขึ้นเวทีประลอง ผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกตนอื่นที่อยู่รอบด้านก็ฮือฮาขึ้นมาทันที
“มีคนไม่รู้จักดีชั่วอีกแล้ว ครั้งเป็นระดับแก่นเสมือนตนหนึ่งเสียด้วย”
“จิ๊ๆ เมื่อครู่กระทั่งหลงเยวี่ยยังแพ้ให้แก่เขา เจ้าหนุ่มตนนี้เหมือนจะมีที่มาไม่ธรรมดา!”
“ดีเลวผู้อื่นก็เป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสหลิน อาวุธยมโลกที่ใช้ก็ไม่ธรรมดา รับมือคนระดับเดียวกันย่อมไม่ใช่ปัญหา! บุรุษร่างใหญ่ผู้นี้คงต้องโชคร้ายครั้งใหญ่แล้ว”
ยังไม่ทันเริ่มประมือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังขรม แม้มีม่านแสงชั้นจำกัดกั้นอยู่ แต่หลิ่วหมิงก็ได้ยินชัดเจนแจ่มเจ้ง
ชายหนุ่มชุดขาวเหมือนจะดูแคลนระดับพลังของหลิ่วหมิงอยู่เล็กน้อยจึงเบ้ปาก
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ หลังจากประสานมือให้อีกฝ่ายพอเป็นพิธี ร่างกายก็เลือนหายไปทันที
ไม่ทันที่ชายหนุ่มชุดขาวจะตอบสนอง คลื่นสั่นสะเทือนก็ผุดขึ้นบนอากาศรอบด้าน เงาดำสี่ร่างปรากฏตัวแล้วพุ่งเข้ามา ล้อมโจมตีชายหนุ่มชุดขาวจากเหนือใต้ออกตกสี่ทิศ
ชายหนุ่มชุดขาวเผชิญกับการโจมตีที่มาอย่างกะทันหันนี้ กลับล้วงมือข้างหนึ่งไปตรงเอวอย่างไม่ลนลาน ทันใดนั้นเพลิงปราณสีเทาสายแล้วสายเล่าก็พุ่งออกมากลายเป็นผีเสื้อสีเทาตัวแล้วตัวเล่าโบยบินเต็มฟ้า ในเวลาเดียวกันนั้นลมปราณเย็นยะเยือกเข้มข้นสายหนึ่งก็แผ่ออกมา
“ผีเสื้อยมโลกมากมายปานนี้ ไม่เสียทีเป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสหลิน!”
“แล้วยังมีลวดลายจิตวิญญาณหกเส้นทั้งหมดอีกด้วย ลงมือคราแรกก็ทุ่มเต็มที่”
ไม่ทันที่ผู้คนใต้เวทีจะวิพากษ์วิจารณ์จบ ภาพที่ทำให้ผู้คนแว่นตาแทบร่วงก็บังเกิดขึ้น!
เงาดำสี่ร่างที่หลิ่วหมิงสร้างขึ้นมาขยับอย่างว่องไวติดกันหลายครั้งดุจภูตพราย หลบพ้นผีเสื้อที่โบยบินเต็มฟ้าไปอย่างน่าประหลาดใจ ครู่เดียวจากสี่ร่างก็รวมเป็นหนึ่งปรากฏตัวอยู่ด้านหลังชายหนุ่มชุดขาว
เวลานี้ชายหนุ่มชุดขาวยังคงมองหาร่องรอยของหลิ่วหมิงไปรอบด้าน ทันใดนั้นข้างหูก็ได้ยินเสียงหวีดแหลมดังสนั่นแก้วหูแทบดับ เงาหัวพยัคฆ์สีดำหัวหนึ่งพุ่งออกมา ระยะห่างใกล้เช่นนี้ไม่มีโอกาสให้เขาได้หลบแม้แต่นิด
ชายหนุ่มได้แต่ตกตะลึงรีบยกมือขึ้นหมายจะขวางให้ได้สักส่วน!
“บึ๊ม!”
ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบที่แขน กระดูกหักเป็นสองท่อนดังกร๊อบ ร่างกายสะท้านถูกพลังมหาศาลที่ไม่อาจต้านทานสายหนึ่งซัดปลิวออกไปนอกเวทีประลอง พริบตาที่ร่วงลงพื้นเขาก็ถอยหลังตึงๆ ไปหลายก้าว
“อั้ก” ชายหนุ่มชุดขาวอ้าปากกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง หน้ากลายเป็นสีเขียว สีหน้าทั้งตกตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว
ชายหนุ่มชุดขาวผู้ถูกคาดหวังไว้มากผู้นี้ กระทั่งอาวุธยมโลกยังไม่ทันได้ใช้ก็ถูกโจมตีทีเดียวแพ้พ่ายเสียแล้ว นี่ทำให้ผู้คนที่ล้อมชมอยู่ด้านข้างเวทีประลองอุทานขึ้นมาดังระงม
แม้แต้ผู้เฒ่าชุดดำที่มีเส้นผมสีเทากับสีขาวแซมอยู่ประปรายข้างกายเจ้าเมืองเหลิ่งเยวี่ยก็อดไม่ได้ส่ายศีรษะแล้วหันไปสั่งข้ารับใช้ข้างกายสองสามประโยค
บนเวทีประลองอีกเวทีหนึ่ง ผู้ฝึกฝนที่มีดวงตาสีเขียวหยกทั้งดวงตนหนึ่งยืนกอดอกมองมาทางเวทีประลองที่หลิ่วหมิงอยู่คล้ายไม่ใส่ใจ