บทที่ 1810 พูดเป็นเสียงเดียวกัน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกเสียงนี้ทำให้ตกใจ ตกใจจนแทบเหม่อ สีหน้าซีดเผือด

ไม่ว่าประมุขชิงจะทำอะไรกับนาง แค่หลายปีที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยเห็นประมุขชิงเดือดดาลขนาดนี้ต่อหน้านาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำเสียงแบบนี้

ชิงหยวนจุนตกใจจนตัวสั่น พลันเงยหน้าสบกับสายตาน่าสะพรึงกลัวของบิดา

ซ่างกวนชิงยังคงก้มหน้าอยู่ข้างๆ อย่างเงียบงัน ราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง

ประมุขชิงค่อยๆ ย่อเข่าลง นั่งคุกเข่าตรงหน้าลูกชายตัวเอง ใช้สายตาเย็นเยียบที่เจือด้วยความโกรธจ้องสายตาหวาดกลัวของลูกชาย

ชิงหยวนจุนทนไม่ไหวกับสายตานี้จริงๆ เขาทำสายตาลอกแล่ก เอียงศีรษะหลบหลีก

“หืม?” ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูก บีบคางชิงหยวนจุนให้หันกลับมา แล้วตะคอกว่า “มองข้า!”

ชิงหยวนจุนถูกกดดันจนไร้ทางเลือก ทำได้เพียงสบตากับเขาต่อไป

แม้จะเป็นการบังคับ แต่ความรู้สึกหวาดกลัวที่อยู่ในสภาะคงที่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคงอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลงเลย ของแบบนี้เรียกว่าเริ่มคุ้นชินทีละนิด ชิงหยวนจุนเหมือนจะเริ่มปรับตัวได้แล้ว ความรู้สึกหวาดกลัวในแววตาลดลง อารมณ์หวาดกลัวก็บรรเทาลงไม่น้อยแล้วเช่นกัน เริ่มควบคุมร่างกายที่สั่นเทิ้มได้แล้ว

กลิ่นอายน่าสะพรึงที่แผ่จากตัวประมุขชิงทั้งยังมีสายตาที่ทำให้คนรู้สึกกดดัน ไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสได้คุมเชิงกับเขานานขนาดนี้ ต่อให้เป็นแค่ครั้งเดียว แต่สภาพจิตใจของชิงหยวนจุนก็จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงแน่นอน อย่างน้อยครั้งหน้าถ้าเผชิญสถานการณ์เดียวกันอีกก็ไม่หวาดกลัวถึงขั้นนี้แล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่วิตกกังวลอยู่ข้างๆ ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรซี้ซั้วอีก

เมื่อรู้สึกได้ว่าสายตาของลูกชายมีการเปลี่ยนแปลง ในที่สุดประมุขชิงก็ปล่อยมือจากคางเขาแล้ว ถามเสียงเย็นว่า “เห็นใครในหุบเขา?”

“ไม่…” ชิงหยวนจุนเพิ่งจะก้มหน้า ยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงประมุขชิงขานรับ “อืม” แล้ว จึงเงยหน้ามองเขาอีกครั้งราวกับถูกกระตุ้น “ไม่เห็นชัดว่าเป็นใครขอรับ”

“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าเป็นสนมในวังหลัง?” ประมุขชิงถาม

“เหมือนจะเคยเห็นนางมาคำนับเสด็จแม่ที่ตำหนักนารีสวรรค์ขอรับ” ชิงหยวนจุนตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก

“เล่าสถานการณ์ตอนนั้นให้ฟังโดยละเอียด ห้ามตกหล่นแม้แต่น้อย” ประมุขชิงกล่าวเสียงเย็น

“ตอนนั้นลูกเพิ่งทำงานสวนเสร็จ เลยไปอาบน้ำที่สระมรกตตามปกติ พอเข้าไปในหุบเขานั้น…” ชิงหยวนจุนพยายามนึกย้อนไปถึงสถานการณ์ตอนนั้น อธิบายตะกุกตะกักด้วยความประหม่า

