ตอนที่ 1072 ดินแดนหวนหลิง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

วันต่อมา ฉินเทียนก็พาเสี่ยวอ้ายโม่มุ่งหน้าไปยังดินแดนระดับสูงดั่งที่วางแผนไว้ก่อนหน้านี้เพื่อตามหาเสี่ยวอ้ายฉือและอวี๋เสี่ยวอวิ๋น

ในเวลานี้ พลังของฉินอวี้โม่ก็บรรลุขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดแล้วและความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือก็ติดอยู่ในสภาวะคอขวดซึ่งยังไม่มีสัญญาณของการพัฒนาในเร็ว ๆ นี้ ทั้งสองจึงมีเวลาว่างพอสมควร

ในระหว่างนี้ จอมยุทธ์ปีศาจก็นิ่งเงียบเป็นพิเศษโดยที่ไม่มีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนและไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าพวกเขากำลังวางแผนอะไรกันอยู่ สำนักเมฆาครามและขุมกำลังต่าง ๆ ก็เดินหน้าเตรียมความพร้อมสำหรับสงครามครั้งใหญ่เช่นกันและสถานการณ์ในดินแดนมหาเทพก็ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบไประยะหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ทุกคนตระหนักดีว่านี่อาจเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบสุขครั้งสุดท้ายก่อนที่สงครามจะอุบัติขึ้นมา

“ในเมื่อมีเวลาว่างเช่นนี้ เหตุใดเราไม่ลองกลับไปเยี่ยมชมที่ดินแดนหวนหลิงดูล่ะ ?”

จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวเสนอออกมา ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกนางฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามมานักต่อนักและตอนนี้ด้วยระดับความแข็งแกร่งของพวกนาง พวกนางก็สามารถเดินทางกลับไปเยือนดินแดนหวนหลิงได้อย่างง่ายดาย

ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ความแข็งแกร่งของพวกนางจะบรรลุถึงระดับปัจจุบันนี้ พวกนางก็ยังสามารถเข้าไปในดินแดนหวนหลิงโดยที่ไม่เผชิญกับการจำกัดของพลังใด ๆ

แน่นอนว่าหานโม่ฉือก็ติดตามฉินอวี้โม่ไปอย่างไม่ลังเล หลังจากแจ้งให้ทุกคนทราบ ทั้งสองก็แหวกเปิดห้วงมิติและภายในชั่วพริบตา ทั้งสองก็ปรากฏกายขึ้นมากลางอากาศเหนือดินแดนหวนหลิง

นับตั้งแต่ที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเดินทางออกไปจากดินแดนหวนหลิง เวลาของที่นั่นก็ผ่านมาหลายร้อยปีแล้วและดินแดนหวนหลิงในวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก คนรู้จักของพวกนางส่วนใหญ่เดินทางไปที่ดินแดนระดับสูงกว่าแล้วและมีเพียงไม่กี่คนที่มีความแข็งแกร่งในระดับปกติทั่วไปเท่านั้นที่ยังคงอาศัยอยู่ในดินแดนหวนหลิงต่อไป

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มุ่งหน้าตรงไปยังนครไป๋อวิ๋นซึ่งเป็นที่ตั้งของตระกูลฉินทันที

ทุกวันนี้ในดินแดนหวนหลิงมีจักรวรรดิเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้นและนั่นคือจักรวรรดิไป๋อวิ๋น ในฐานะเมืองหลวงของจักรวรรดิ นครไป๋อวิ๋นก็เต็มไปด้วยจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งและมีผู้คนสัญจรเข้าออกอย่างไม่หยุดหย่อนซึ่งเป็นบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาอย่างมาก

ทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์เล็กน้อยเพื่อปลอมตัวเป็นคนธรรมดาก่อนเดินเข้าในนครไป๋อวิ๋นอย่างกลมกลืน

