สายตาดูแคลนของเหลิ่งเหมิงกวาดมองกองทัพศัตรูที่ล้อมอยู่รอบด้านทันใดนั้นเขาก็ถอนหายใจ แสงสีดำสายหนึ่งฉับพลันล้อมรอบร่างแล้วพุ่งเข้าไปยังสนามรบอีกฝั่งที่ยังอลหม่านอยู่

ทางด้านนั้นเผ่ายมโลกสิบกว่าตนจากเมืองหานสุ่ยกับเมืองเลี่ยเยี่ยนกำลังล้อมโจมตีผู้คุ้มกันเมืองเหลิ่งเยวี่ยเจ็ดแปดตนอยู่

แม้เผ่ายมโลกจากเมืองเหลิ่งเยวี่ยเหล่านี้ระดับพลังจะสูงกว่าศัตรูอยู่บ้าง แต่เห็นชัดว่าตกเป็นรอง

เหลิ่งเหมิงกวาดสายตาผ่านรถภูตค้างคาวห้าลำที่ตัวสั่นอยู่เบื้องล่างของสนามรบ ในดวงตาฉายแววตัดใจไม่ลง แต่จากนั้นเขาก็หันศีรษะจากไปทันที ทวนวงเดือนสีเงินในมือสะบัดครั้งหนึ่ง เงาทวนวงเดือนสีเงินมากมายแถบหนึ่งพุ่งเข้าใส่การต่อสู้เบื้องหน้าดุจพายุฝนกระหน่ำ แล้วฟันใส่เผ่ายมโลกจากเมืองหานสุ่ยกับเมืองเลี่ยเยี่ยนทั้งหลายอย่างบ้าคลั่ง

ทหารเผ่ายมโลกเหล่านี้ไม่ทันป้องกันแม้แต่น้อย พวกเขาครวญครางได้ครั้งเดียวก็ถูกบดขยี้กลายเป็นเศษเนื้อทันที

ส่วนเหลิ่งเหมิงร่างกายไม่ชะงักสักนิด ขยับไม่กี่หนก็พุ่งออกจากตรงกลางเหาะเร็วรี่ไปยังทิศหนึ่ง

ตอนนี้เองเสียงตวาดเหี้ยมเกรียมพลันดังขึ้นกลางอากาศ

“เหลิ่งเหมิง เจ้าอย่าคิดจะหนี!”

เงาสีฟ้าพุ่งเข้ามา หลานซวี่บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าที่เป็นหัวหน้าของเมืองหานสุ่ยผู้นั้นไม่รู้เหาะเข้ามาจากที่ใดขวางเบื้องหน้าเหลิ่งเหมิงเอาไว้

เหนือศีรษะเขามีมุกกลมที่ทอแสงสีฟ้าขนาดเท่ากำปั้นลอยอยู่ลูกหนึ่ง

ไม่เห็นบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าควบคุม แต่บนผิวมุกกลมกลับเปล่งแสงเรืองรองไปรอบทิศ หลังจากหมุนติ้วรอบหนึ่ง ไอหมอกสีฟ้ามากมายก็ทะลักออกมาจากด้านในแล้วกลายเป็นกลุ่มเมฆสีฟ้ารูปร่างเหมือนกรวยใหญ่ยักษ์หลายสิบจั้ง

ใจกลางกลุ่มเมฆยันต์ประหลาดเต้นอยู่เลือนราง เสียงแหวกอากาศฟึบๆ ดังสนั่น!

เส้นไหมแวววาวสีฟ้าหนาเท่านิ้วหัวแม่โป้งมากมายโผล่ออกมาจากด้านใน ก่อนจะกระหวัดพันกันก่อตัวเป็นหนวดสีฟ้าหนาสิบกว่าเส้นยื่นออกมาดุจสายฟ้าแลบ แล้วม้วนเข้ามาหาเหลิ่งเหมิง

ทวนวงเดือนสีเงินในมือเหลิ่งเหมิงโบกสะบัด เงาทวนวงเดือนเงาแล้วเงาเล่าวาดตัดกัน สำแดงพลังยิ่งใหญ่สะบั้นหนวดสีฟ้าทั้งหมดเป็นสองท่อนในครั้งเดียว

ทว่าหลานซวี่ไม่โกรธตรงกันข้ามกลับยินดี เขาเปลี่ยนเคล็ดวิชาที่มือทั้งสองข้างทันที

“ฟู่” “ฟู่” หลังจากเสียงดังขึ้นหลายหน!