“พูดติดอ่างแบบนั้น พูดให้ตัวเองฟังเหรอ? พูดจาให้ชัดถ้อยชัดคำ!” ประมุขชิงตะคอกอีกครั้ง เหมือนจะไม่สนใจรายละเอียดแล้ว ดูจากสายตาแล้วเหมือนจะให้ความสำคัญกับท่าทีของชิงหยวนจุนยามอธิบายภายใต้ความกดดันมากกว่า

หลังจากอธิบายจบ ประมุขชิงก็ยืนขึ้น แล้วก้มมองพร้อมถามเสียงเย็น “บังเอิญเจอจริงเหรอ?”

ชิงหยวนจุนหันกลับมาหมอบกราบทันที ใช้ศีรษะกระแทกพื้นไม่หยุดพลางอธิบาย “เสด็จพ่อ ลูกไม่ได้คิดอะไรเพ้อเจ้อเลยจริงๆ ไม่ว่าครั้งไหนที่ลูกทำนาเสร็จก็จะไปที่นั่นเสมอ ไม่ใช่นึกอยากจะไปขึ้นมาชั่ววูบ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เสด็จพ่อโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็คุกเข่าลงเช่นกัน “ฝ่าบาท หม่อมฉันกล้าเอาชีวิตมาเป็นประกัน จุนเอ๋อร์ไม่ใช่คนอย่างนั้นแน่นอนเพคะ จุนเอ๋อร์…”

“หุบปาก!” ประมุขชิงตะคอกตัดบท แล้วเอียงหน้ามองซ่างกวนชิง “ตรวจสอบ! เรียกผู้เกี่ยวข้องมาหาข้าให้หมด!”

“น้อมรับบัญชา!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงปกติ แล้วรีบออกไป

ส่วนสองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ประมุขชิงก็ไม่ได้ให้พวกเขาลุกขึ้นมาเช่นกัน เขาหลับตายืนเอามือไขว้หลังอยู่อย่างนั้น

ที่นาหลวง สนมฉินกลับมานานแล้ว นางกลับมาแต่งหน้าและแต่งตัวกึ่งหญิงสาวชาวนาเหมือนเดิม ตอนนี้กำลังทำนาโดยมีหนิงชุนและเนี่ยนเซี่ยทำอยู่ด้วยกัน

ในขณะนี้เอง ทหารสวรรค์เกราะแดงสิบกว่าคนก็เหาะลงมาจากฟ้า ผู้ที่นำหน้ามาก็คือเหวินเจ๋อคนรู้จักเก่าของเหมียวอี้ ในจำนวนนั้นมีทหารเกราะทองสองคนถูกผลักออกมา พวกเขามองประเมินพวกสนมฉินโดยละเอียด แล้วหันมาพยักหน้าให้เหวินเจ๋อ

พอเหวินเจ๋อโบกมือ ก็มีทหารจำนวนหนึ่งถลันตัวมาตรงหน้าพวกสนมฉิน

ที่จริงพวกสนมฉินเห็นพวกเขาแล้ว แต่ยังพยายามควบคุมสีหน้าที่เผยอารมณ์หวาดกลัวให้เห็นเป็นระยะอย่างที่ปิดบังได้ยาก

เหวินเจ๋อกุมหมัดคารวะ “สนมฉิน ข้าน้อยได้รับบัญชาจากฝ่าบาท เชิญไปกับข้าน้อยสักรอบขอรับ”

“มีเรื่องอะไร?” สนมฉินฝืนถาม

“เชิญขอรับ!” เหวินเจ๋อไม่ให้คำตอบเลย เอียงตัวหลีกทางแล้วยื่นมือเชิญ

สนมฉินทำได้เพียงวางเครื่องมือการเกษตร ขณะที่วางมือก็สั่นเล็กน้อย หันกลับไปบอกหนิงชุนกับเนี่ยนเซี่ยว่า “พวกเจ้าทำงานไปก่อน”

