บทที่ 565.2 อาจารย์และลูกศิษย์ท่ามกลางขุนเขาสายน้ำ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ถังสี่ไม่ได้ทะยานลมเดินทางไกล แต่โดยสารเรือยันต์ลำหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์มายังหน้าผาอวี้อิ๋ง

ก่อนจะเก็บเรือยันต์ ถังสี่ก็สังเกตเห็นแต่ไกลแล้วว่าเซียนกระบี่หนุ่มชุดเขียวกับเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นกำลังเก็บหินในลำธารกันอยู่ ช่างผ่อนคลายสบายอารมณ์กันเสียจริง

เฉินผิงอันได้ยินว่าเรือข้ามฟากของซ่งหลันเฉียวจะมาถึงท่าเรือฝูสุ่ยวันพรุ่งนี้ก็บอกกับชุยตงซานว่าถ้าอย่างนั้นก็รอกันต่อไป จากนั้นก็กลับมาที่ลำธารเลือกเฟ้นหาก้อนหินต่ออีกครั้ง พลางรับฟังชุยตงซานเล่าถึงประสบการณ์จากการเดินทางไกลข้ามทวีปของตัวเองในครั้งนี้ไปด้วย

พอพูดถึงชายหาดโครงกระดูกและนครจิงกวาน เฉินผิงอันก็ถามคำถามข้อหนึ่ง เมืองเล็กที่จู๋เฉวียนเจ้าสำนักพีหมาปักหลักพิทักษ์อยู่ ด้วยตบะของเกาเฉิงและกองกำลังในนครจิงกวานกับกลุ่มอิทธิพลใต้บังคับบัญชา จะสามารถถอนตะปูที่ตำตาดอกนี้ได้ในรวดเดียวหรือไม่

ชุยตงซานตอบอย่างไม่ลังเลว่าง่ายมาก หากจู๋เฉวียนยินดี แน่นอนว่าสามารถจากไป ย้อนกลับไปอยู่ที่ภูเขามู่อีอีกครั้งได้ แต่ด้วยนิสัยของจู๋เฉวียนแล้ว ย่อมต้องเลือกที่จะรบตายอยู่ในหุบเขาผีร้าย ยอมทุ่มสุดชีวิตของตัวเองและละทิ้งค่ายกลของเมืองชิงหลูได้ แต่ก็ต้องให้นครจิงกวานเสียหายไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก เพื่อให้คนรุ่นถัดไปของภูเขามู่อีสามารถเติบโตได้ ยกตัวอย่างเช่นตู้เหวินซือผู้ฝึกตนคอขวดโอสถทองที่เฝ้าพิทักษ์เมืองชิงหลูมานานหลายปี หรือผู้สืบทอดสายตรงของศาลบรรพจารย์อย่างเด็กหนุ่มผังหลันซี

แต่ชุยตงซานเองก็บอกแล้วว่า เกาเฉิงค่อนข้างจะชื่นชมจู๋เฉวียน จึงไม่ยินดีจะฉีกหน้าให้แตกหักกัน

เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าเพิ่งจะไปอยู่ชายหาดโครงกระดูกได้นานเท่าไรเอง กลับรู้เรื่องมากขนาดนี้แล้วหรือ?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เห็นเพียงน้อยนิดก็เข้าใจไปไกล ก็คือความสามารถที่มีไม่มากของศิษย์”

จากนั้นชุยตงซานก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ประวัติความเป็นมาตอนที่เกาเฉิงยังมีชีวิตอยู่ ศิษย์เดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปครั้งนี้ก็พอจะได้ผลเก็บเกี่ยวมาบ้าง บวกกับการลงแรงของสำนักพีหมา ตอนนี้อักษรยามเกิดแปดตัวที่แน่ชัดของเกาเฉิง สำมะโนครัวบ้านเกิด ฮวงจุ้ยสุสานล้วนมาอยู่ในมือของศิษย์หมดแล้ว เดิมทีสิ่งเหล่านี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไร หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินของอุตรกุรุทวีปก็ยังไม่สามารถอาศัยเรื่องพวกนี้มาสร้างความลำบากใจให้นครจิงกวานได้ อย่างมากสุดก็แค่ทำให้เขาเจ็บๆ คันๆ เท่านั้น น่าเสียดายที่เกาเฉิงมาเจอลูกศิษย์อย่างข้า เขาก็จนปัญญาแล้ว”

