หลังจากเลี้ยวขวาในตรอกเล็กๆ ที่ชื่อซานเหอหลี่และเดินไปจนสุดทาง เซวียนหยวนผ้อเปิดประตูเก่าและมาถึงบ้านหลังน้อยที่เขาอาศัยอยู่ในช่วงหลายปีมานี้
ลานบ้านนี้เล็กมาก แต่ละด้านกว้างแค่หนึ่งจั้ง อย่างไรก็ตาม มันสะอาดมาก พื้นดินปูด้วยหินขาว มีต้นสนที่ยังเตี้ยกว่าคนปลูกอยู่กลางหินขาว ตัดกับผนังสีเทาหลังคาสีดำเป็นภาพอันงดงาม
ใกล้กับบ้านน้อยนี้คือวัดต้นไม้สวรรค์ประจำทางต้นสน พื้นที่นี้จึงเงียบและสันโดษอย่างมาก นอกจากเสียงระฆังที่ดังในตอนเช้าและค่ำก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
เรียกได้ว่าบ้านหลังน้อยนี้เป็นบ้านที่ดีที่สุดในทางต้นสน แต่น้อยคนที่จะรู้
เซวียนหยวนผ้อเดินผ่านหินขาวและนั่งลงที่พื้นไม้ตรงหน้าทางเข้าตัวบ้าน เขาถอดรองเท้าออกและใส่ถุงเท้าขาวสะอาดแทน
ก่อนที่จะเข้าไป เขามองไปที่กองฟืนข้างประตู
กองฟืนไม่ได้สูงนัก แต่ก็จัดวางอย่างเป็นระเบียบ เมื่อพิจารณาดูให้ดี สามารถเห็นได้ว่าแต่ละชิ้นแทบจะกว้างยาวเท่ากันทุกประการ
เซวียนหยวนผ้อคิดเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือเข้าไปในกองฟืนและดึงท่อนเหล็กออกมาช้าๆ
ท่อนเหล็กนี้ไม่มีคมไม่มีมุม ไม่มีความแหลมคมแต่อย่างใด ดูธรรมดาสามัญไม่มีอะไรโดดเด่น
แต่อันที่จริงแล้วมันเป็นกระบี่
ไม่ว่าจะใช้คุณสมบัติใดจัดอันดับมัน กระบี่นี้ก็ย่อมติดสิบอันดับแรกในหมู่อาวุธในตำนาน
ใครจะไปคาดคิดว่ากระบี่กระบี่มหาสมุทรขุนเขาในตำนานจะมาอยู่ในบ้านน้อยในเขตซอมซ่อของเมืองไป๋ตี้ แล้วยังถูกซุกอยู่ในกองฟืนแบบส่งๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม มันเหมือนกับที่เคยเป็นในนิกายหลวง มันถึงกับเปื้อนควันน้ำมันในครัวแถมยังถูกใช้เขี่ยฟืนในเตาอีกด้วย
เซวียนหยวนผ้อถือกระบี่เหล็กตอนที่ผลักประตูเข้าห้องไป
ห้องนี้เล็กมาก มีโต๊ะสั้นและเสื่อไม่กี่ผืนเท่านั้น มีประตูกระดาษตรงกลางกั้นพื้นที่นี้กับส่วนที่เขาพักอาศัยอยู่
เซวียนหยวนผ้อมองไปที่ประตูกระดาษ กำกระบี่ในมือซ้ายแน่นขึ้น ลมหายใจช้าและมั่นคงสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ประตูกระดาษบางมาก อย่าว่าแต่กระบี่มหาสมุทรขุนเขา แค่ร่างกำยำของเขาก็เพียงพอที่จะทำลายมันได้
เขาเป็นกังวลเรื่องใด ถึงกับดูหวาดกลัวอยู่บ้าง
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังมาจากอีกด้านของประตูกระดาษ
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่เมื่อเจ้าสามารถสังเกตการมีอยู่ของเราได้เมื่อเข้ามาในบ้านน้อยหลังนี้ เจ้าก็น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียร โปรดเข้ามาคุยกัน”
เซวียนหยวนผ้อดูเหมือนไม่ได้ตกใจยามที่ถามอย่างจริงจัง “เจ้าเป็นใคร”
……
……
อีกฝั่งของประตูกระดาษ
