ภาค 9 หนึ่งกระบี่ปราบโกลาหลในใต้หล้า บทที่ 875 เยี่ยนจ้าวเกอเห็นเทวะสำแดง อัคคีดาวสาดส่องท้องฟ้า!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ค่ายกลเทพไท่อี้ถล่มทลายที่เยี่ยนตี๋ควบคุม แข็งแกร่งกว่าการควบคุมของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกมากมายนัก

นักพรตสือมาตรว่าจะกระตุ้นค่ายกลฟ้าดินแผ่ขยาย ครั้งนี้กลับยากจะแก้ไขได้ในระยะเวลาสั้นๆ

เมื่อมีค่ายกลเทพไท่อี้ถล่มทลายหนุนเสริม เยี่ยนตี๋ก็แข็งแกร่งมากขึ้น

นักพรตสือนิ่วหน้า ใช้ค่ายกลฟ้าดินแผ่ขยายเต็มพิกัด ผ่าแยกมิติออก

พวกเสวียนเฉิงอ๋องอยู่ในมิติที่แตกต่างกัน ปะทะกับคนในเขากว่างเฉิงที่ได้รับการเสริมพลังจากค่ายกลเทพไท่อี้ถล่มทลาย

ค่ายกลสองค่ายต่างแสดงความสามารถของตัวเอง สองฝ่ายใช้โจมตีปะทะโจมตี สู้กันจนฟ้าดินสั่นไหว

และในระหว่างนี้ เยี่ยนตี๋ก็ลงมือ ดาบหนึ่งต่อด้วยอีกดาบหนึ่ง พาดขวางไปทั่วแปดทิศ

แม้ว่าจะออกจากค่ายกลไม่ได้ ต้องเฝ้าอยู่ในเขากว่างเฉิง แต่ประกายดาบของเยี่ยนตี๋ฟันใส่ค่ายกลฟ้าดินแผ่ขยาย โจมตีใส่จุดไท่จี๋อย่างต่อเนื่อง ตามการชี้แนะของเยี่ยนจ้าวเกอ

นักพรตสือครั้งนี้ควบคุมเต่าปูลูลงมือด้วยตัวเอง ชิงไปที่ตำแหน่งไท่จี๋ก่อน ขัดขวางประกายดาบของเยี่ยนตี๋ เพื่อรับประกันให้ค่ายกลฟ้าดินแผ่ขยายทำงานต่อ

กระนั้นก็เป็นเพราะพลังฝึกปรือของตัวเอง มาตรว่าจะมีเต่าปูลูคอยคุ้มกัน แต่ก็ไม่อาจต้านทานความคมกล้าของเยี่ยนตี๋ได้

เยี่ยนตี๋ไม่ออกเขากว่างเฉิง นักพรตสือจึงพอฟืนต้านไว้ได้

กวนลี่เต๋อเห็นดังนั้น ในดวงตาสุดท้ายก็ปรากฏความเคร่งขรึม

เขามองเขากว่างเฉิงเบื้องล่าง เอ่ยอย่างช้าๆ “มีพลังกล้าแกร่งทั้งที่มีพลังฝึกปรือเพียงเท่านี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ เป็นอัจฉริยะฟ้าประทานโดยแท้”

“เสียดายความสามารถของพวกท่าน ข้าไม่อยากจะกำจัดให้หมดสิ้น สุดท้ายขอถามพวกท่านอีกรอบว่า อาวุธเซียนพวกท่านจะมอบออกมาหรือไม่”

เยี่ยนตี๋มองกวนลี่เต๋อ กล่าวอย่างราบเรียบ “มีความสามารถอะไรก็ไสม้าเข้ามา ไยต้องพูดจาไร้สาระ”

กวนลี่เต๋อมองเยี่ยนตี๋อย่างเย็นชา “ข้าอุตส่าห์เกิดความคิดเสียดายคนมีความสามารถ ท่านกลับรนหาที่ตายเอง เห็นทีข้าคงจะเก็บคนอย่างท่านไว้ไม่ได้จริงๆ ไม่เช่นนั้นวันหน้าท่านจะกลายเป็นภัยใหญ่ของข้า”

กลุ่มดาวรวมตัวกันบนศีรษะของเขา มงกุฎดาวอันพร่างพราวองค์หนึ่งปรากฏขึ้น!

ในชั่วพริบตานั้น แสงของดวงดาวที่แท้จริงบนท้องฟ้าริบหรี่ลงไป

กลางฟ้าดิน กวนลี่เต๋อเหมือนกับเป็นผู้ปกครองดวงดาวที่ได้ลงมายังเขากว่างเฉิง

ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า กระตุ้นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง!