ผู้ปกครองสูงสุดของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นในปัจจุบันนี้ยังคงเป็นสมาชิกของตระกูลฉี ทว่าเป็นบุคคลที่ฉินอวี้โม่ไม่รู้จักมาก่อน องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยผู้เป็นองค์จักรพรรดิในตอนนั้นได้ส่งต่อบัลลังก์ให้กับทายาทรุ่นหลังซึ่งมีนามว่า ‘ฉีเซิ่ง’ ก่อนเดินทางไปยังดินแดนระดับสูงพร้อมกับอดีตฮองเฮาเหวินย่า

ตระกูลฉินในจักรวรรดิไป๋อวิ๋นก็ยังดำรงอยู่เช่นเดิมและผู้นำตระกูลฉินคนปัจจุบันก็คือคนที่ฉินอวี้โม่เคยพบหน้ามาก่อน เขามีนามว่า ‘ฉินขุย’ ผู้มีความแข็งแกร่งในขอบเขตมายาบรรพชนและจัดเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับต้น ๆ ของนคร อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งโดยรวมของตระกูลฉินในปัจจุบันก็อ่อนแอกว่าในอดีตมากนักและตอนนี้พวกเขาเป็นขุมกำลังอันดับรั้งท้ายของนครไป๋อวิ๋น

นอกเหนือจากตระกูลฉิน ขั้วอำนาจของตระกูลใหญ่ตระกูลอื่น ๆ ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว พวกเขาล้วนเป็นตระกูลที่เพิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นใหม่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้และฉินอวี้โม่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

หลังจากเดินท่องไปรอบ ๆ ถนนหนทาง ทั้งสองก็ตัดสินใจไปเยือนจวนตระกูลฉิน

ทันทีที่เข้าใกล้ประตูจวน ทั้งสองก็มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังล้อมรอบผู้คนของตระกูลฉินและกำลังโต้เถียงเรื่องบางอย่าง

ในฟากของตระกูลฉิน ฉินขุย—ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันมีสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด เขาในตอนนี้มีรูปลักษณ์ที่ดูเหมือนกับบุรุษวัยกลางคนที่มีอายุประมาณสี่สิบหรือห้าสิบปี ทว่าแท้จริงแล้วเขามีอายุมากกว่าหลายร้อยปี

ด้านหลังเขาคือบุรุษหนุ่มที่มีรอยฟกช้ำตามลำตัวซึ่งนั่งนิ่งอยู่บนพื้นและมีใบหน้าที่ซีดเซียว ทว่าแววตาของเขาก็ดูหนักแน่นอย่างยิ่งและส่องประกายแสงที่น่าหวาดหวั่นออกมา

“ฉินขุย เจ้ายืนยันที่จะปกป้องเจ้าเด็กนี่รึ ?”

ผู้ที่กำลังยืนประจันหน้ากับเขาคือบุรุษที่ดูมีอายุในช่วงสามสิบปีและมีความแข็งแกร่งในระดับธรรมดาทั่วไปเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หลายคนที่อยู่ด้านหลังเขาแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าฉินขุยซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามิได้มีสถานะที่ไม่ธรรมดาเลย

“ฉีเฉิง เสี่ยวเยี่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ข้าฟังแล้ว เรื่องนี้เราต่างก็ทราบดีว่าใครถูกใครผิด เจ้าต้องการที่จะจับตัวเขาไป การที่เขาจะต่อต้านขัดขืนมันก็เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก ตระกูลฉินของเรามิใช่ตระกูลที่จะยอมให้ใครรังแกได้ง่าย ๆ !”

ฉินขุยขมวดคิ้วเล็กน้อยทว่ายังคงกล่าววาจาหนักแน่นและไม่คิดที่จะส่งตัวบุรุษหนุ่มข้างหลังตนให้กับอีกฝ่าย

บุรุษหนุ่มผู้นั้นมีนามว่า ‘ฉินเสี่ยวเยี่ย’ และเป็นอัจฉริยะอายุน้อยของตระกูลฉิน ด้วยวัยเพียงสิบสามปี ความแข็งแกร่งของเขากลับบรรลุถึงขอบเขตนภมายาแล้วและมีพรสวรรค์ที่ไม่ด้อยไปกว่าฉินอวี้โม่ในอดีตมากนัก