ใครจะคิดว่าเหวินเจ๋อจะบอกอีกว่า “ไม่ต้องแล้ว พาไปด้วยกันเลย!” ขณะที่พูดเขาก็โบกมือ

สำหรับสาวใช้ทั้งสองก็ไม่มีอะไรให้เกรงใจ มีทหารสองคนยื่นมือมาบีบหลังคอ กดศีรษะเดินไปแล้ว

เหาะขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วตลอดทาง เหาะไปทางพระตำหนักอุทยาน

ฉากนี้ทำให้เหล่าสนมที่อยู่ในนาแถวนั้นพากันชี้มาทางนี้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูจากท่าทีที่ทหารสวรรค์ไม่เกรงใจ ก็มองออกแล้วว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร

“เป็นอะไรไปแล้ว? ทำไมดูไม่ชอบมาพากล!”

“สนมฉินคนนี้เพิ่งจะได้รับความโปรดปรานไม่ใช่เหรอ? ชั่วพริบตาเดียวทำไมถูกปรนนิบัติด้วยอย่างนี้แล้ว ไม่เข้าใจ!”

“หรือว่าหลงระเริงแล้วไปล่วงเกินคนที่ไม่สมควรจะล่วงเกิน?”

เริ่มมีสนมมารวมตัวกันพูดจาเยาะเย้ยเหน็บแนม ล้วนเป็นพวกที่อยู่ในวังมานานจนทนมองเห็นผู้หญิงคนอื่นได้ดีไม่ได้

ไม่นานก็พาตัวมาถึงนอกตำหนักหลักของพระตำหนักอุทยาน ซ่างกวนชิงที่ยืนอยู่บนบันไดโบกมือ พวกเหวินเจ๋อถอยออกไป ปล่อยให้สนมฉินและสาวใช้สองคนขึ้นบันไดมาพร้อมทหารเกราะทองเท่านั้น จินตนาการออกเลยว่าคนพวกนี้มีสีหน้าหวาดกลัวขนาดไหน

ตอนที่ซ่างกวนชิงยื่นมือเชิญพวกเขาเข้ามาข้างใน จู่ๆ ด้านนอกก็มีคนคนหนึ่งถลันตัวเข้ามา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นโพ่จวิน ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายของกองทัพองครักษ์

ซ่างกวนชิงถลันตัวออกมาคนเดียว มาขวางหน้าโพ่จวินเอาไว้ ยื่นมือกดตรงหน้าอกโพ่จวิน “ตอนนี้ฝ่าบาทไม่ว่างพบเจ้า รออยู่ข้างๆ ก่อน!”

“เรื่องสับปะรังเคนั่นข้ารู้แล้ว ข้าพบฝ่าบาทเพราะมีเรื่องจะคุย!” โพ่จวินปัดมือเขาออก พวกลูกน้องรายงานสถานการณ์ให้เขารู้แล้ว ได้ยินว่าคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายถูกพาตัวมา เขากังวลว่าพวกลูกน้องจะถูกฆ่าปิดปาก จึงตั้งใจมาหาโดยเฉพาะ

พรึ่บ! มืออีกข้างของซ่างกวนชิงกดที่หน้าอกของโพ่จวินอย่างว่องไวราวกับเงาผี เหล่ตามองอย่างเย็นเยียบพร้อมกล่าวว่า “ตาแก่โพ่จวิน ข้าจะขอพูดอีกรอบ ตอนนี้ฝ่าบาทไม่วางมาพบเจ้า รออยู่ตรงนี้ก่อน อย่าสร้างความวุ่นวายเพิ่ม ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แทบจะมีไอเย็นลอยออกมาแล้ว ท่าทีแข็งกร้าวอย่างที่พบเห็นไม่บ่อย

โพ่จวินสบตาเขาอย่างเกรี้ยวกราด คุมเชิงกันอยู่อย่างนั้น สุดท้ายก็สะบัดแขนเสื้อ ยอมถอยให้อย่างที่ไม่ค่อยได้ทำเช่นกัน  เขาพ่นเสียงทางจมูกแล้วหันตัวเดินออกไป เดินไปถามสถานการณ์กับเหวินเจ๋อที่ถอยออกไปไกลแล้ว