เมื่อมาอยู่ในระดับนี้ ระหว่างจอมยุทธ์กับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงจะเริ่มเกื้อหนุนกันและกัน ก้าวข้ามขีดจำกัดของแต่ละฝ่ายเมื่อก่อนหน้านี้

เยี่ยนตี๋ไม่เกรงกลัว ประกายดาบลอยขึ้น โจมตีใส่กวนลี่เต๋ออย่างเหี้ยมหาญ พร้อมกับการเสริมพลังจากค่ายกลเทพไท่อี้ถล่มทลาย

ทว่าอีกด้านหนึ่ง นักพรตสือ เสวียนเฉิงอ๋อง และจอมยุทธ์จากราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง ก็จู่โจมพร้อมกันด้วย

นักพรตสือมีระดับความสามารถด้านค่ายกลล้ำลึกจริงๆ แม้ว่าจะไม่อาจทำลายค่ายกลเทพไท่อี้ถล่มทลายได้ชั่วขณะ กลับรบกวนการโคจรของค่ายกลเทพไท่อี้ถล่มทลายได้ในระดับขีดสุด

การโจมตีของคนที่เหลือครอบฟ้าครอบดิน พุ่งใส่เขากว่างเฉิง

เขากว่างเฉิงในตอนนี้โคลงเคลงขึ้นลงเหมือนกับเรือแจวที่อยู่ในคลื่นโหมกระหน่ำ

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าทุกคนกลับมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่ก็มองไปที่ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกตลอดเวลา

กวนลี่เต๋อสู้กับเขากว่างเฉิงที่นี่จนฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ เพราะต้องการกงจักรมหาประกายกาฬ

กระนั้นในความจริงแล้ว ตัวเยี่ยนจ้าวเกอกับกงจักรมหาประกายกาฬไม่ได้อยู่ที่เขากว่างเฉิง

ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องทราบเรื่องนี้ ผู้วิเศษเซิงกับคังผิงจึงมุ่งหน้าไปไล่ล่าเยี่ยนจ้าวเกอที่ทางใต้ของทะเลหวงเจีย

กวนลี่เต๋อกลับไม่ทราบเรื่องนี้ นึกว่าที่เยี่ยนจ้าวเกอไม่ปรากฏตัว เป็นเพราะพลังฝึกปรือของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปด ไม่มีประโยชน์ต่อการรบในตอนนี้

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของสหายในสำนัก ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกก็ยิ้มเล็กน้อย

ณ น่านน้ำดินแดนหลวนเซียงซึ่งอยู่ทางใต้ของทะเลหวงเจีย

ในทันทีที่บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ของที่นี่เกิดความผิดปกติ เจิ้งกั๋วกง หนึ่งในสี่กั๋วกง ซึ่งเป็นคนจากราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องที่รับหน้าที่เฝ้าที่นี่ ก็เดินทางมาทันที

เขาทางหนึ่งมุ่งหน้ามายังสถานที่ที่บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์อยู่ ทางหนึ่งสั่งให้คนไปแจ้งพวกผู้วิเศษเซิง เสวียนเฉิงอ๋อง และนักพรตสือที่อยู่บนเขากว่างเฉิงในดินแดนจิตคุณธรรม

รอจนเขามาถึงที่ที่บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์อยู่ ก็เห็นแสงแสงที่พุ่งขึ้นฟ้าจากที่นั่นยังไม่สลายไป

ฟ้าดินกลางอากาศเกิดรอยร้าว ไม่สมานตัว ยังคงบิดเบี้ยว แต่ว่าพร่าเลือนขึ้นไม่น้อย

เงาคนสายหนึ่งยืนอยู่ระหว่างฟ้าดิน อาบร่างอยู่ในลำแสง

นั่นเป็นชายหนุ่มสวมอาภรณ์ขาวทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ขลิบขอบสีดำผู้หนึ่ง

ด้านหน้าชายหนุ่มวางไว้ด้วยเตาโอสถสามขาที่ทำจากทองคำม่วง มีเมฆหมอกลอยตลบเตาหนึ่ง

ด้านบนเตาโอสถกลับมีเตาสีดำที่มีขนาดค่อนข้างเล็กติดอยู่

เตาสามขาทั้งสองเตาต่างถูกเปิดฝา ปากเตาหันเข้าหากัน ยึดติดกันอยู่ที่นี่ มองไปดูน่าประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

เจิ้งกั๋วกงคุ้นเคยใบหน้าของชายหนุ่มผู้นี้เป็นที่สุด

บนทะเลหวงเจียในปัจจุบัน ไม่มีใครไม่รู้จัก ไม่มีใครไม่เคยได้ยิน!

เยี่ยนจ้าวเกอแห่งเขากว่างเฉิง!

