ในเวลานี้ เสี่ยวอ้ายโม่กำลังเดินเที่ยวเล่นอยู่ภายในดินแดนต้องห้ามของนิกายหมื่นบุปผา
ก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่เข้าสู่สภาวะเก็บตัวและบรรดาอสูรต่างก็หมั่นฝึกวิชากันอย่างเต็มที่ ในขณะที่หานโม่ฉือเองก็อยู่ข้างกายฉินอวี้โม่แทบจะตลอดเวลา เสี่ยวอ้ายโม่จึงไม่มีอะไรทำและรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก
ในช่วงแรก นางยังสามารถอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวได้ ทว่าหลังจากเวลาผ่านไปพักหนึ่ง เด็กสาวก็เริ่มทนไม่ไหวจึงได้ออกไปเปิดหูเปิดตาในโลกภายนอก
คนส่วนใหญ่ในนิกายหมื่นบุปผาก็ง่วนอยู่กับการเตรียมความพร้อมสำหรับสงครามชี้ชะตา มีเพียงอวิ๋นซื่อเทียนผู้ซึ่งมีความแข็งแกร่งติดอยู่ในสภาวะคอขวดเท่านั้นที่มีเวลาว่าง
เมื่อทราบว่าเสี่ยวอ้ายโม่ก็รู้สึกเบื่อหน่ายเช่นกัน นางจึงแจ้งกับฮวาเยว่และพาเด็กน้อยเข้าไปในดินแดนต้องห้ามของนิกายหมื่นบุปผา
ภายในดินแดนต้องห้ามของนิกายหมื่นบุปผาก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอยู่เลย ทั้งสองไม่เผชิญกับอันตรายใดระหว่างขณะเดินชมไปรอบ ๆ และเป็นบรรยากาศที่สบายใจอย่างมาก
“ป้าอวิ๋น นั่นคืออะไรรึเจ้าคะ ?”
เสี่ยวอ้ายโม่สังเกตเห็นแม่น้ำสายเล็ก ๆ ไม่ไกลออกไปซึ่งดูเหมือนส่องประกายไปด้วยลำแสงหลากสีสัน นางจึงเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“การที่มีแสงเช่นนี้ปรากฏขึ้นมา บางทีมันอาจจะมีสมบัติอยู่ก็เป็นได้ เราเข้าไปดูกันใกล้ ๆ เถอะ”
อวิ๋นซื่อเทียนจับมือเล็ก ๆ ของเสี่ยวอ้ายโม่ไว้ข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของนางถือระเบิดพลังมายาเตรียมพร้อมไว้ หากเผชิญกับภยันตรายใด นางก็สามารถโยนระเบิดออกไปทำลายสิ่งเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที
เมื่อเข้าไปใกล้แม่น้ำมากขึ้น ทั้งสองก็เห็นว่าแสงหลากสีดังกล่าวเป็นประกายยิ่งกว่าเดิมราวกับมีบางอย่างอยู่ใต้น้ำ
“ว้าว ! งดงามมาก ๆ เลย !”
เสี่ยวอ้ายโม่อุทานด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้เห็นแสงหลากสีใกล้ ๆ และรีบเดินตรงเข้าไปที่ริมแม่น้ำทันทีเนื่องจากต้องการทราบให้ได้ว่ามันคือสิ่งใด
น่าเสียดายที่หลังจากค้นหาทั่วบริเวณแม่น้ำเป็นเวลานาน พวกนางก็ยังไม่พบสิ่งใดซึ่งทำให้เสี่ยวอ้ายโม่สงสัยใคร่รู้ยิ่งกว่าเดิม
“มีอะไรซ่อนอยู่กันนะ มันจึงได้ส่องแสงหลากสีเช่นนี้ออกมาได้…”
เด็กสาวเอียงศีรษะเล็กน้อยและใบหน้าเล็ก ๆ แสดงให้เห็นถึงความฉงนสงสัยอย่างชัดเจน
อวิ๋นซื่อเทียนก็แผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจรอบตัวทว่าไม่สามารถระบุได้ว่าสิ่งที่อยู่ใต้น้ำคือสิ่งใด มันส่องแสงหลากสีสันและมีกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกมาอย่างเลือนรางซึ่งดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
“เราลงไปดูกันเถอะเจ้าค่ะ”
หลังจากคิดหาทางอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเสี่ยวอ้ายโม่ก็กล่าวเสนอความคิดออกไป
“ป้าอวิ๋น ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ ข้าว่ายน้ำเป็นและจะไม่เป็นอะไรแน่”
นางกล่าวเพื่อให้อวิ๋นซื่อเทียนคลายกังวลและเน้นย้ำว่าตนสามารถว่ายน้ำได้