ตอนนี้ซ่างกวนชิงถึงได้ถลันตัวหายไปราวกับควัน กลับเข้าไปในตำหนักแล้ว

พวกสนมฉินที่เข้ามาในตำหนักเห็นทั้งสองกำลังคุกเข่า พบว่าแม้แต่ราชินีสวรรค์ก็คุกเข่าด้วย พวกนางจึงพากันคุกเข่าทันที “คารวะฝ่าบาท!”

ประมุขชิงลืมตาขึ้นช้าๆ ใช้สายตาเย็นชาไร้อารมณ์กวาดมองหลายคนที่อยู่ตรงนั้น ชั่วพริบตาที่ได้สบประสานกับสายตานี้ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกเย็นเยียบราวกับอยู่ในบ้านน้ำแข็ง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันมาคนแรก พอเห็นว่าเป็นสนมฉิน ก็พบว่าที่แท้ก็เป็นผู้หญิงคนนี้นี่เอง นางถลึงตาใส่ แทบจะมีไฟลุกออกมาจากตาแล้วจริงๆ ราวกับอยากจะโจนเข้าไปฉีกเนื้อสนมฉินทั้งเป็น เพียงแต่สนมฉินกลับยังก้มหน้า ไม่ได้เงยหน้าจึงไม่เห็น

ซ่างกวนชิงรีบไปข้างกายประมุขชิง แล้วถ่ายทอดเสียงพึมพำสองสามประโยค เสร็จแล้วถึงได้ถอยออกไปยืนด้านข้าง

ประมุขชิงเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบไปข้างกายชิงหยวนจุน แล้วถามเสียงเรียบว่า “หันกลับมามอง ใช้นางหรือเปล่า?”

ชิงหยวนจุนหันกลับมาช้าๆ เพียงมองปราดเดียวเท่านั้น พบว่าสอดคล้องกับเงาร่างสวยหยาดเยิ้มที่โผล่ขึ้นจากน้ำ เขารีบก้มหน้าทันีท แล้วตอบเสียงเบาว่า “ขอรับ!”

“สนมฉิน เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้าเหรอ?” ประมุขชิงถามเสียงเรียบ

สนมฉินยังไม่ทันพูดอะไร ก็ร้องไห้โฮก่อนแล้ว น้ำตาสองสายไหลอาบแก้ม

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันกลับไปมองอีกครั้ง สำหรับนางที่รู้ล่วงหน้าแล้วว่าเป็นกับดักลอบทำร้ายลูกชาย พอเห็นผู้หญิงคนนี้ยังแสร้งทำตัวน่าสงสารอยู่ ก็ไม่ต้องบอกเลยว่านางอยู่ในอารมณไหน เคียดแค้นผู้หญิงคนนี้ถึงขีดสุดแล้วจริงๆ

ประมุขชิงเอียงหน้ามองซ่างกวนชิงแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

ซ่างกวนชิงเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วถามทหารสองคนที่นั่งคุกเข่าว่า “ได้ยินว่าพวกเจ้าเห็นองค์ชายลนลานหนีออกมาหุบเขา เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”

ทหารสวรรค์สบตากันแวบหนึ่ง แล้วตอบเสียงอ่อน “ขอรับ!”