‘ก่อนหน้านี้เขาอยู่ที่โลกผืนสมุทรมาตลอดหรือ!’ เจิ้งกั๋วกงจิตใจหนักอึ้ง ‘เขาทำลายนภาเห็นเทวะสำแดง เลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงในที่แห่งนั้น แล้วลอยขึ้นมายังโลกซ้อนโลกหรือ’

ตนถึงแม้จะเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้าย แต่ว่าเจิ้งกั๋วกงในตอนนี้ไม่มีความรู้สึกผ่อนคลายแม้แต่น้อย

ยังไม่พูดถึงผลการรบอันเฉิดฉายของเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋บิดาของเขาในตอนเพิ่งลอยขึ้นมา ก็ได้สังหารเสวียนเฉิงอ๋องที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก โด่งดังขึ้นมาเพราะการต่อสู้ครั้งเดียว

แม้ว่าครั้งนั้นเสวียนมู่อ๋องจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็สามารถเห็นถึงความเหี้ยมหาญของเยี่ยนตี๋ได้

เจิ้งกั๋วกงที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหกเหมือนกัน ทั้งยังมีพลังไม่ด้อยกว่าเสวียนมู่อ๋อง ในตอนนี้ย่อมไม่มีความมั่นใจ

เขาเตรียมจับตาดูเยี่ยนจ้าวเกออยู่ไกลๆ คอยสะกดรอยตาม รอพวกผู้วิเศษเซิงกับเสวียนเฉิงอ๋องมาจัดการ

ในตอนที่เจิ้งกั๋วกงคาดคำนวณในใจ ก็เห็นจุดลมปราณทั่วร่างของเยี่ยนจ้าวเกอเปล่งแสง ด้านในแสงสว่างมีแสงไฟเต้นระริก!

เหมือนกับดวงดาวมากมายลุกไหม้ขึ้นมา

เจิ้งกั๋วกงอ้าปากตาค้าง ‘จุดอัคคีดาว? นี่เป็นสัญลักษณ์ของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงระยะต้นซึ่งได้เลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้า ขั้นเทวะสำแดงระยะกลาง เยี่ยนจ้าวเกอผู้นี้เพิ่งจะเห็นเทวะสำแดงลอยขึ้นมาไม่ใช่หรือ’

มีแค่จุดลมปราณจุดเดียวที่ถูกหลอมเป็นเทวะ จะจุดอัคคีดาวได้อย่างไร?

นอกเสียจากว่าคนผู้นี้จะหลอมจุดลมปราณจำนวนมากพร้อมกันหรือติดต่อกัน พุ่งไปสุ่จุดสูงสุด เลื่อนไปถึงขีดจำกัดของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ในระยะเวลาที่สั้นถึงขีดสุด

เช่นนี้ถึงจะลองทำลายขีดจำกัด พัฒนาขึ้นในระดับที่สูงกว่าเดิมได้!

‘การจุดอัคคีดาว เดิมทีเป็นเรื่องที่อยู่ในร่างของตัวจอมยุทธ์ คนนอกสมควรมองไม่เห็นจึงจะถูก เขาจุดอัคคีดาวอย่างเด่นชัดขนาดนี้ พลังของเขาต้องเต็มเปี่ยมถึงระดับไหนกัน’

ไม่ได้ต่อสู้ ไม่ได้สัมผัส เพียงมองภาพนี้อยู่ไกลๆ เจิ้งกั๋วกงก็รู้สึกว่ามีความเย็นเยียบสายหนึ่งพุ่งจากส้นเท้ามาถึงกระหม่อม แล้วกระจายไปทั่วร่างในชั่วพริบตา เหมือนกลับตกไปอยู่ในโพรงน้ำแข็ง

ในตอนที่จอมยุทธ์เลื่อนระดับ ต้องไม่ให้คนอื่นรบกวน ถือเป็นโอกาสซุ่มโจมตีที่เหมาะสมที่สุด

ทว่าพอเห็นเหตุการณ์นี้ เจิ้งกั๋วกงกลับไม่กล้าลงมือวู่วาม

ความจริงได้พิสูจน์แล้ว ว่าการเลือกของเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็ไร้ประโยชน์

เพราะเยี่ยนจ้าวเกอก้าวข้ามอุปสรรคที่จอมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนไปไม่ถึง เลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้า ขั้นเทวะสำแดงระยะกลางแล้ว!

แสงดวงดาวกับเปลวเพลิงมายาทั่วร่างหายไปพร้อมกัน

นอกจากว่าการเหยียบอยู่กลางอากาศจะดูผิดปกติแล้ว ลักษณะในตอนนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอ ก็เหมือนกับคนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ หันหน้าไปมองเจิ้งกั๋วกงที่อยู่ห่างออกไป

เจิ้งกั๋วกงใจเต้นอย่างรุนแรง รู้สึกเหมือนมีหายนะมาเยือน

เขารู้สึกได้ในทันทีว่าการจับตามองเยี่ยนจ้าวเกอของตัวเองไม่อาจสำเร็จได้ การรั้งอยู่ที่เดิมมีแต่จะทำให้เวลาตายมาถึงเร็วขึ้น

ไม่มีการลังเล เจิ้งกั๋วกงหมุนกายหนีไปทันที

เยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่กับที่ไม่ได้ขยับในทันที เพียงแต่เก็บเตาสามขาสองเตาที่ติดกันอยู่อย่างไม่รีบไม่ร้อน

จากนั้นชายหนุ่มก็หัวเราะ สืบเท้าออกเท้าหนึ่ง

วินาทีถัดมา เขาก็บรรลุถึงด้านหลังเจิ้งกั๋วกงแล้ว!