“เจ้านี่นะ ฉลาดพูดจริงเชียว”
อวิ๋นซื่อเทียนก็โยกศีรษะของเสี่ยวอ้ายโม่เบา ๆ นางเองก็ต้องการลงไปสำรวจดูให้แน่ชัดเช่นกัน สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือนางไม่สัมผัสถึงอันตรายใด ไม่เช่นนั้นนางคงจะรีบพาเสี่ยวอ้ายโม่หนีออกไปจากที่นี่แล้ว
“ข้าจะลงไปสำรวจดูก่อน ส่วนเจ้าก็เป็นเด็กดีและรอข้าอยู่ที่นี่ อย่าเดินเตร็ดเตร่ไปไหนล่ะ”
อวิ๋นซื่อเทียนกำชับกับเสี่ยวอ้ายโม่และตัดสินใจลงไปสำรวจใต้น้ำ
“เจ้าค่ะ ข้าจะเชื่อฟังแต่โดยดี”
ร่องรอยความผิดหวังปรากฏบนสีหน้าของเสี่ยวอ้ายโม่ทว่ารอยยิ้มกว้างเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว
‘แม้จะไม่ได้ลงไปเล่นสนุกในน้ำ ข้าก็จะได้รู้ว่ามีอะไรในอยู่ข้างในนั้น’
เสี่ยวอ้ายโม่นั่งลงที่ริมแม่น้ำและมองดูอวิ๋นซื่อเทียนที่กำลังดำลงไปยังจุดที่เป็นต้นทางของแสงหลากสี
ในเวลานี้อสูรมายาของเสี่ยวอ้ายโม่ก็นอนลงด้านหลังนางอย่างเงียบ ๆ โดยที่กลายเป็นที่พิงหลังของนาง
ระหว่างนี้ ผลไม้สีแดงหลายผลก็ปรากฏในมือของนางก่อนที่นางจะกัดกินมันด้วยท่าทางที่สบายใจ…
ทว่าเวลานี้ อวิ๋นซื่อเทียนก็ดำดิ่งลงไปจนถึงจุดที่ปล่อยแสงหลากสีออกมา
ทันใดนั้น เมื่อมีเสียงตึบดังขึ้น แสงเจ็ดสีก็เปลี่ยนกลายเป็นลำแสงเส้นใหญ่และพุ่งออกมาจากน้ำโดยที่เข้าไปปกคลุมทั่วทั้งร่างของเสี่ยวอ้ายโม่อย่างรวดเร็ว
อวิ๋นซื่อเทียนผู้ซึ่งอยู่ในน้ำก็สังเกตเห็นถึงสิ่งที่ผิดปกติและแหวกว่ายออกมาทันที เมื่อพบว่าทั้งร่างของเสี่ยวอ้ายโม่ถูกห้อมล้อมไปด้วยลำแสงหลากสีสัน ความกังวลก็ปรากฏบนหน้าของนางอย่างชัดเจน
“เสี่ยวอ้ายโม่ !”
อวิ๋นซื่อเทียนตรงเข้าไปหาเสี่ยวอ้ายโม่ทันที ทว่าเมื่อใกล้ถึงตัวหลานสาว นางก็ถูกพลังบางอย่างผลักจนกระเด็นถอยหลังกลับไป ม่านป้องกันบางอย่างก่อตัวขึ้นรอบลำแสงเหล่านั้นและป้องกันมิให้ผู้ใดเข้าไปใกล้ได้
“คิก ๆ ๆ ป้าอวิ๋นเจ้าคะ ตรงนี้สบายมาก ๆ เลย~”
เสียงหัวเราะชอบใจของเสี่ยวอ้ายโม่ดังขึ้นในหูของอวิ๋นซื่อเทียน แม้จะมองไม่เห็นสถานการณ์ของเด็กสาว อวิ๋นซื่อเทียนก็มั่นใจแล้วว่านางยังปลอดภัยดี
อวิ๋นซื่อเทียนถอนหายใจด้วยความโล่งและกล่าวเสียงดัง “เสี่ยวอ้ายโม่ เจ้าเป็นอะไรรึไม่ ?!”
“ป้าอวิ๋น ข้าสบายดีเจ้าค่ะ มันกำลังจั๊กจี้ข้า คิก ๆ ๆ”
เสี่ยวอ้ายโม่ตอบกลับก่อนหัวเราะคิกคักชอบใจอีกครั้ง
อวิ๋นซื่อเทียนก็สงสัยใคร่รู้ไม่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวอ้ายโม่ น่าเสียดายที่นางไม่สามารถมองทะลุผ่านลำแสงหลากสีเหล่านี้ได้
ภายในจุดที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยลำแสงหลากสีสัน ร่างเล็ก ๆ ของเสี่ยวอ้ายโม่กำลังถูกเหวี่ยงขึ้นลงโดยพลังบางอย่างราวกับเป็นชิงช้าก็ว่าได้ ส่งผลให้ร่างของนางลอยขึ้นลอยลงอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
“เจ้าเป็นใครกัน ? เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?”
หลังจากหัวเราะชอบใจครู่ใหญ่ เสี่ยวอ้ายโม่ก็เอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ นางสัมผัสได้ถึงพลังบริสุทธิ์อย่างเลือนรางและคาดเดาว่าน่าจะมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างอยู่ในลำแสงรอบตัว
ฟุ่บ !
