ตอนที่ 1068 ชนะขาดลอย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

นิกายหมื่นบุปผาคือหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกายของดินแดนมหาเทพ ก่อนหน้านี้ฮวาเยว่นำศิษย์ส่วนใหญ่ของนิกายออกไปซึ่งส่งผลให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของนิกายหมื่นบุปผาลดน้อยลงไปมาก ทว่าด้วยความช่วยเหลือของจอมยุทธ์ปีศาจ ความแข็งแกร่งโดยรวมของนิกายก็พัฒนาขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่ฮวาเยว่ออกไป นางและคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้นำทรัพยากรหรือสมบัติอื่นใดออกไปด้วย เพราะเหตุนั้นภายในนิกายหมื่นบุปผาจึงยังมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่มากมาย

ทุกคนมุ่งหน้าไปยังบริเวณต่าง ๆ ที่นิกายหมื่นบุปผาซ่อนสมบัติไว้ จากนั้นก็ไปยังห้องลับภายในเรือนส่วนตัวของฮวาฟางเฟยโดยที่ค้นพบอุปกรณ์ระดับสูงเป็นจำนวนมาก

“เราจะจัดสรรของพวกนี้อย่างไร ?”

ฟู่อวิ๋นซิวเอ่ยถามโดยไม่มีท่าทีสนใจในสิ่งของล้ำค่าที่ถูกทิ้งไว้ในนิกายหมื่นบุปผา

“ถึงอย่างไรมันก็เป็นของนิกายหมื่นบุปผา ทางที่ดีเราควรมอบทั้งหมดให้กับฮวาเยว่และอวี้โม่ซึ่งเคยเป็นสมาชิกของนิกายหมื่นบุปผามาก่อน”

ฟู่ไห่จากสำนักเมฆาครามกล่าวแสดงความคิดเห็น

พื้นเพภูมิหลังของสำนักเมฆาครามมั่งคั่งกว่านิกายหมื่นบุปผามากนัก แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนล้ำค่าและอยู่ในระดับสูง สำนักเมฆาครามของพวกเขาก็มีอยู่ครบถ้วนโดยที่ไม่ขาดแคลนสิ่งใด

ยิ่งไปกว่านั้น ฮวาเยว่เคยเป็นผู้คุมกฎฝั่งซ้ายของนิกายหมื่นบุปผาและฉินอวี้โม่เองก็เคยเป็นศิษย์ของนิกายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การมอบหมายของพวกนี้ให้กับพวกนางจึงถือเป็นสิ่งที่เหมาะสมมากที่สุดแล้ว

“ข้าไม่คัดค้าน ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อยึดนิกายหมื่นบุปผากลับคืนมาได้แล้ว ทางที่ดีช่วงนี้เราควรให้ผู้อาวุโสฮวาเยว่และสหายน้อยอวี้โม่อยู่ที่นี่ไปก่อนเพื่อป้องกันมิให้พวกจอมยุทธ์ปีศาจย้อนกลับมา”

เหลยเจี้ยนเชิงกล่าวแสดงความคิดเห็นเช่นกันโดยเสนอให้ฮวาเยว่และฉินอวี้โม่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว

แม้มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จอมยุทธ์ปีศาจจะกลับมา ทว่าพวกเขาก็ยังต้องรับประกันความปลอดภัยไว้ก่อน

ทุกคนก็ไม่คัดค้านแต่อย่างใดและเมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ไม่มีท่าทีปฏิเสธ ฮวาเยว่จึงพยักศีรษะตอบรับเช่นกัน

“ไม่อาจทราบได้เลยว่าในฝั่งของคนอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรกันบ้าง…”

อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวด้วยความสงสัยใคร่รู้ การบุกโจมตีนิกายหมื่นบุปผาในครานี้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง ทว่าไม่อาจทราบเลยว่าสถานการณ์ที่ขุมกำลังอื่นจะเป็นเช่นไร…

ในสมรภูมิรบอื่น ๆ ขุมกำลังฝ่ายดินแดนมหาเทพล้วนมีความได้เปรียบเหนือกว่า

ณ สำนักห้าขุนเขา ฉือพั่วเทียน—จ้าวสำนักเบิกภูผาและซุนอีหมิง—จ้าวนิกายหงส์แดงได้บุกโจมตีสำนักห้าขุนเขาก่อนที่เยว่ปู้ฉินจะกลับไปได้ทัน

“หยุดเดี๋ยวนี้ !”

เยว่ปู้ฉินรีบกลับมาอย่างรวดเร็วและพบว่าคนของขุมกำลังล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส ฐานทัพของพวกเขาตกอยู่ในสภาพที่เสียหายทรุดโทรมและมีเพียงร่องรอยของการทำลายล้างปรากฏอยู่ทั่วบริเวณ

“ฮ่า ๆ ๆ เยว่ปู้ฉิน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาถึงเสียที !”