หนวดสีฟ้าที่ขาดเหล่านั้นก็ระเบิดกลางท้องฟ้า

ชั่วพริบตาไอหมอกสีฟ้าก็ปกคลุมเต็มท้องนภาล้อมเหลิ่งเหมิงเอาไว้ตรงกลาง ร่างกายของเหลิ่งเหมิงถูกไอหมอกสีฟ้าม้วนรัดแล้วกระชากลงมา ฟึบ เขาถูกลากเข้ามาในกลุ่มเมฆสีฟ้าเหนือศีรษะของบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าอย่างไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานแม้แต่น้อย

บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าขมวดคิ้ว ในใจเกิดความไม่สบายใจขึ้นมาเลือนราง

อย่างไรเขาก็รู้จักเหลิ่งเหมิงดี อีกฝ่ายไม่น่าจะถูกจับได้โดยไร้เรี่ยวแรงต่อต้านเช่นนี้

แต่เมื่อคิดถึงพลังของเมฆเหมันต์ที่มุกเหมันต์สลัวเม็ดนี้ของเขาสร้างขี้น ในใจก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาสะบัดมือส่งเคล็ดวิชาหลายสายออกไป กลุ่มเมฆสีฟ้าหดตัวลงอย่างฉับพลัน กลายเป็นรูปร่างรังไหมสีฟ้ารังหนึ่ง

อึดใจต่อมาบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าก็กระตุ้นเคล็ดวิชาที่มือ พารังไหมสีฟ้าเหาะจากไปไกล

ในตอนนี้เอง เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้น เงาหลายร่างขยับตามกันมา

หญิงสาวชุดเงินกับเผ่ายมโลกระดับแก่นแท้สี่ถึงห้าตนจากเมืองเลี่ยเยี่ยนไม่รู้โผล่ออกมาจากที่ใดปรากฏตัวล้อมบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าไว้ตรงกลาง

“ฮูหยินอิ๋นถัง นี่เจ้าจะทำอะไร? รถภูตค้างคาวห้าตัวนั่นเจ้าไม่เอาแล้วหรือ?” บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าดวงตาฉายแววโกรธเกรี้ยววูบหนึ่งก็กลับมาสงบ จากนั้นเอ่ยถามอย่างเย็นชา

“ผู้อาวุโสหลานซวี่ ประโยคนี้ข้าควรเป็นผู้ถามมากกว่า! ถึงพวกเราตกลงกันก่อนแล้วว่าพวกเราเมืองเลี่ยเยี่ยนจะได้รถภูตค้างคาว ส่วนพวกเจ้าเมืองหานสุ่ยได้ของบรรณาการ

แต่นั่นก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่ามูลค่าของใกล้เคียงกัน แต่ฝั่งข้าเพิ่งได้ข่าวมาว่าของที่เจ้าเมืองเหลิ่งเยวี่ยส่งไปบรรณาการ นอกจากสมบัติประหลาดล้ำค่าไม่น้อย ยังมีอาวุธยมโลกแผ่นขาวเก้าภูตยมโลกด้วย ผู้อาวุโสหลานซวี่คิดจะฮุบทั้งหมดไว้คนเดียวจริงหรือ?” หญิงสาวชุดเงินเอ่ยอย่างนิ่งสงบคล้ายไม่ใส่ใจ

บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าแววตาดำทะมึนไปวูบหนึ่งก่อนจะกวาดมองรอบด้าน เผ่ายมโลกระดับแก่นแท้ของเมืองเลี่ยเยี่ยนทั้งหลายรอบตัวแต่ละตนพลังไม่อ่อนแอ ส่วนตนกับหญิงสาวชุดเงินผู้นี้พลังสูสีกัน เขาหัวเราะฮ่าๆ ออกมาทันที