จู่ ๆ ลำแสงก็ถาโถมตรงเข้ามาที่ร่างของเสี่ยวอ้ายโม่ซึ่งทำให้นางตกตะลึงทันที
อวิ๋นซื่อเทียนก็มองเห็นว่าลำแสงเจ็ดสีรอบตัวเสี่ยวอ้ายโม่กำลังหายไปอย่างรวดเร็วและร่างของเด็กสาวก็ปรากฏตรงหน้าอีกครั้งซึ่งทำให้นางรู้สึกโล่งใจอย่างที่สุด
หลังจากก้าวตรงเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าวและเห็นเสี่ยวอ้ายโม่เดินเซเล็กน้อยก่อนล้มลงบนพื้นและหมดสติไป สีหน้าของอวิ๋นซื่อเทียนก็ถอดสีทันที
นางอุ้มร่างเล็ก ๆ ขึ้นมาสำรวจดูและพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติภายในร่างของเสี่ยวอ้ายโม่ หลังจากตะโกนเรียกชื่อหลายคราทว่าไม่มีเสียงตอบรับ สีหน้าของอวิ๋นซื่อเทียนก็เหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เสี่ยวอ้ายโม่ เสี่ยวอ้ายโม่…”
ในขณะที่ยังคงเอ่ยเรียกชื่ออย่างต่อเนื่อง อวิ๋นซื่อเทียนก็อุ้มเสี่ยวอ้ายโม่ออกไปจากดินแดนต้องห้ามของนิกายหมื่นบุปผาและมุ่งหน้าตรงไปยังเรือนของฉินอวี้โม่
ทันทีที่ก้าวเข้าไป นางก็พบกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่เดินออกมาพอดิบพอดี
“อวี้โม่ โม่ฉือ มาดูนี่เร็ว ! ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวอ้ายโม่”
สีหน้าตื่นตระหนกกอปรกับน้ำเสียงกังวลทำให้สีหน้าของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเปลี่ยนไปทันที
ฉินอวี้โม่รับบุตรสาวมาจากอ้อมแขนของอวิ๋นซื่อเทียนและแผ่พลังวิญญาณเข้าไปสำรวจก่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นรึ ?”
หลังจากสำรวจและพบว่าเสี่ยวอ้ายโม่เพียงหมดสติไป ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา จากนั้นนางก็ยื่นมือไปแตะมือของอวิ๋นซื่อเทียนเพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็นลงก่อนเอ่ยถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
แม้ว่าเดิมทีสภาวะร่างกายของเสี่ยวอ้ายโม่จะแตกต่างไปจากคนธรรมดาทั่วไปอยู่เล็กน้อย ทว่าตอนนี้มันกลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ร่างกายของเสี่ยวอ้ายโม่ในตอนนี้เหมือนว่าจะพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปและสภาวะร่างกายของนางก็แตกต่างไปจากเดิม
จากนั้นอวิ๋นซื่อเทียนก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฉินอวี้โม่ได้ทราบและเอ่ยถาม “เสี่ยวอ้ายโม่จะเป็นอะไรรึ?”
สีหน้าของฉินอวี้โม่ทำให้อวิ๋นซื่อเทียนคาดเดาได้ว่าไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม การที่นางเป็นคนพาเสี่ยวอ้ายโม่ออกไปเที่ยวเล่นทว่าดูแลหลานสาวไม่ได้เช่นนี้ทำให้นางรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
“นี่คือโชคชะตาของเสี่ยวอ้ายโม่ นางโชคดีมากที่ค้นพบสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะร่างกายของนางได้ ตอนนี้นางกำลังดูดซับพลังของมันและหมดสติไป เมื่อตื่นขึ้นมา นางจะกลายเป็นผู้ครองกายาเจ็ดสีเพียงหนึ่งเดียวในทั้งสามภพ กายาเจ็ดสีของนางไม่เพียงแต่มีพลังมายาที่ทรงพลังหลากหลายชนิดเท่านั้น ทว่ายังบรรลุสภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับและช่วยให้อัตราความเร็วในการพัฒนาของนางมากกว่าคนธรรมดาถึงหลายสิบเท่า”
ฉินอวี้โม่กล่าวอธิบายเกี่ยวกับกายาเจ็ดสีซึ่งเป็นสภาวะร่างกายพิเศษที่นางเคยศึกษาจากตำราเมื่อไม่นานมานี้
มันเป็นสภาวะร่างกายที่ลึกลับยิ่งกว่ากายเทพมายาเสียอีก ไม่ว่าผู้ใดที่ได้ครอบครองกายาเจ็ดสีดังกล่าว ผู้นั้นก็จะถูกลิขิตให้กลายเป็นหนึ่งในยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าที่สุดและดึงดูดทุกสายตาในยุทธภพอย่างแท้จริง