บทที่ 566.4 กลับคืนสู่บ้านเกิด

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ชุยตงซานที่กำลังอ้าปากหาวรีบนั่งตัวตรงอย่างสำรวมทันที เขาเอ่ยว่า “เรื่องค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขามู่อี อันที่จริงยังมีจุดที่สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้อีก”

เหวยอวี่ซงตบโต๊ะ “ทุกอย่างล้วนอิงตามคำกล่าวของคุณชายเฉิน ตกลงกันตามนี้แหละ!”

ใบหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความจริงใจ ถามว่า “จะทำให้สำนักพีหมาวางตัวลำบากหรือไม่?”

เหวยอวี่ซงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชอบธรรม “พูดเป็นเล่น ในสำนักพีหมาแห่งนี้ ขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเงิน อย่าว่าแต่เจ้าสำนักจู๋เลย ต่อให้เป็นราชาสวรรค์ก็ยังบังคับข้าเหวยอวี่ซงไม่ได้!”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง แล้วจึงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

รอยยิ้มของเหวยอวี่ซงไม่แปรเปลี่ยน

เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจริงๆ ด้วย

……

เหวยอวี่ซงจากมาพร้อมกับเยี่ยนซู่ ผังซานหลิ่ง

เหวยอวี่ซงยืนกรานจะพูดคุยเรื่องในวันวานกับสหายนักพรตชุยให้จงได้ ชุยตงซานจึงได้แต่ติดตามไปด้วย

ตอนนี้จึงเหลือแค่เฉินผิงอันกับผังหลันซี ผังหลันซีนั่งลงแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านเฉิน ผู้อาวุโสชุยท่านนี้เป็นลูกศิษย์ของท่านจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าจะรู้สึกว่าไม่เหมือนก็เป็นเรื่องปกติ”

ผังหลันซีทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเปิดปากขอร้องคนอื่นแล้วรู้สึกลำบากใจ ถ้าอย่างนั้นก็…”

เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก เพียงยกสองมือขึ้นทำท่าประกอบ

ผังหลันซีเข้าใจทันที คือภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็ม

ผังหลันซีรีบร้อนทะยานลมจากไป แล้วย้อนกลับมาอย่างว่องไวอีกครั้ง กลับมาพร้อมกล่องไม้สองกล่องที่วางลงบนโต๊ะ

นอกจากนี้ยังมีจดหมายฉบับหนึ่งที่ส่งมาจากนครเหนือเมฆด้วย คนรับจดหมายคือเขาผังหลันซี ซึ่งขอให้ส่งมอบต่อไปยัง ‘เฉินคนดี’

เฉินผิงอันเก็บจดหมายมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้มีความมั่นใจที่จะพูดแล้วใช่ไหม?”

ผังหลันซีพูดเสียงเบา “ท่านเฉิน ข้าค่อนข้างเป็นกังวล”

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ

ผังหลันซีคือเด็กหนุ่มที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการฝึกตน ความกลัดกลุ้มของเด็กหนุ่มบนภูเขาไม่ได้อยู่ที่การฝึกตน ถ้าอย่างนั้นก็อยู่แค่ที่ความรุ่งโรจน์และเสื่อมถอยของสำนักเท่านั้น ทว่าสำนักพีหมายังไม่มีภัยแฝงเช่นนี้อยู่ หรือควรจะพูดว่าพวกเขาเจอกับอันตรายที่ซ่อนแฝงมาโดยตลอดอยู่แล้ว นี่กลับกลายเป็นว่าทำให้ผู้ฝึกตนทุกคนเคยชินกับมันไปเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มีแต่เรื่องนั้นแล้ว

เฉินผิงอันจึงยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าลองเล่ามาก่อน แล้วเดี๋ยวข้าค่อยช่วยวิเคราะห์ให้เจ้า”

ผังหลันซีจึงเล่าเรื่องพวกนั้น อันที่จริงก็ไม่มีเรื่องอะไรมาก

เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มกำลังตกอยู่ในห้วงรัก บางครั้งความคิดก็วกไปวนมา ไม่ได้มีเพียงเด็กสาวเท่านั้นที่มีความคิดวกวนร้อยพันตลบ