“ตอนนั้นพวกเจ้าเห็นอะไร ได้ยินอะไร ตอบมาตามความจริง หากโกหกแม้เพียงประโยคเดียว ฆ่าไม่ละเว้น!” ซ่างกวนชิงกล่าว

ทหารสวรรค์สองคนนั้นกลืนน้ำลาย ย่อมรู้ว่าท่านนี้มีอำนาจที่วังสวรรค์ พูดจริงทำจริงแน่นอน หนึ่งในนั้นตอบอย่างกังวลว่า  “พวกข้าน้อยกำลังประจำการอยู่บริเวณนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า ‘จับโจร’ จึงรีบตามไปทันที แล้วบังเอิญเห็นองค์ชายลนลานหนีออกมาจากหุบเขาทันที จากนั้นก็เห็นนางในคนหนึ่งไล่ตามมาข้างหลัง นางในคนนั้นเรียกพวกเรา ให้พวกเราจับตัวองค์ชาย พวกเราไม่กล้าบุ่มบ่าม จึงปล่อยองค์ชายไปแล้วขอรับ แล้วดักนางในไว้เพื่อถามสถานการณ์ ชั่วขณะนั้นนางในหลุดปากบอกว่า…บอก…”

“บอกว่าอะไร?” ซ่างกวนชิงตะคอกทันที

ทหารคนนั้นตกใจ รีบตอบว่า “บอกว่ามีคนแอบดูเหนียงเหนียงอาบน้ำ แต่ก็รีบเปลี่ยนคำพูดเป็นว่ากำลังเล่นกัน แล้วเลี้ยวกลับไปทันที เหมือนกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เห็นผู้หญิงจากวังสามคนรีบออกจากหุบเขานั้นไป มีเท่านี้ขอรับ”

ซ่างกวนชิงมองไปที่อีกคน เขารีบตอบว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้จริงๆ ขอรับ ไม่ผิดพลาด”

“นางในที่ตามมาอยู่ตรงนี้หรือเปล่า?” ซ่างกวนชิงถามอีก

ทหารสวรรค์สองคนมองไปทางหนิงชุนที่กำลังคุกเข่าพร้อมกัน หนึ่งในนั้นชี้บอก ” เป็นนางขอรับ!”

“ผู้หญิงสามคนที่หนีออกจากหุบเขาก็พวกนางสามคนเหรอ?” ซ่างกวนชิงถาม

ทหารสวรรค์สองคนนั้นพยักหน้าพร้อมกัน “ใช่ขอรับ!”

ซ่างกวนชิงเดินไปตรงหน้าหนิงชุนที่กำลังคุกเข่าอีก “ที่พวกเขาสองคนพูดมีตรงไหนไม่ถูกต้องหรือไม่?”

หนิงชุนส่ายหน้า ซ่างกวนชิงถามอีกว่า “เหตุใดเจ้าถึงไล่ตามองค์ชาย? เจ้าบอกว่ามีคนแอบดูเหนียงเหนียงอาบน้ำ หมายความว่าเจ้ากำลังไล่ตามองค์ชายที่หลบหนีเหรอ?”

หนิงชุนรีบตอบว่า “ตอบผู้การใหญ่ ตอนนั้นที่บ่าวรีบตามไป องค์ชายยกแขนเสื้อบังหน้า บ่าวไม่ทราบว่าเป็นองค์ชาย ถึงได้ทนไม่ไหวไล่ตามไป ตอนหลังได้ยินสนมฉินเอ่ยขึ้นมา ถึงได้ทราบว่าเป็นองค์ชาย”

“เจ้าเห็นองค์ชายแอบดูสนมฉินอาบน้ำเหรอ?” ซ่างกวนชิงถาม

หนิงชุนรีบส่ายหน้า “องค์ชายไม่ได้แอบมองเหนียงเหนียงอาบน้ำ คงจะไม่รู้ว่าสนมฉินกำลังอาบน้ำอยู่นหุบเขาค่ะ แค่บังเอิญมาเจอก็เท่านั้นเอง องค์ชายแค่เห็นหน้าแวบเดียวก็หลบเลี่ยงไปทันที”

ซ่างกวนชิงถามอีกว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าองค์ชายไม่ได้จงใจแอบดู? แล้วเหตุใดตอนนั้นต้องตะโกนต่อหน้าฝูงชนว่ามีคนแอบดูเหนียงเหนียงอาบน้ำ?”