เมื่อสังเกตเห็นเยว่ปู้ฉิน ฉือพั่วเทียนก็หัวเราะเสียงดังและกล่าวขึ้นก่อน

ทั้งสองเป็นศัตรูคู่อริกันมานานและมีความแข็งแกร่งในระดับที่ไล่เลี่ยกัน ในการประจันหน้ากันในครั้งที่ผ่าน ๆ มาของพวกเขาก็ลงเอยด้วยการเสมอโดยที่ไม่เคยตัดสินผลแพ้ชนะได้

ตอนนี้สถานการณ์ของสำนักห้าขุนเขาก็เสียเปรียบอย่างที่สุดแล้ว ตราบใดที่ขัดขวางเยว่ปู้ฉินไว้ได้ แผนการของพวกเขาก็จะประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์

“ไสหัวไปให้พ้น !”

เมื่อเห็นฉือพั่วเทียนที่เข้ามายืนขวางหน้า เยว่ปู้ฉินก็ตะโกนกร้าวด้วยความโกรธแค้นและปล่อยฝ่ามือวายุตรงเข้าใส่อีกฝ่ายทันที

น่าเสียดายที่ฉือพั่วเทียนไม่มีทางปล่อยให้เยว่ปู้ฉินได้ทำตามความปรารถนา ฝ่ามือวายุของเขาถูกปล่อยตรงออกไปปะทะกับการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว

ความแข็งแกร่งของทั้งสองแทบจะเท่าเทียมกันและไม่มีทางตัดสินผลแพ้ชนะในเวลาอันสั้นได้ ในเวลานี้พวกเขาทั้งสองก็กระเด็นถอยหลังออกไปคนละหลายก้าวก่อนทรงตัวได้อีกครั้ง

“เยว่ปู้ฉิน สำนักห้าขุนเขาของเจ้ายอมจำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจและช่วยเสือฆ่าคนแท้ ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็จงไปจากดินแดนมหาเทพแห่งนี้และอพยพไปอยู่ที่ฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจตลอดกาลเถอะ !”

* 为虎作伥 ช่วยเสือฆ่าคน หรือช่วยเสือทำสิ่งชั่วร้าย ซึ่งความหมายแฝงก็คือ การทำงานรับใช้คนชั่ว ทั้งที่คนชั่วคนนั้นเคยทำร้ายตนเอง

ซุนอีหมิงเดินตรงเข้าไปหยุดข้าง ๆ ฉือพั่วเทียนและมองตรงไปที่เยว่ปู้ฉินเช่นกัน

แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะอ่อนแอกว่าทั้งเยว่ปู้ฉินและฉือพั่วเทียน ทว่าเขาก็ไม่ได้อ่อนแอกว่ามากนัก หากเขาและฉือพั่วเทียนร่วมมือกัน มั่นใจได้เลยว่าเยว่ปู้ฉินจะไม่มีทางยื้อเวลาได้นานอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของพวกเขาในวันนี้คือการยึดสำนักห้าขุนเขาและขับไล่เยว่ปู้ฉินออกไป มิใช่การสังหารเอาชีวิต เพราะฉะนั้นซุนอีหมิงจึงไม่ลงมือทำสิ่งใด

“บัดซบ ! บัดซบเอ๊ย !”

เยว่ปู้ฉินกัดฟันกรอด ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งทั้งสองนี้ เขาก็ไม่สามารถทำอะไรฝ่ายตรงข้ามได้เลย

“ฉือพั่วเทียน ซุนอีหมิง ข้าเพียงไม่เต็มใจที่จะอยู่ภายใต้อำนาจของสำนักเมฆาครามไปตลอดเท่านั้น การที่ข้าต้องการทำให้สำนักห้าขุนเขาเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนมหาเทพมันผิดอย่างไรกัน ? จอมยุทธ์ปีศาจมีภูมิหลังที่มั่นคงและความแข็งแกร่งของผู้นำจอมยุทธ์ปีศาจก็ล้ำลึกเกินหยั่งถึง ข้าแนะนำให้พวกเจ้ายอมจำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจเสียจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตายในสงครามชี้ชะตา !”

เยว่ปู้ฉินถอนพลังทั้งหมดกลับมาก่อนกล่าวอย่างชัดเจน ในเวลานี้เขาก็ต้องการล่อลวงให้ฉือพั่วเทียนและซุนอีหมิงเข้าร่วมกับจอมยุทธ์ปีศาจ

น่าเสียดายที่ทั้งสองไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย

“ตลกสิ้นดี เจ้าทำสิ่งนี้ลงไปเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวเท่านั้น เหตุใดจะต้องวางท่าราวกับตนเองทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยเล่า ? หากผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจทรงพลังอย่างที่คิดจริง เขาก็คงสังหารพวกเราทั้งหมดไปนานแล้ว เหตุใดจึงต้องรอให้ถึงสงครามชี้ชะตาก่อน ? นับตั้งแต่อดีต ความชั่วก็ไม่เคยเอาชนะความดีได้ ครานี้จอมยุทธ์ปีศาจก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายชนะเช่นกัน !”

ซุนอีหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันทว่าวาจาของเขาก็เป็นความจริงทุกประการ

“เจ้ารีบไสหัวไปจากที่นี่จะดีกว่า วันนี้พวกข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ส่วนสำนักห้าขุนเขาของเจ้า พวกข้าจะขอรับไป ในสงครามชี้ชะตา…ข้าจะเอาชนะเจ้าอย่างแน่นอน !”

ฉือพั่วเทียนกล่าวออกมาเช่นกัน น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความมั่นใจและเจือไปด้วยคำข่มขู่อย่างไม่ปิดบัง

“พวกเจ้า…”

แน่นอนว่าแม้เยว่ปู้ฉินจะไม่ต้องการจากไปเฉย ๆ เช่นนี้ ทว่าเมื่อมองดูสำนักห้าขุนเขาที่ถูกยึดครองไปแล้วและสัมผัสถึงความมุ่งร้ายจากแววตาของฉือพั่วเทียน เขาก็ทำได้เพียงถอนกำลังออกไป

ตอนนี้ขุมกำลังอื่นก็ตกอยู่ภายใต้การโจมตีเช่นกันและเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครเข้ามาช่วยเหลือเขา ด้วยความแข็งแกร่งของเขาเพียงลำพัง เยว่ปู้ฉินก็ตระหนักดีว่าไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะฉือพั่วเทียนและซุนอีหมิงได้ หากไม่ยินยอมและพยายามต่อสู้ เกรงว่าเขาคงต้องตายอยู่ที่นี่เป็นแน่

“รอข้าก่อนเถอะ !”

เขากล่าวทิ้งท้ายก่อนหันหลังและพุ่งตรงออกไปในระยะไกลทันที ในตอนนี้เขาจะต้องกลับไปที่ฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจเพื่อหารือถึงแผนการต่อไป

“พวกเรายอมจำนน !”

ทันทีที่จ้าวสำนักจากไป คนของสำนักห้าขุนเขาก็ทิ้งอาวุธในมือของตนและเลือกที่จะยอมจำนนต่อฝ่ายตรงข้าม

พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้สมัครใจที่จะยอมจำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจ หากแต่เป็นเพราะเยว่ปู้ฉินที่ข่มขู่พวกเขาตั้งแต่ต้น หากพวกเขาไม่ยินยอม พวกเขาก็คงจะลงเอยด้วยความตายเท่านั้น ในเมื่อบุรุษผู้นั้นถูกขับไล่ออกไปแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดหวั่นและสามารถเปิดเผยความคิดที่แท้จริงออกไปได้

ในเวลานี้ แม้แต่ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ของสำนักห้าขุนเขาก็เลือกที่จะยอมจำนนเช่นกันและเต็มใจที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายดินแดนมหาเทพเพื่อร่วมมือกันต่อสู้กับจอมยุทธ์ปีศาจ

คนของสำนักห้าขุนเขายังคงมีเหลือเป็นจำนวนมากและถือว่าเป็นกองกำลังที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะเหตุนั้น ฉือพั่วเทียนจึงหารือกับซุนอีหมิงก่อนได้ข้อสรุป

“เรายังต้องหารือกับคนอื่น ๆ ก่อนว่าจะจัดการกับพวกเจ้าอย่างไร เพราะฉะนั้น ในช่วงนี้พวกเจ้าจะต้องอยู่ที่สำนักห้าขุนเขาต่อไปและห้ามออกไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาด !”

เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็วและวางแผนที่จะนำเรื่องนี้กลับไปหารือกับฟู่ชาง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เสียก่อน

แน่นอนว่าคนของสำนักห้าขุนเขาไม่คัดค้านและพยักศีรษะตอบรับอย่างว่าง่าย

สถานการณ์ในนิกายเมฆาล่องลอยและนิกายเต่าดำก็ไม่ต่างจากสำนักห้าขุนเขามากนัก ผู้นำของทั้งสองนิกายรีบกลับไปที่ฐานทัพของตนและพบกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเกินแก้ไข ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามเป็นกองทัพพันธมิตรของขุมกำลังหลายแห่ง พวกเขาจึงไม่มีทางต่อกรได้เลย ในสถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้ พวกเขาจึงจำต้องสละฐานทัพของพวกตนไปและหลบหนีไปยังฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจด้วยกัน

ตอนนี้อาณาเขตของพวกเขาล้วนถูกยึดไปแล้วและมิใช่เรื่องง่ายที่จะทวงคืนกลับมา เดิมทีก็มีคนจำนวนมากในขุมกำลังที่ไม่เต็มใจเข้าร่วมกับจอมยุทธ์ปีศาจ ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสแล้ว คนเหล่านั้นจะต้องเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับดินแดนมหาเทพอย่างไม่ต้องสงสัย…

ณ ฐานทัพของจอมยุทธ์ปีศาจ เมื่อได้รับข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เสียอวิ๋นก็ไม่มีท่าทีเดือดดาลแต่อย่างใด

“เหอะ ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าชนะไปก่อน !”

เขาแสยะยิ้มเย้ยหยันและประกายความมุ่งร้ายปรากฏในแววตา…