“ฮูหยินอิ๋นถังเข้าใจผู้แซ่หลานผิดแล้ว ข้าแค่กลัวว่าเหลิ่งเหมิงผู้นี้จะอาศัยความชุลมุนหนีไปจึงจับเขาไว้ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าในของบรรณาการมีแผ่นขาวเก้าภูตยมโลกด้วย ข้าไม่รู้เรื่องสักนิด ย่อมพูดไม่ได้ว่าจะฮุบของบรรณาการไว้ผู้เดียว”

“กล่าวเช่นนี้หมายความว่าข้าสงสัยมากไปหรือ” หญิงสาวชุดเงินทำหน้าเหมือนประชด

“ถึงแม้จะมีอาวุธยมโลกจริงดังเช่นที่ฮูหยินเอ่ย เมืองเลี่ยเยี่ยนก็ยังได้รถภูตค้างคาวที่มูลค่าเกือบหนึ่งล้านก้อนหินยมโลกไปอยู่ดี เทียบกับอาวุธยมโลกชิ้นนี้ไม่ต่างกันสักเท่าใดกระมัง” บุรุษร่างยักษ์ชุดสีฟ้าแอบถอนหายใจอยู่ในใจแล้วเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ

“เรื่องนี้ย่อมหารือกันได้ อย่างไรสหายหลานก็ลงมือจับเหลิ่งเหมิงผู้นั้นมาได้แล้ว แต่ของบรรณการที่เหลือ พวกเราสองเมืองต้องแบ่งเท่าๆ กัน” หญิงสาวชุดเงินเอ่ยเรียบๆ

บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าพยักหน้า กำลังจะอ้าปากเอ่ยอะไรอีก ฉับพลันด้านในรังไหมสีฟ้าของเขาก็ส่งเสียงดัง “แควก” ผิวปริแตกเป็นรอยแยกทันที

บุรุษร่างใหญ่ตกตะลึง เหวี่ยงแขนคิดจะโยนรังไหมออกไป แต่สายไปแล้ว!

“บึ๊ม” เสียงดังสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง!

ทันใดนั้นรังไหมก็ระเบิด หมอกโลหิตผืนใหญ่คลี่ออกมาเร็วดุจสายฟ้าฟาด กลืนบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าเข้าไปด้านในอย่างสมบูรณ์ กลิ่นเหม็นคาวฟุ้งกระจาย

เหตุการณ์พลิกผันนี้เร็วดุจเหยี่ยวโฉบกระต่าย ทำให้เผ่ายมโลกทั้งหลายรวมถึงหญิงสาวชุดเงินสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ไม่รอพวกเขาตอบสนอง เงาร่างสีเลือดหลายร่างก็เหาะฟึบๆ ออกมาจากใจกลางหมอกโลหิต โถมเข้าใส่เผ่ายมโลกหลายตนของเมืองเลี่ยเยี่ยนที่อยู่ใกล้ๆ

พวกหญิงสาวชุดเงินรีบใช้เคล็ดวิชาทันที แสงหลากสีส่องสว่างขึ้นบนร่าง

ปังๆ !

หญิงสาวชุดเงินเพิ่งเรียกแสงคุ้มครองร่างออกมาก็ถูกเส้นไหมโลหิตที่พุ่งออกมาจากร่างเงาสีเลือดเหล่านั้นโจมตีอย่างรุนแรง พลังมหาศาลสายหนึ่งโถมเข้ามา กระแทกนางจนถอยหลังไปหลายก้าวอย่างไม่ควบคุมตนเองได้

ในตอนนี้เองหมอกโลหิตก็ปั่นป่วนรุนแรงกลายเป็นลำแสงสีเลือดสายหนึ่ง ฝ่าวงล้อมของพวกเผ่ายมโลกของหญิงสาวชุดเงินด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ แล้วเหาะไปทางตะวันออกอย่างรวดเร็ว

เงาสีเลือดหลายร่างนั่นพาเงาเลือนรางสายหนึ่งไล่ตามไป พริบตาเดียวก็ห่างหลายร้อยจั้ง

เมื่อพวกหญิงสาวชุดเงินตั้งหลักได้ ลำแสงสีเลือดก็กลายเป็นจุดแสงจุดหนึ่งหายลับขอบฟ้าไปแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น? เมื่อครู่นั่นอะไร?”