ห้องนี้มืดมัวอยู่บ้าง ประกายแสงจากรถเหาะบนท้องฟ้าสาดส่องเข้ามาเป็นระยะๆ
มีเลือดบนผนัง ส่องประกายสีทองจางๆ แต่มันไม่แผ่ปราณออกมา
นักพรตหญิงชรานั่งพิงผนัง นางมีหน้าตาอ่อนเยาว์ยากที่จะบอกอายุได้ มีกลิ่นอายโหดเหี้ยมแผ่ออกมาจากกายนาง แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความกลัว
อาลักษณ์คนหนึ่งนั่งข้างนาง สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อยแต่ยังสุขุมเหมือนเช่นเคย
เป็นเปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ หากไม่ใช่เพราะมู่ฮูหยินกำลังวุ่นอยู่กับการรักษาผนึกบนท้องฟ้าเหนือเมืองไป๋ตี้และชุดดำต้องปกปิดการกระทำของพวกเขาจากสวรรค์ สามีภรรยาคู่นี้คงยากที่จะรอดชีวิตมาได้ ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเทวทูตทั้งสองและต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากมาย
อู๋ฉยงปี้ตกใจและโมโหกับคำพูดของเปี๋ยยั่งหง “แทนที่จะฆ่าเขาเจ้ากลับเชิญเขาเข้ามาอย่างนั้นหรือ!”
“เขาเป็นเจ้าของบ้าน แขกมีสิทธิ์ไล่เจ้าของออกจากบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
เปี๋ยยั่งหงมองไปที่ร่างตรงหน้าประตูกระดาษและกล่าวอย่างสุขุม “เราไม่อาจเคลื่อนไหว แล้วก็ไม่อาจออกไปต้อนรับท่าน โปรดเข้ามาเถิด”
……
……
เซวียนหยวนผ้อคิดอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งหลังจากได้ยินบทสนทนานี้ จากนั้นเขาก็คว้ากระบี่เหล็กและผลักเปิดประตูกระดาษ
เขาเห็นผลึกแก้วกองหนึ่ง เจดีย์เล็กสองหลัง และไม้วิญญาณหลายชิ้น
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นค่ายกลรูปแบบหนึ่งที่สามารถป้องกันไม่ให้คลื่นปราณภายในค่ายกลแผ่ออกไปแล้วถูกจับได้
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่คนทั้งสองที่นั่งพิงผนังอยู่
ไม่ใช่ว่าลูกหมีแห่งสำนักฝึกหลวงมีความระวังมากขึ้นตามวัย แต่เป็นเพราะวันนี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในเมืองไป๋ตี้วันนี้ องครักษ์ปีศาจแม่น้ำแดงยังเก็บกวาดเมืองและรถเหาะก็ยังอยู่บนท้องฟ้าราตรี เขาจึงระวังตัวสักหน่อย
ตอนที่เขาเห็นนักพรตหญิงที่หน้าซีด เซวียนหยวนผ้อก็ตัวแข็งไป
ตอนที่เขาเห็นแขนที่ขาดด้วนของนางและเลือดที่ไหลเปียกร่าง เขาก็อดที่จะคิดอย่างฉงนไม่ได้ นี่คือวัฏแห่งวิถีสวรรค์อย่างนั้นหรือ
นักพรตหญิงมาเยือนจิงตูยามราตรีทรมานหมาจรจัดจนตาย กวนไป๋พยายามหยุดนาง นางเลยตัดแขนเขา
หลังจากนั้นนักพรตหญิงก็ทำลายกำแพงสำนักฝึกหลวง ตั้งใจจะฆ่าเซวียนหยวนผ้อเพื่อระบายความโกรธ
หากไม่ใช่เพราะจดหมายของซูหลี เขาคงตายในคืนนั้นและสำนักฝึกหลวงคงถูกทำลายไปแล้ว
ในสายตาเขา นักพรตหญิงเป็นศัตรูตัวจริงที่แข็งแกร่งและโหดเหี้ยม