เฉินผิงอันฟังแล้วก็ครุ่นคิดตาม เขากลั้นยิ้ม เอ่ยว่า “วางใจเถอะ แม่นางที่เจ้าชอบไม่มีทางโลเลหันไปชอบชุยตงซานได้หรอก อีกอย่างชุยตงซานเองก็ไม่มีทางเห็นแม่นางที่เจ้ารักอยู่ในสายตา”

ผังหลันซีหน้าแดงก่ำ พูดอย่างเดือดดาลว่า “ท่านเฉิน ข้าจะโกรธแล้วนะ อะไรที่บอกว่าชุยตงซานไม่มีทางเห็นนางอยู่ในสายตา?!”

เหตุใดท่านเฉินถึงพูดจาไม่เข้าหูอย่างนี้นะ!

เมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา

เฉินผิงอันกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

ผังหลันซีคิดแล้วก็เกาหัว รู้สึกเขินอายเล็กน้อย

ปมในใจนั้นก็หายไปด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ ส่วนลึกในใจของเด็กหนุ่มยังมีความขุ่นเคืองอยู่อีกเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองจะต้องฝึกตนให้ดีๆ จะต้องให้แม่นางของตัวเองรู้สึกว่าการที่นางชอบตนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว นางไม่ได้มองคนผิด และจะไม่มีทางเสียใจไปตลอดชีวิต

เฉินผิงอันถึงได้กล่าวว่า “แม่นางคนนั้นชอบเจ้า ไม่ใช่เพราะเจ้าผังหลันซีคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตน แต่หากเจ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่แท้จริง ถ้าอย่างนั้นแม่นางที่เจ้าชื่นชอบก็จะยิ่งดีใจ ดีใจแทนเจ้า และตัวนางเองก็ดีใจด้วย”

ผังหลันซีถามเสียงเบา “เป็นแบบนี้หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นแบบนี้แหละ เรื่องนี้ข้ามั่นใจยิ่งกว่าอะไร”

ผังหลันซีฟุบตัวลงบนโต๊ะ สายตาเหม่อลอย

เฉินผิงอันเปิดกล่องไม้ หยิบเอาภาพเทพหญิงม้วนหนึ่งมาคลี่ลงบนโต๊ะ ไล่สายตามองอย่างละเอียด ไม่เสียทีที่เป็นผลงานแห่งความภาคภูมิใจของผังซานหลิ่ง

ผังหลันซีพลันถามขึ้นว่า “ท่านเฉิน คงจะมีสตรีมากมายมาชื่นชอบท่านกระมัง?”

เฉินผิงอันเก็บภาพเทพหญิงมาช้าๆ ส่ายหน้าตอบ “ไม่มีสักหน่อย”

ผังหลันซีก็ส่ายหน้า “ข้าไม่เชื่อ”

เฉินผิงอันเปิดจดหมายของสวีซิ่งจิ่ว เนื้อความในจดหมายกระชับเรียบง่าย บอกเล่าสถานการณ์ช่วงที่ผ่านมาของนครเหนือเมฆให้ฟัง แล้วก็บอกว่าตัวเองได้เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว แค่รอให้ท่านหลิวถามกระบี่สำเร็จ เขาก็จะไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุยอีกครั้ง ครั้งนี้จะเป็นการลงเขาไปฝึกประสบการณ์ด้วย ขึ้นเหนือไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุย ลงใต้มาถึงชายหาดโครงกระดูก

เฉินผิงอันอ่านจดหมายแล้วก็เอ่ยว่า “ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง ก็คือคนที่เขียนจดหมายนี่ สวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆ วันหน้าเขาอาจจะมาท่องเที่ยวที่นี่ หากตอนนั้นเจ้าว่างก็ช่วยข้ารับรองเขาสักหน่อย แต่หากยุ่งก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งสมาธิมาสนใจ นี่ไม่ใช่ถ้อยคำที่เอ่ยตามมารยาทอะไร ไม่ใช่ว่าเป็นเพื่อนของข้าแล้วจะต้องเป็นเพื่อนของเจ้าด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องฝืนใจตัวเอง”