เผ่ายมโลกที่สวมหน้ากากตนนั้นข้างกายหญิงสาวชุดเงินถามเสียงขรึม

“วิชายมโลกโลหิต พวกเราดูถูกเหลิ่งเหมิงเกินไปแล้ว!” หญิงสาวสีหน้าย่ำแย่ไม่ปกติแล้วกัดฟันเอ่ยขึ้นมา

“ตอนนี้จะไล่ตามไปไหม?” เผ่ายมโลกระดับแก่นแท้ของเมืองเลี่ยเยี่ยนอีกตนหนึ่งถามหยั่งเชิง

“เหลิ่งเหมิงใช้ลำแสงยมโลกโลหิต วิชานี้อยู่ในสามอันดับแรกของทั้งเก้าแดนมืด ดูจากสภาพของเขาคงบรรลุถึงขั้นปลายแล้ว ตามไม่ทันแล้ว!” หญิงสาวชุดเงินเอ่ยอย่างชิงชัง

เผ่ายมโลกระดับแก่นแท้ตนอื่นของเมืองเลี่ยเยี่ยนมองหน้ากัน ชั่วขณะหนึ่งไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา

ในเวลาเดียวกันนั้น ห่างจากสนามรบที่พวกเหลิ่งเหมิงอยู่ไปทางตะวันออกร้อยลี้

แสงกระบี่สีเทาของหลิ่วหมิงโฉบผ่านท้องฟ้าหายลับขอบฟ้าไปอย่างไร้ร่องรอย

ลำแสงของเผ่ายมโลกร่างสูงกับร่างเตี้ยที่ตามอยู่ด้านหลังเขาไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ

ฝ่ายหนึ่งอยู่ด้านหน้า ฝ่ายหนึ่งอยู่ด้านหลัง พริบตาเดียวทั้งสองฝ่ายก็เหาะออกไปอีกหลายลี้ เวลานี้มองไม่เห็นเงาของเผ่ายมโลกตนอื่นแล้วอย่างสิ้นเชิง

เท้าของหลิ่วหมิงเหยียบอยู่บนกระบี่บินสีเทา ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองทั้งสองตนที่ไล่ตามมา ความเร็วเดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็วท่าทางเหมือนยากจะคงพลังเวทให้ต่อเนื่อง แต่แววตากลับค่อยๆ เย็นยะเยือกเสียดแทงกระดูก

อีกฝ่ายไล่ตามไม่ลดละเช่นนี้ เห็นชัดว่าหากสังหารตนไม่ได้คงไม่เลิกรา

เหาะไปได้อีกระยะหนึ่ง หลิ่วหมิงก็เห็นเงาหุบเขาขนาดเล็กโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งอยู่ด้านหน้าไกลๆ เขาคิดอะไรออกทันทีจึงเอี้ยวศีรษะกวาดสายตามองด้านหลัง

ห่างออกไปสิบกว่าลี้ เห็นลำแสงสองสายของเผ่ายมโลกร่างสูงกับร่างเตี้ยอยู่รางๆ

สายตาของหลิ่วหมิงทอประกายเย็นเยียบ กระบี่บินใต้เท้าขยับวูบเดียวก็เหาะไปทางหุบเขาน้อยแห่งนั้น

ร่างสูงกับร่างเตี้ยที่อยู่ไกลๆ ย่อมกระตุ้นลำแสงพยายามไล่ตามไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

หลังจากนั้นครู่หนึ่งหลิ่วหมิงก็ร่อนลงบนพื้นราบที่มีเศษหินระเกะระกะในหุบเขา

ระหว่างที่เขากวาดสายตามองรอบด้านนั่นเอง เสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบๆ” ก็ดังขึ้นจากบนท้องฟ้า

เผ่ายมโลกร่างสูงกับเผ่ายมโลกร่างเตี้ยที่เหยียบอยู่บนวงล้อเวทสีดำสนิทพุ่งวูบเดียวร่อนลงด้านหน้ากับด้านหลังของหลิ่วหมิง กระหนาบหลิ่วหมิงไว้ตรงกลาง