ใครจะไปคาดคิดว่าหลายปีต่อมา พวกเขาจะได้พบกันอีกครั้งและนักพรตหญิงจะบาดเจ็บสาหัสแถมยังแขนขาดไปข้างหนึ่ง…
เซวียนหยวนผ้อไม่พูดอะไร เคลื่อนสายตาไปทางอาลักษณ์คนนั้น
ไม่มีบาดแผลบนร่างเขา ไม่มีแม้แต่ฝุ่นผง สีหน้าสุขุมอย่างมาก
แต่เซวียนหยวนผ้อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความตาย
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้มีบาดแผลสาหัสอยู่ในส่วนลึกของร่างกาย
ตอนที่เขาคิดเรื่องนี้ เซวียนหยวนผ้อก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา
เมื่อนักพรตหญิงเป็นอู๋ฉยงปี้ คนผู้นี้ก็ย่อมเป็นเปี๋ยยั่งหง
ใครกันที่สามารถทำให้เปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้บาดเจ็บได้
เขาเคยถกคำถามนี้กับถังซานสือลิ่วและพวกระหว่างการพูดคุยเล่นกันในสำนักฝึกหลวง
พวกเดียวที่สามารถเอาชนะสามีภรรยาในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์คู่นี้ได้ก็มีแต่สามีภรรยานักปราชญ์ จักรพรรดิขาวกับจักรพรรดินี
ปัญหาก็คือจักรพรรดิขาวกำลังกักตน แล้วใครที่ช่วยจักรพรรดินี
ตอนที่เซวียนหยวนผ้อคิดเรื่องนี้ สายตาของเปี๋ยยั่งหงก็มองไปที่กระบี่เหล็ก
กระบี่มหาสมุทรขุนเขานอนอยู่ในสระกระบี่ของสวนโจวมาหลายปี หลังจากนั้นก็ซ่อนอยู่ในสำนักฝึกหลวง เปี๋ยยั่งหงไม่เคยเห็นมันมาก่อน อย่างไรก็ตาม เขาสามารถรับรู้ความแข็งแกร่งของกระบี่นี้ได้ แล้วเจ้าของกระบี่เล่า
มีแต่ยอดฝีมือเผ่าปีศาจเท่านั้น
เปี๋ยยั่งหงถอนหายใจและคิด หากนี่เป็นชะตาของข้า ก็ไม่อาจทำอะไรได้แล้ว
แต่เซวียนหยวนผ้อไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้โจมตีหรือเรียกทหารมา
เขาคิดเงียบๆ แล้วกล่าว “ท่านต้องการยาอะไร”
……
……
เปี๋ยยั่งหงตกตะลึงกับคำพูดนี้
แต่เปี๋ยยั่งหงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าวางแผนจะทำอะไร อย่าได้คิดทำร้ายพวกเรา!”
เห็นได้ชัดว่านางจำเซวียนหยวนผ้อได้
ตอนที่นางกับเปี๋ยยั่งหงหนีออกจากหน้าผา นางก็บาดเจ็บสาหัสแล้ว ตอนนี้อย่าว่าแต่สู้เลย นางไม่มีแรงจะยืนด้วยซ้ำ
สองฝั่งแม่น้ำแดงถูกปิดกั้นและไม่มีทางที่จะซ่อนร่องรอยของพวกเขาได้ ดังนั้นมีแต่เสี่ยงเข้ามาในเมืองไป๋ตี้ หวังว่าจะใช้ความวุ่นวายเพื่อหาโอกาสรอด
เมืองไป๋ตี้กำลังอยู่ในความโกลาหลจริงๆ แต่ยอดฝีมือเผ่าปีศาจมากมายเริ่มปรากฏตัวขึ้น เห็นได้ชัดว่าไล่ล่าเขา
พวกเขาหนีข้ามเมือง มายังเขตที่อยู่อาศัยริมแม่น้ำนอกเมืองที่ไม่ค่อยได้รับการคุ้มกัน พวกเขาเข้ามาในทางต้นสนสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณบางอย่างในตรอกนี้ เลยตามมันมายังบ้านน้อยหลังนี้ พวกเขาลอบเข้ามาแต่ก่อนที่จะมีโอกาสหาที่มาของพลังวิญญาณนั้น พวกเขาก็รู้สึกว่าอาการบาดเจ็บกำลังจะกำเริบและรีบตั้งค่ายกลนี้ขึ้นมา
จากนั้นเซวียนหยวนผ้อก็กลับมา