เฉินผิงอันหยิบหินไข่ห่านสีขาวหิมะก้อนหนึ่งขึ้นมาวางใส่ไว้ในห่อผ้าที่ม้วนขึ้นจากเสื้อสีเขียวของตัวเอง แล้วเอ่ยว่า “เล่นตุกติกบนร่างของโจวหมี่ลี่ เรื่องนี้เกาเฉิงไม่มีคุณธรรมอย่างยิ่ง”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ไม่สมควรเป็นคนเลย”

แล้วชุยตงซานก็พูดต่อทันทีว่า “เดิมทีพี่น้องเกาก็ไม่ใช่คนอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองชุยตงซาน

ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ “ตอนนี้พี่เกามีน้องเกาอยู่คนหนึ่ง น่าเสียดายที่การเดินทางมาเยือนทิศเหนือของศิษย์ในครั้งนี้ไม่ได้พาเขามาอยู่ข้างกายด้วย วันหน้าอาจารย์มีโอกาสก็จะได้พบกับน้องเกาคนนั้น เจ้าเด็กน้อยนั่นนับว่าหน้าตาหล่อเหลา แค่ทึ่มทื่อไปหน่อย สติปัญญายังไม่เปิดกว้าง”

เฉินผิงอันถาม “พอๆ กับเด็กหนุ่มรับใช้ที่อยู่ข้างกายอาจารย์หลี่หรือ?”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ “คนหนึ่งเอามาฝึกปรือฝีมือ อีกคนหนึ่งแกะสลักขึ้นด้วยความตั้งใจ ไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไร”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยว่า “หากเป็นไปได้ ทางที่ดีที่สุดสักวันหนึ่งพวกเราควรจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นคนจริงๆ แต่การชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียระหว่างนี้ยังคงต้องให้เจ้าคิดพิจารณาเอาเอง ข้าแค่บอกความคิดบางอย่างของตัวข้าเองเท่านั้น ไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าจะต้องทำตาม”

สายตาของชุยตงซานฉายประกายเจิดจ้า ดูเป็นเด็กหนุ่มยิ่งกว่าเด็กหนุ่มเสียอีก เขายิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่ออาจารย์บอกว่าทำได้ แล้วจะมีอะไรที่ศิษย์ทำไม่ได้”

คนทั้งสองทยอยกันสัมผัสได้ถึงถังสี่และเรือยันต์ จึงไม่คุยอะไรกันอีก

ถังสี่เดินมาที่ริมลำธารช้าๆ แล้วประสานมือคารวะ “ถังสี่แห่งเรือนจ้าวเย่ฉ่าวคารวะท่านเฉิน”

เฉินผิงอันเดินขึ้นฝั่งโดยเอามือหนึ่งอุ้มประคองหินไข่ห่านที่อยู่ในม้วนผ้า ยิ้มเอ่ยทักทายกับถังสี่

ชุยตงซานที่อยู่ด้านหลังเก็บหินไข่ห่านใส่ห่อผ้าตัวเองได้มากกว่าและก้อนใหญ่กว่า เขาใช้สองมือโอบประคองเอาไว้จึงมองดูน่าขันอย่างเห็นได้ชัด