“ฮ่าๆ ทำไมไม่หนีแล้วเล่า? ปล่อยให้พวกเราพี่น้องเสียเวลามากมายเช่นนี้ ยังไม่มารับความตายแต่โดยดีอีก!” มือสองข้างของผู้ฝึกฝนร่างสูงยังคงถือฉาบสีดำไว้ข้างละใบ หัวเราะเหี้ยมเอ่ยขึ้น

ผู้ฝึกฝนร่างเตี้ยอีกตนหนึ่งเวลานี้ก็ยังเหยียบอยู่บนวงล้อเวทสีดำสนิท แต่ในใจค่อนข้างระมัดระวัง เมื่อเขาเห็นท่าทางนิ่งสงบของหลิ่วหมิง ในใจพลันรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาเลือนราง

แต่ยังไม่ทันครุ่นคิดให้ถ้วนถี่ เผ่ายมโลกร่างสูงอีกด้านหนึ่งก็ทนรอไม่ไหวลงมือโจมตีเสียแล้ว

สองมือของเขาประกบเข้าหากัน “ฉ่าง” เสียงกังวานดังขึ้นครั้งหนึ่ง ฉาบสีดำสองข้างตีกัน เกิดเป็นวงแหวนแสงสีดำวงแล้ววงเล่ากระเพื่อมออกมาจากใจกลางของฉาบ พวกมันก่อตัวเป็นดอกบัวสีดำสนิทที่แย้มกลีบบานดอกหนึ่ง แล้วสร้างคมดาบแสงสีดำนับร้อยออกมาจากตรงกลางฟันเข้าใส่หลิ่วหมิงที่อยู่ตรงข้าม

เผ่ายมโลกร่างเตี้ยเหลือบมองเผ่ายมโลกร่างสูง เขาลังเลเล็กน้อยแต่ในที่สุดก็ไม่พูดอะไร บนมือมีแสงสีดำม้วนตัวออกมา จากนั้นกระบองน้อยสีดำยาวหนึ่งฉื่อกว่าแท่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นแล้วฟาดรุนแรงเข้าใส่อากาศด้านหน้าร่างติดกันหลายหน เสียงระเบิดดังขึ้นหลายที พายหมุนสีดำสนิทดุจน้ำหมึกลูกแล้วลูกเล่าก่อตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า

เสียงครืนครางดังสนั่น สายลมสีดำเต็มท้องฟ้าโถมดุดันเข้าใส่หลิ่วหมิง

เสียง “ฟึบๆ” ดังลั่น!

คมดาบแสงสีดำพุ่งวูบเดียวทะลวงร่างหลิ่วหมิงจนเป็นรูหลายแห่ง

เผ่ายมโลกร่างสูงเพิ่งจะเผยสีหน้ายินดีออกมา ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที!

เพราะหลิ่วหมิงที่ถูกคมดาบแสงสีดำทะลวงร่างและถูกพายุหมุนสีดำที่ตามมาติดๆ กรีดเฉือน อึดใจต่อมากลับสลายหายไป เขาดันเป็นเพียงเงาลวงร่างหนึ่งเท่านั้น!

“แย่แล้ว!”

เผ่ายมโลกร่างสูงร้องตะโกนในใจ ฉาบทั้งสองใบในมือขยายใหญ่ประกบหุ้มตนเองไว้ตรงกลางกลายเป็นจานกลมสีดำใบหนึ่งอีกหนอย่างไม่เสียเวลาคิด แล้วหมุนติ้วคิดจะหนีไปจากที่เดิม

แต่สายไปแล้ว

อากาศว่างเปล่าเหนือร่างเขาฉับพลันมีเงาคนเลือนรางร่างหนึ่งปรากฏตัว

ต่อจากนั้นแสงสีเหลืองสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากมือของเงาคน กลางแสงสีเหลืองคือมุกกลมสีเหลืองเข้มขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่ง

แสงเรืองรองซัดสาดออกมาจากมุกกลม เงายอดเขาสีเหลืองขนาดมหึมาลูกหนึ่งปรากฏ วงแหวนแสงสีเหลืองพุ่งออกมาจากผิว จานกลมสีดำราวกับถูกตรึงไว้ ไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย!

พริบตาเดียวเงาภูเขาน้อยก็ขยายใหญ่หนึ่งเท่ากว่ากลางท้องฟ้าแล้วบดขยี้ลงมาพร้อมพลังมหาศาล