ผังหลันซีพยักหน้าตอบรับ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าจะส่งจดหมายไปที่นครเหนือเมฆ นัดหมายกับเขาให้เรียบร้อยก่อน จะได้เป็นสหายกันหรือไม่ ถึงเวลานั้นพบหน้ากันแล้วค่อยว่ากันอีกที”

สหายของท่านเฉินต้องมีค่าพอให้ผูกมิตรอย่างแน่นอน

ก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่ท่านเฉินพูดคุยเรื่องของสวนน้ำค้างวสันต์กับศิษย์พี่เหวย แม้ว่าผังหลันซีจะไม่ถนัดเรื่องกิจธุระในสำนัก แต่สำนักพีหมาก็มีผู้ฝึกตนอยู่เพียงเท่านี้ เขาจึงพอจะเข้าใจท่าทีที่สำนักพีหมามีต่อสวนน้ำค้างวสันต์อยู่บ้าง ไม่ถึงขั้นดูแคลน แต่ไม่อาจเรียกว่าเป็นสหายได้อย่างแน่นอน แค่มีการไปมาหาสู่ในด้านการค้าเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรสวนน้ำค้างวสันต์ก็มีกลิ่นเหม็นสาบเหรียญทองแดงฉุนเกินไป ส่วนผู้ฝึกตนสำนักพีหมาก็ไม่ค่อยชอบเรื่องพวกนี้ ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้สวนน้ำค้างวสันต์จึงอยากแสดงความนอบน้อมกตัญญูต่อเหวยอวี่ซงมาโดยตลอด แต่กลับไม่กล้าแสดงออกโจ่งแจ้งเกินไปนัก นอกจากนี้ซ่งหลันเฉียวผู้ดูแลเรือข้ามฟากของสวนน้ำค้างวสันต์ก็พูดจาไม่ค่อยคล่องแคล่วนักยามอยู่กับผู้ฝึกตนก่อกำเนิดอย่างเหวยอวี่ซง เพราะถึงอย่างไรเหวยอวี่ซงที่อยู่ในสำนักพีหมาก็มีฐานะสูงส่ง มีชื่อเสียงว่าเป็นคนที่พูดคุยด้วยยาก

แต่เมื่อท่านเฉินเปิดปากพูด บอกว่าต้องการให้กองกำลังของทั้งสามฝ่ายร่วมมือกันทำการค้าข้ามทวีป ผังหลันซีกลับสังเกตเห็นว่าศิษย์พี่เหวยยอมอ่อนข้อให้ตั้งแต่แรก ไม่มีท่าทีว่าจะปฏิเสธแม้แต่น้อย

ผังหลันซีรู้สึกว่านี่ก็เป็นจุดที่ตนจำเป็นต้องเรียนรู้จากท่านเฉินเหมือนกัน

การวางตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่นบนโลก เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่มาก

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้ายังมัวอึ้งอยู่ทำไม เอาเรื่องส่วนตัวมาเบียดบังส่วนรวมดูสักครั้ง ลงภูเขาไปพบนางสิ”

ผังหลันซีลุกขึ้นยืน “หากรู้แต่แรกคงจะขอภาพเทพหญิงมาเพิ่มให้ท่านเฉินอีกสักชุดแล้ว”

แล้วเด็กหนุ่มก็จากไป

เฉินผิงอันนั่งอยู่เพียงลำพัง

ผ่านไปนาน ชุยตงซานที่ชายแขนเสื้อสองข้างส่ายสะบัดก็เดินเข้ามาในลานบ้าน

พอเห็นว่าบนโต๊ะด้านหน้าอาจารย์ของตัวเองมีอิฐเขียวก้อนหนึ่งวางอยู่

ชุยตงซานก็ตระหนกลนเล็กน้อย เขารีบหยุดเดิน ยืนอยู่ที่เดิมพร้อมเอ่ยว่า “อาจารย์ เรื่องที่เผยเฉียนฝึกวรยุทธ ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้เรื่องด้วยแม้แต่น้อยนะ เป็นจูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อสามคนนั้นที่รู้เรื่องแล้วไม่รายงาน ปิดบังอาจารย์เอาไว้ ไม่เกี่ยวข้องกับศิษย์แม้แต่นิดเดียวเลย”

เฉินผิงอันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา ข้าไม่เอาเรื่องเจ้าหรอก”

ชุยตงซานคลี่ยิ้มดุจบุปผาผลิบานทันใด “หากอาจารย์อยากสั่งสอนพวกเขาสามคน ศิษย์สามารถช่วยออกแรงได้”

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เขาชี้ไปยังอิฐเขียวของอารามเต๋าที่ยังไม่ถูกหลอมชะตาน้ำและปณิธานเต๋าให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในศาลภูเขา แล้วเอ่ยว่า “อิฐเขียวชนิดนี้ ข้ามีอยู่ทั้งหมดสามสิบหกก้อน วันหน้าคิดว่าจะเอาไปปูบนพื้นของภูเขาลั่วพั่ว ให้คนทั้งหกได้ฝึกวรยุทธ ข้า เผยเฉียน จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิง หลูป๋ายเซี่ยง เฉินยวนจี”

ชุยตงซานหน้าม่อยเหมือนบิดาตาย เขายื่นมือขวาออกมา และชูนิ้วข้างหนึ่งของมือข้างซ้ายขึ้น พูดโอดครวญว่า “อาจารย์ ข้าล่ะๆ? ข้าคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์นะ!”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ส่วนที่เป็นของข้า มอบให้เจ้า”

ชุยตงซานถึงได้ยื่นนิ้วสองนิ้วมาเช็ดหัวตา ยิ้มกล่าวว่า “น้ำตาแห่งความเสียใจกลายเป็นน้ำตาแห่งความยินดี ผลงานของอาจารย์เหมือนมีเทพช่วยเสียจริง”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองเขา

ชุยตงซานจึงนั่งลงแต่โดยดี

เฉินผิงอันผลักอิฐเขียวก้อนนั้นมาให้ “เจ้าเขียนตัวอักษรได้สวยงาม เมื่อครู่ข้านึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก็เลยอยากให้เจ้าเขียนถ้อยคำที่เป็นมงคลน่ายินดีสลักลงบนหน้าหลังของอิฐเขียว ถึงเวลานั้นพวกเราสองคนก็แอบเอาก้อนอิฐไปปูพื้น ไม่ให้คนอื่นเห็น ไม่แน่ว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่งถูกใครไปพบเข้าโดยบังเอิญ ก็จะกลายเป็นความน่าประหลาดใจเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่รู้สึกว่าน่าสนุกก็เท่านั้น”

ชุยตงซานพยักหน้ารัวๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก เขานั่งขัดสมาธิบนม้านั่งหิน โน้มตัวไปเบื้องหน้า ฟุบตัวลงบนโต๊ะ มือสองข้างกดอยู่บนอิฐเขียว พูดเสียงเบาว่า “อาจารย์ พวกเราสองคนมาปรึกษากันดีๆ ก่อน ทั้งสามสิบหกประโยคนี้ จะต้องเขียนให้ฟ้าดินสะเทือน ผีร่ำไห้เทพตะลึงไปเลย”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าคิดว่าพวกเราแอบเขียนประโยคต่างๆ ให้กับทุกคนบนภูเขาลั่วพั่วลงไปบนก้อนหิน ได้หรือไม่? ส่วนก้อนอื่นๆ ที่เหลือ เจ้าก็สามารถยกเอาถ้อยคำของอริยะปราชญ์ในตำรามาได้”

ชุยตงซานพูดอย่างอารมณ์ดี “เรื่องนี้ข้าเชี่ยวชาญเลยล่ะ!”

เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ชอบใจรึ!”

ชุยตงซานพูดอย่างขลาดๆ “อาจารย์พูดเรื่องตลกได้เก่งกาจถึงเพียงนี้เลย”

เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง “ลมและน้ำของภูเขาลั่วพั่วถูกเจ้าพาเสียจริงๆ นั่นแหละ”

ชุยตงซานชูสองมือขึ้น พูดเลียนแบบศิษย์พี่หญิงใหญ่ของตน “ฟ้าดินเป็นพยาน!”