ส่วนฉีเฉิงผู้นี้เป็นน้องชายของฉีเซิ่ง—จักรพรรดิผู้ปกครองของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นในปัจจุบัน เขามีความแข็งแกร่งเพียงระดับธรรมดาทั่วไปทว่าได้รับการเอาอกเอาใจอย่างมาก นอกจากนี้ เขายังมีรสนิยมที่แปลกประหลาดซึ่งเป็นที่รู้กันไปทั่ว นั่นก็คือการที่เขาชื่นชอบบุรุษด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือบุรุษหนุ่มวัยเยาว์ที่มีรูปลักษณ์หล่อเหลา

ก่อนหน้านี้ฉินเสี่ยวเยี่ยก็เพียงออกไปทำภารกิจและพบกับฉีเฉิงโดยบังเอิญ ทว่าฉีเฉิงกลับต้องการที่จะจับตัวเขากลับไปที่เรือน

แน่นอนว่าฉินเสี่ยวเยี่ยย่อมปฏิเสธและหลบหนีกลับมาได้หลังจากผ่านการต่อสู้มาอย่างดุเดือด

ในเวลานี้ก็ไม่คิดเลยว่าฉีเฉิงจะยังไม่คิดยอมแพ้และนำคนบุกมาถึงตระกูลฉินเพื่อข่มขู่ให้ฉินขุยส่งตัวฉินเสี่ยวเยี่ยให้กับตน

“เหอะ ฉินขุย เจ้าคิดจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลราชวงศ์ของเรางั้นรึ !”

ฉีเฉิงแค่นเสียงเย็นชา ตอนนี้ตระกูลราชวงศ์ของพวกเขายิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิไป๋อวิ๋นและมีเพียงตระกูลใหญ่ไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่ทรงพลังมากพอที่จะเป็นภัยต่อพวกเขา เพราะเหตุนั้นคนในตระกูลราชวงศ์จึงวางตัวสูงส่งและโอหังเป็นอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจักรพรรดิฉีเซิ่งทราบถึงเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่น้องชายของเขาก่อขึ้นมา เขาก็ไม่เคยคิดสนใจแม้แต่น้อยและปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นต่อไปราวกับมีความสุขที่ได้เห็นความวุ่นวายเหล่านั้น

“ใช่ว่าข้าอยากจะมีปัญหากับตระกูลราชวงศ์ ทว่าตระกูลราชวงศ์ของเจ้าก็ล้ำเส้นเกินไป !”

สีหน้าของฉินขุยเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ และกล่าวตามความจริงว่าไม่ต้องการมีเรื่องบาดหมางกับตระกูลราชวงศ์ ตระกูลฉินในปัจจุบันไม่เหมือนที่เคยเป็นในอดีตอีกต่อไป แม้เขาในฐานะผู้นำตระกูลจะแข็งแกร่งพอสมควร เขาก็แทบไม่สามารถรักษาตำแหน่งของตระกูลฉินในนครไป๋อวิ๋นไว้ได้และไม่มีทางที่จะกอบกู้ความรุ่งโรจน์ในอดีตกลับคืนมา !

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินขุย ส่งตัวเจ้าหนุ่มน้อยนั่นมาเสียดี ๆ และข้าจะปล่อยให้ตระกูลฉินของเจ้าดำรงอยู่ต่อไป มิเช่นนั้น วันนี้ตระกูลฉินของพวกเจ้าจะถูกถอนรากถอนโคนออกจากนครไป๋อวิ๋นอย่างแน่นอน !”

ฉีเฉิงหัวเราะเย้ยหยันและกล่าววาจาข่มขู่อย่างชัดเจน

“ฝันไปเถอะ !”

ฉินขุยปฏิเสธอย่างไม่ลังเล การที่บุรุษผู้นี้ต้องการให้เขาส่งตัวฉินเสี่ยวเยี่ยไปให้แต่โดยดีนั้น นั่นเป็นสิ่งที่จะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน !

“ฉีเฉิง การที่เจ้าใช้สถานะของตนในการเปลี่ยนผิดเป็นถูกและก่อกรรมทำชั่วทุกสิ่งทุกอย่าง สักวันเจ้าจะต้องได้รับผลกรรมอย่างแน่นอน !”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลฉินกล่าวออกไปด้วยเสียงดังฟังชัดและปกป้องฉินเสี่ยวเยี่ยเช่นกัน

“หากท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่อยู่ที่นี่ ตระกูลราชวงศ์ของพวกเจ้าไม่มีทางอวดดีได้เช่นนี้แน่ !”

ผู้อาวุโสอีกคนอ้าปากและเอ่ยชื่อของฉินอวี้โม่ออกมา

“หุบปาก !”

ฉีเฉิงตวาดลั่นและกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งก้านธูป หากไม่ส่งตัวเขามา ในนครไป๋อวิ๋นแห่งนี้ก็จะไม่มีพื้นที่ให้กับตระกูลฉินอีก !”

ถึงอย่างไรเขาก็ทราบดีว่าพี่ชายของเขาไม่ชอบหน้าคนตระกูลฉินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงไม่กังวลว่าตนจะถูกลงโทษหากกวาดล้างตระกูลฉินไปเสีย

บุรุษหนุ่มของตระกูลฉินผู้นี้มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งนักและมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นหล่อเหลาซึ่งทำให้ฉีเฉิงชอบใจอย่างที่สุด

“ท่านผู้นำ ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย ข้ายอมไปเองขอรับ !”

จู่ ๆ ฉินเสี่ยวเยี่ยก็ลุกขึ้นและกล่าวกับฉินขุย

“ฉีเฉิงต้องการเพียงตัวข้า เพราะฉะนั้นข้าก็จะไปกับเขา พวกท่านไม่จำเป็นต้องนำตระกูลฉินไปเสี่ยงเพียงเพราะข้าคนเดียว !”

สีหน้าของเขาแสดงถึงความเรียบเฉยใจเย็นและความโศกเศร้าก็ฉายชัดในแววตา อย่างไรก็ตาม เขาตั้งใจแล้วว่าจะไม่ยอมเผาหยกงามรวมกับหินด้อยค่าอย่างแน่นอน

* 玉石俱焚 มีความหมายคือ นำหยกที่เป็นของสูงค่าไปเผารวมกับหินที่เป็นของด้อยค่า แน่นอนว่าย่อมทำให้หยกสูญเสียความงดงามหรือย่อยยับลงได้ ใช้เปรียบเทียบการไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี จนทำให้ของสูงค่าเสียหาย คล้ายกับภาษิตไทยคือ เอาทองไปลู่กระเบื้อง เอาพิมเสนไปแลกเกลือ

“เสี่ยวเยี่ย เจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดอีก ต่อให้ตระกูลฉินจะถึงคราวล่มสลาย เราก็จะปกป้องเจ้า ! ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่เคยกล่าวไว้ เราจะต้องไม่สูญเสียกำลังใจในการต่อสู้ ต่อให้ตระกูลราชวงศ์จะแข็งแกร่งมาก ตระกูลฉินของเราก็ไม่เกรงกลัว การที่ต้องอพยพออกจากนครไป๋อวิ๋นและไปตั้งรกรากถิ่นฐานที่อื่น มันก็มิใช่เรื่องใหญ่เลย !”

ฉินขุยส่ายศีรษะและปฏิเสธวาจาของฉินเสี่ยวเยี่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“หึ พวกเจ้าเอาแต่พูดถึงจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่อะไรนั่น ข้าว่าฉินอวี้โม่เป็นเพียงชื่อในอดีตเท่านั้น อัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนที่ลือกันว่าตายไปนานแล้ว มีเพียงตระกูลฉินของเจ้าเท่านั้นที่จะเทิดทูนนางราวกับเป็นเทพธิดา !”

ฉีเฉิงอดกล่าววาจาถากถางไม่ได้ เมื่อกล่าวถึงชื่อของฉินอวี้โม่ น้ำเสียงของเขาก็แสดงถึงความดูหมิ่นอย่างชัดเจน