เฉินผิงอันยืนเคียงบ่าอยู่กับถังสี่ ฝ่ายหลังพูดเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านเฉิน ทางฝั่งของสวนน้ำค้างวสันต์เป็นกังวลกันเล็กน้อย ข้าก็เลยบังอาจขอมาสร้างคุณความชอบ เป็นฝ่ายมารบกวนความสงบของท่านเฉินถึงที่นี่”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถังเซียนซือ ท่านบอกให้ถานฮูหยินวางใจได้เลย อีกไม่นานข้ากับลูกศิษย์ก็จะโดยสารเรือข้ามฟากของผู้อาวุโสซ่งจากไป เพราะรีบไปเยือนชายหาดโครงกระดูก พวกเราสองคนไม่มีทางสร้างปัญหาให้กับสวนน้ำค้างวสันต์อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น นับตั้งแต่หน้าผาอวี้อิ๋งแห่งนี้ ไปจนถึงร้านผีฝูถนนเหล่าไหว แล้วก็มาถึงถังเซียนซือกับผู้อาวุโสหลิน พวกเราได้รับน้ำใจมากมายจากสวนน้ำค้างวสันต์ เมื่อไปถึงภูเขามู่อีของสำนักพีหมา ข้าจะพยายามพูดถึงสวนน้ำค้างวสันต์ในแง่ดีกับคนสนิทของที่นั่น แล้วก็หวังว่าการค้าของสำนักพีหมากับสวนน้ำค้างวสันต์ที่เดิมทีก็มีมิตรภาพต่อกันอยู่แล้วจะสามารถพัฒนาไปอีกขั้น เพียงแต่ว่าข้าเป็นคนต่ำต้อยคำพูดย่อมไม่มีน้ำหนัก คำพูดของข้าจะมีประโยชน์หรือไม่ ข้าก็ไม่กล้ารับรอง หากคำพูดไพเราะเหล่านี้ของข้าเป็นดั่งก้อนหินกระดอนน้ำที่หายไปอย่างเงียบเชียบ ก็หวังว่าวันหน้าได้มาเยี่ยมเยือนสวนน้ำค้างวสันต์อีกครั้ง ประตูใหญ่เรือนจ้าวเย่ฉ่าวของถังเซียนซือจะไม่ปิดใส่ จะดีจะชั่วก็ให้ข้าได้เข้าไปดื่มน้ำชาสักถ้วย”

ถังซี่โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก และยังรู้สึกซาบซึ้งจากใจจริงอยู่อีกหลายส่วน เขาประสานมือคารวะอีกครั้ง “พระคุณยิ่งใหญ่ของท่านเฉิน ถังสี่จดจำไว้ขึ้นใจ!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ที่ร้านผีฝู เถ้าแก่หวังถิงฟางดูแลจัดการได้เหมาะสมยิ่ง วันหน้าถังเซียนซือก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจมากแล้ว ไม่อย่างนั้นหากข้าได้ยินก็คงละอายใจ เถ้าแก่หวังเองก็คงอดเคร่งเครียดไม่ได้”

ถังสี่พยักหน้ารับ “ในเมื่อท่านเฉินพูดแล้ว ข้าก็จะปล่อยให้หวังถิงฟางจัดการเอาเอง แต่ท่านเฉินก็วางใจได้เลย สวนน้ำค้างวสันต์จะบอกว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะบอกว่าเล็กก็เล็ก หากมีช่องโหว่เกิดขึ้นจริงๆ แม้จะเล็กน้อยแค่ไหน แต่ข้าก็จะคอยตบคอยตีเจ้าเด็กหวังถิงฟางให้เข้ารูปเข้ารอยเอง หาเงินสบายขนาดนี้ หากยังกล้าเกียจคร้านอีกก็แสดงว่ามโนธรรมในใจมีปัญหาจริงๆ แล้ว เป็นเรือนจ้าวเย่ฉ่าวของพวกเราที่อบรมสั่งสอนได้ไม่ดีพอ ถึงได้ทำผิดต่อน้ำใจของท่านเฉิน หากเป็นเช่นนี้จริง คราวหน้าที่ท่านเฉินมาดื่มชาที่เรือนจ้าวเย่ฉ่าวของข้า ข้าถังสี่จะดื่มเหล้าลงโทษตัวเองก่อนสามจอก แล้วถึงจะกล้าร่วมดื่มชากับท่านเฉิน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