……

คนทั้งสองนั่งเรือข้ามทวีปของสำนักพีหมา เริ่มเดินทางกลับบ้านเกิดอย่างจริงจัง

นอกจากการฝึกตนและฝึกวิชาหมัดแล้ว เฉินผิงอันยังเป็นฝ่ายไปหาชุยตงซานที่อยู่ห้องด้านข้างด้วยตัวเองเพื่อถามปัญหาข้อหนึ่ง

“ความรู้ของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่ยินดีอธิบายความรู้ในด้านการฝึกบำเพ็ญตน การศึกษาเล่าเรียน การทำความดีให้ละเอียดสักหน่อย ?อีกทั้งยังไม่ต้องให้วุ่นวายขนาดนั้น เพราะอย่างน้อยที่สุดในลัทธิขงจื๊อเองก็ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ทุกคนพากันพูดไปหลากหลาย ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่ก็เหมือนว่าทะเลาะกันอยู่ดี”

ชุยตงซานไม่ได้เอ่ยประจบยกยออย่างที่หาได้ยาก แต่ถามย้อนกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็นเพราะรู้สึกว่าความรู้มากมายซับซ้อนอีกทั้งยังสูงส่งเกินเอื้อมเกินไป กลับกลายเป็นว่าทำให้คนบนโลกไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ

ชุยตงซานส่ายหน้า “ความรู้บางอย่างก็ควรจะสูงสักหน่อย การที่มนุษย์แตกต่างไปจากพืชพรรณหรือสัตว์ทั้งหลาย แตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณทั้งหมด ก็เพราะอาศัยความรู้ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะพวกนี้ ความรู้ที่เอามาแล้วใช้ได้เลย จำเป็นต้องมี จำเป็นต้องอธิบายให้ได้อย่างชัดเจน กระจ่างแจ้ง เป็นกฎเป็นเกณฑ์ แต่หากในจุดสูงไม่มีความรู้ให้คนไขว่คว้าแสวงหา อยากที่จะเดินไปดูให้เห็นสักครั้งโดยไม่กริ่งเกรงความยากลำบาก ถ้าอย่างนั้นก็ผิดแล้ว”

เฉินผิงอันเงียบงันไปนาน สุดท้ายก็พยักหน้าเอ่ยว่า “มีเหตุผล”

ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้าว่า “กลับมาพูดคำถามแรกเริ่มสุดของอาจารย์กันอีกครั้ง”

เฉินผิงอันกลับเอ่ยว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะลองคิดดูเองอีกครั้ง พวกเรามาเล่นหมากล้อมกันไหม?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “วิชาหมากล้อมของอาจารย์สูงส่งทะลุชั้นเมฆ หวนกลับคืนสู่ความเป็นจริง ยังต้องให้คนที่มีฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกอย่างศิษย์เป็นคนสอนอีกหรือ? ละอายใจๆ มิกล้าๆ”

พูดไปพลางหยิบกระดานหมากและโถเก็บเม็ดหมากออกมาด้วย

เฉินผิงอันตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “วันหน้าเจ้าอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็พูดให้น้อยหน่อย”

ชุยตงซานยกชายแขนเสื้อขึ้นข้างหนึ่ง ยื่นมือมาคีบเม็ดหมากหนึ่งเม็ด พอเม็ดหมากลอยอยู่กลางอากาศ เขาก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ไม่พูดไม่กล่าว ศิษย์หรือจะกล้าเปิดปากพูด”

เฉินผิงอันเองก็คีบหมากขึ้นมาเม็ดหนึ่ง

ก่อนที่ชุยตงซานจะนั่งลงตรงหน้ากระดานหมาก บุคลิกลักษณะของทั้งร่างเขาก็เปลี่ยนไป เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ศิษย์ขอบังอาจยอมให้อาจารย์ก่อนสิบสองเม็ดตรงสี่มุม จุดตรงกลาง บวกกับตรงสามเส้น”

เฉินผิงอันมองชุยตงซานที่มีสีหน้าจริงจังแวบหนึ่ง แล้วใส่เม็ดหมากกลับลงไปในโถเงียบๆ ลุกขึ้นแล้วเดินจากไปทันที