หนิงชุนตอบว่า “ตอนนั้นบ่าวก็ร้อนใจเช่นกัน ตอนนั้นนอกจากคำว่า ‘แอบดู’ ก็ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรมาบรรยายแล้ว” ความจริงก็เป็นตามที่นางบรรยาย นอกจากคำว่า ‘แอบดู’ ก็ไม่มีคำอื่นที่เหมาะสมกว่านี้แล้ว ที่จริงสำหรับผู้หญิงแล้ว สถานการณ์แบบนั้นก็จัดอยู่ในขอบเขตคำว่า ‘แอบดู’ เช่นกัน ตอนนั้นคงตะโกนไม่ได้ว่า ‘มีคนบังเอิญมาเห็นเหนียงเหนียงอาบน้ำ’

สรุปก็คือ ต่อจากนั้นไม่ว่าซ่างกวนชิงจะถามอะไรทั้งสาม ทั้งสามคนก็บรรยายเหตุการณ์ตอนนั้นเป็นเสียงเดียวกันว่า ชิงหยวนจุนบังเอิญไปเห็น ไม่ได้แอบดู

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนเรียกได้ว่าโล่งอก มีคู่กรณีทั้งสามมาให้การเอง ลักษณะเหตุการณ์ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

แต่สำหรับซ่างกวนชิงกลับไม่เหมือนกันแล้ว ‘พูดเป็นเสียงเดียวกัน’ ของทั้งสามคนนั้นไม่ธรรมดาแล้ว นี่จะต้องเป็นบุคคลระดับสูงที่คุ้นเคยกับประมุขชิงบงการเบื้องหลังแน่นอน เขาเอียงหน้ามองปฏิกิริยาของประมุขชิง พอเห็นประมุขชิงไม่แสดงท่าทีอะไร ก็ไม่ถามอะไรแล้ว

ประมุขชิงก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน กวาดสายตาเย็นเยียบมองพวกเขาแวบหนึ่ง เอามือไขว้หลังเดินก้าวยาวออกไปนอกตำหนัก ซ่างกวนชิงหันตัวเดินตามหลังไป

นอกตำหนัก โพ่จวินเห็นประมุขชิงออกมาแล้ว จึงรีบเข้าไปต้อนรับ “ฝ่าบาท ข้าน้อยมีบางอย่างจะกล่าว!”

“ตาแก่น่าตาย ไสหัวไป!” ประมุขชิงตะคอก แล้วก็ถลันตัวหายไปไกล

“ตาแก่โพ่จวิน ข้ารู้ว่าเจ้าคิดจะพูดอะไร ให้ลูกน้องควบคุมปากให้สนิท ไม่อย่างนั้นเจ้าคงรู้ผลที่ตามมา” ซ่างกวนชิงหยุเดินแล้วหันมากำชับโพ่จวิน จากนั้นก็ถลันตัวหายไป

โพ่จวินงงไปชั่วขณะ จากนั้นถลันตัวไปตรงประตูตำหนัก พบว่าคนข้างในยังคุกเข่าอยู่อย่างนั้น จึงเข้าไปเดินวนรอบหนึ่ง ตอนเดินผ่านหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ชำเลืองสองที เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เงยหน้ามองเขาเช่นกัน ทั้งสองถลึงตาหรี่ตามองกัน ให้ความรู้สึกราวกับเจอศัตรูในที่แคบ

แล้วก็มองบาดแผลหลายรอยบนตัวชิงหยวนจุนอีก แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าชิงหยวนจุนลุกขึ้นมา แล้วกล่างอย่างไม่เกรงใจว่า “ฝ่าบาทไปแล้ว พวกเจ้ายังคุกเข่าอยู่ตรงนี้ทำไมอีก?”

ไปแล้ว? ไปอย่างนี้แล้วเหรอ? ทุกคนในนั้นงุนงง

โพ่จวินหันตัวเดินออกไป พร้อมโบกมือให้ลูกน้องทั้งสองคน “จะมัวคุกเข่ารอความตายอยู่ที่นี่รึไง ยังไม่รีบไสหัวกลับไปอีก!” เขาเรียกให้ลูกน้องสองคนออกไปก่อน

………………