ถังสี่ทำอะไรรวดเร็วฉับไวปานสายฟ้าฟาด เขาขอตัวลาจากไป โดยบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเองต้องกลับไปรายงานผลที่ศาลบรรพจารย์

คราวนี้เขาไม่ได้โดยสารเรือยันต์ที่เชื่องช้า แต่ทะยานลมจากไปโดยตรง

ตั้งแต่ต้นจนจบ ชุยตงซานไม่เอ่ยอะไรสักคำ

เฉินผิงอันหันหน้ามามองชุยตงซาน “มีเจ้าอยู่ด้วย ข้าถึงได้ทำตัวเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือกับเขาสักครั้ง”

ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจารย์ด่าลูกศิษย์ เป็นเรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน”

เฉินผิงอันด่าขำๆ “นี่มันเรื่องอะไรกับอะไรของเจ้ากัน”

คนทั้งสองเดินมาที่ศาลา เฉินผิงอันนั่งลงบนขั้นบันได ชุยตงซานนั่งอยู่ด้านข้างโดยต่ำกว่าหนึ่งขั้นคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา

คนทั้งสองเอาหินไข่ห่านที่ ‘กินไม่หมดต้องห่อกลับบ้าน’ (เปรียบเปรยว่าทำอะไรแล้วต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่ตามมา) วางกองรวมกันไว้ด้านข้าง

ชุยตงซานเท้าข้อศอกทั้งสองข้างไว้บนขั้นบันไดที่สูงกว่า เอนตัวนอนหงาย มองขุนเขาและสายน้ำที่ห่างออกไปไกล เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่แมกไม้ยังคงเขียวขจีหนาครึ้ม ทว่าสีสันบนโลกมนุษย์ไม่ได้เขียวขจีทั้งสี่ฤดูกาลเหมือนที่นี่

เฉินผิงอันลูบชายแขนเสื้อและชายขากางเกงให้เรียบ เขาเปลือยเท้าอยู่ตลอดเวลา รองเท้าถูกถอดวางไว้ในศาลาด้านหลัง หันปลายแหลมของรองเท้าเข้าหาม้านั่งยาว

ไม้เท้าเดินป่าอันนั้นของชุยตงซานวางพิงเสาศาลาไว้เอียงๆ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนที่เป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกร ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็เห็นแต่ดินโคลน คิดแค่ว่าเหมาะจะนำมาเผาเป็นเครื่องกระเบื้องหรือไม่ พอเป็นร้านผ้าห่อบุญ เดินไปที่ไหนก็อยากแต่จะหาเงิน ดูว่าจะสะสมเป็นกำลังทรัพย์ได้หรือไม่”

เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงสะท้อนใจเล็กน้อย “ปั้นดินจื่อจิน (ดินม่วงทองคือดินชนิดหนึ่งที่มีแร่เหล็กเจือปน เนื่องจากสิ่งเจือปนไม่เหมือนกัน ปริมาณที่แตกต่างทำให้สีของดินต่างกันไป อาจเป็นสีเหลือง แดง เป็นต้น) คือเรื่องใหญ่ การเปิดเตาเผาเครื่องกระเบื้องก็ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ในเรื่องใหญ่อีกที การขึ้นรูปและการเคลือบสีก่อนหน้านี้ ต่อให้จะมองดูแล้วสวยงามแค่ไหน แต่หากภายหลังเกิดข้อผิดพลาดในการเผาก็ถือว่าจบเห่ แค่เกิดช่องโหว่แม้เพียงเล็กน้อย ทุกอย่างที่ทำมาก็สูญเปล่า คนหลายสิบคน ความยากลำบากที่อย่างน้อยก็นานถึงครึ่งปีล้วนกลายเป็นว่าต้องเหนื่อยเปล่า ดังนั้นการเปิดเตาจึงเป็นเรื่องที่ผู้เฒ่าเหยาต้องจับตามองด้วยตัวเองมาโดยตลอด ต่อให้จะเป็นลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจอย่างหลิวเสี้ยนหยางก็ยังไม่ยอมปล่อยผ่าน ผู้เฒ่าเหยาจะนั่งอยู่บนม้านั่ง คอยเฝ้าไฟในเตาด้วยตัวเองทั้งคืน แต่ผู้เฒ่าเหยาก็มักจะบ่นอยู่เป็นประจำว่า เครื่องปั้นเข้าเตาไปแล้ว จะสำเร็จหรือไม่ จะดีหรือไม่ดี ดีหรือดียิ่งกว่าที่คิดไว้ ต่อให้จะจับตามองไฟอยู่ยังไง สุดท้ายก็ยังต้องขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิตอยู่ดี และในความเป็นจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ ส่วนใหญ่ล้วนกลายมาเป็นเศษซากของภูเขากระเบื้อง ตอนนั้นได้ยินว่าเป็นเพราะสิ่งของเครื่องใช้ของฮ่องเต้ยอมให้ขาดแคลนดีกว่าด้อยคุณภาพ หากขาดความหมายแม้แต่น้อยก็จะต้องทุบทิ้งทันที เวลานั้นรู้สึกว่าถ้อยคำโบร่ำโบราณของบ้านเกิดที่บอกว่าฟ้าสูงจักรพรรดิอยู่ห่างไกลอะไรนั่น ช่างตรงใจจริงๆ”

เฉินผิงอันหัวเราะ “แต่ว่าเวลานั้น รู้สึกว่ายอดบนสุดของต้นไหวโบราณอยู่สูงมาก ปลายยอดของภูเขาเครื่องกระเบื้องก็สูงเหมือนกัน ส่วนไกลหรือไม่ไกล คาดว่าต้องไปตัดไม้เผาถ่านบนภูเขาเท่านั้นถึงจะไกล อย่างน้อยที่สุดก็ไกลกว่าตอนเป็นเด็กที่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรอยู่มากนัก”

ชุยตงซานเหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา

ฟังมาถึงตรงนี้ ชุยตงซานก็พูดเสียงเบาว่า “ตอนเด็กถูกขังให้อ่านหนังสืออยู่ในหอเรือน สูงหรือไม่ ไม่รู้สึก ได้แต่มองผ่านหน้าต่างเล็กๆ ไปยังทิศไกล ตอนนั้นสิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือตำรา ข้าความทรงจำดี อ่านอะไรผ่านตาก็ล้วนไม่เคยลืม และอันที่จริงก็จำได้หมดแล้ว ตอนนั้นเลยสาบานว่าวันหน้าหากไปกราบไหว้อาจารย์ขอศึกษาต่อจะต้องหาอาจารย์ที่ความรู้ตื้นเขิน สะสมตำราไว้น้อย ไม่เจ้ากี้เจ้าการควบคุมผู้อื่น ภายหลังก็ได้เจอกับซิ่วไฉเฒ่าที่หิวโหยอยู่ในตรอก แรกเริ่มก็ไม่รู้สึกว่าความรู้ของซิ่วไฉเฒ่าเป็นอย่างไร ภายหลังถึงได้ค้นพบว่าที่แท้ตัวเองหาอาจารย์อย่างส่งเดช เพราะแท้จริงแล้วความรู้ของเขาค่อนข้างสูง ต่อจากนั้นมาก็ถูกซิ่วไฉเฒ่าที่ยังไม่ร่ำรวยมีชื่อเสียงพาท่องเที่ยวไปทั่วทิศ ต้องกินน้ำแกงประตูปิดอยู่หลายครั้ง แล้วก็ได้เจอกับบัณฑิตที่แท้จริงอยู่มากมาย รอจนกระทั่งซิ่วไฉเฒ่าบอกว่าจะเขียนตำราเล่มหนึ่ง ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองได้ออกเดินทางไปไกลมากๆ ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าพูดจาน่าเชื่อถือว่า หากตำราเล่มนี้ถูกจัดพิมพ์เมื่อไหร่ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องสามารถขายได้หนึ่งพันเล่ม! จะต้องขายออกไปถึงเมืองอื่นอย่างแน่นอน ตอนที่โหวกเหวกเอ่ยคำพูดเหล่านี้ ซิ่วไฉเฒ่าพูดเสียงดัง ข้าก็รู้แล้วว่าเขากำลังใจฝ่ออยู่”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “นางเลือกข้า ก็เพราะอาจารย์ฉี แรกเริ่มนั้นแทบไม่ได้เกี่ยวกับว่าข้าเฉินผิงอันเป็นคนอย่างไร เจ้าดึงดันทำหน้าหนาขอให้ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า อันที่จริงก็เหมือนกัน เป็นอาจารย์ผู้เฒ่าที่บีบให้เจ้ากราบไหว้อาจารย์ แรกเริ่มสุดนั้นไม่ได้เกี่ยวกับตัวของข้าเฉินผิงอันสักเท่าไร”

ชุยตงซานทำท่าจะพูด

เฉินผิงอันกลับโบกมือ พูดต่อว่า “แต่ต่อให้จะไม่เกี่ยวกันมากนัก แต่ก็ยังพอจะเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง เพราะในบางช่วงเวลา ข้าก็คือหนึ่งนั้น หมื่นหนึ่ง หรือถึงขั้นเป็นหนึ่งในหมื่นหมื่น น้อยมาก แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของหมื่นเรื่องราว เรื่องราวที่เป็นแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับข้า ถึงขั้นที่ว่าสำหรับข้าแล้วยังมีหนึ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้น คือทั้งหมดของเรื่องราวหลายๆ อย่าง ยกตัวอย่างเช่นหลังจากท่านพ่อข้าจากไป ท่านแม่ข้าก็ป่วย ข้าก็คือหนึ่งของทุกอย่าง หากข้าไม่ทำอะไรเลย ก็จะไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ ไม่เหลืออะไรเลย ประตูบ้านของกู้ช่านในปีนั้น ถ้วยข้าวบนโต๊ะอาหารบ้านเขาในปีนั้น ก็คือหนึ่งของทั้งหมด หากไม่มีการเปิดประตู บางทีเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงอาจจะเปลี่ยนวิธีเอาชีวิตรอดเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่เฉินผิงอันที่นั่งพูดอยู่กับเจ้าที่นี่ในวันนี้ ต้องไม่มีอยู่แล้วอย่างแน่นอน”

กล่าวมาถึงตรงนี้เฉินผิงอันก็กุมหมัดเบาๆ ทุบที่หัวใจตัวเอง “เมื่อพวกเรามีห่วงต่อโลกใบนี้ ก็จะใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก”

เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “แต่บังเอิญยิ่งนัก ไม่ว่าอะไรข้าก็กลัวไปหมด อย่างเดียวที่ไม่กลัวคือความลำบาก ข้าถึงขั้นรู้สึกว่ายิ่งลำบากมากเท่าไร ก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเองมีชีวิตอยู่บนโลกมากเท่านั้น ช่วยไม่ได้ หากไม่คิดอย่างนี้ชีวิตก็จะยิ่งทุกข์ทรมานมากกว่าเดิม”

เฉินผิงอันมองไปยังเด็กหนุ่มชุดขาว “มีเพียงเรื่องนี้ที่เจ้าสู้ข้าไม่ได้ ศิษย์เทียบอาจารย์ไม่ได้ แต่ว่าเรื่องแบบนี้อย่าเลียนแบบจะดีกว่า ไม่ใช่ไม่ดี แต่มันไม่จำเป็นสำหรับเจ้า”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ

เฉินผิงอันทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง สองมือหนุนกันสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย พูดเสียงเบาว่า “จู่ๆ เผยเฉียนก็เรียนวรยุทธ คงเป็นเพราะเฉาฉิงหล่างสินะ”

ชุยตงซานอืมรับหนึ่งที

เผยเฉียนเรียนวรยุทธแล้ว อาจารย์ของตนเดาออกมาได้เอง ส่วนเหตุใดถึงเรียนวรยุทธนั้น ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นหากข้าเจอนาง ก็จะบอกกับนางว่า นางสามารถคิดถึงผู้อาวุโสชุยได้ มีเพียงอย่างเดียวคือห้ามรู้สึกผิด หากเผยเฉียนตอบตกลง แต่กลับทำไม่ได้ แบบนั้นก็ยิ่งดี และข้าก็เชื่อว่านางต้องเป็นเช่นนนี้ เผยเฉียน เจ้า ข้า อันที่จริงพวกเราต่างก็เหมือนกัน หลักการเหตุผลนั้นรู้ดี ก็แค่ไม่อาจข้ามผ่านด่านในใจไปได้ก็เท่านั้น ดังนั้นเมื่อเติบใหญ่ ทุกครั้งที่กลับไปถึงบ้านเกิด ไม่ว่าจะเป็นความคิดถึง หรือว่ากำลังก้าวเดินอยู่ หัวใจก็ต้องเจ็บปวดเสมอ ยิ่งอายุมากก็ยิ่งมองไม่ออก สำหรับเผยเฉียนแล้ว เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วก็คือหลุมในใจของนาง หลุมในใจที่แคว้นหนันเยวี่ยน ผู้อาวุโสชุยสามารถพานางข้ามผ่านไปได้แล้ว ผู้อาวุโสชุยจากไปแล้ว หลุมในใจหลุมใหม่นางก็อาจข้ามผ่านไปไม่ได้ตลอดชีวิต แต่ข้ารู้สึกว่าหลุมในใจบางอย่างที่ติดค้างอยู่บนเส้นทางหัวใจไปตลอดชีวิต ลูบอย่างไรก็ไม่เรียบ ได้แต่แอบเดินอ้อมผ่านไป ก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดี”

สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยว่า “กลัวที่สุดก็คือข้ารู้สึกว่าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย รู้สึกว่ามโนธรมในใจสงบได้แล้ว รู้สึกว่าสมเหตุสมผลดีแล้ว แล้วก็รู้สึกแบบนั้นแบบนี้ต่อไปอีก”

ชุยตงซานหันหน้ามา อาจารย์ไม่พูดอะไรอีกแล้ว เพียงหลับตาลงราวกับว่าหลับไปแล้ว

ชุยตงซานจึงปิดปากเงียบ ความคิดล่องลอยไปไกล

มีเพียงเสียงน้ำไหลริกๆ ดุจคำว่าฉาน (瀺) ขุนเขาสูงชันอันตรายแต่ไร้คำพูด ดุจอธิบายคำว่าฉาน (巉)

จิตใจของชุยตงซานสงบลงได้บ้างแล้ว เขาจึงค่อยๆ ม่อยหลับไป

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ชุยตงซานพลันเอ่ยว่า “เห็นเป่าผิงน้อยกับเผยเฉียนเติบโตแล้ว อาจารย์ท่านเสียใจแค่ไหน ถ้าอย่างนั้นฉีจิ้งชุนเห็นอาจารย์เติบใหญ่แล้ว ก็คงจะปลาบปลื้มใจมากเท่านั้น”

เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร คล้ายกำลังหลับสนิท

ชุยตงซานไม่เอ่ยอะไรอีก เขาเงียบไปนาน แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหวเอ่ยเรียกหา “อาจารย์”

เฉินผิงอันตอบเสียงเบา “ข้าอยู่นี่”