ตอนที่ 2,389 : มู่อีอี
“กลับมาก็ดีแล้ว…เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว”
เมื่อเห็นศิษย์ปิดสำนักของตัวกลับมาโดยสวัสดิภาพ ผู้เฒ่าพยากรณ์ก็เผยยิ้มหายากออกมาอีกครั้ง ใบหน้ายังเผยความโล่งใจออกมาเปราะหนึ่ง
มันย่อมรู้ดีว่าลูกศิษย์ของมันพึ่งไปทำอะไรที่เผ่ามังกรมา
แน่นอนว่าสิ่งที่ลูกศิษย์ของมันกระทำ นับว่าบรรเทาโทสะในใจของมันได้ส่วนหนึ่ง แต่ทว่ามันเองก็รู้ว่าทำแบบนั้นมันอันตรายมากแค่ไหน…
ต้องทราบด้วยว่านั่นคือเผ่ามังกร! 1 ใน 2 เผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบน!!
ทำให้พอมันเห็นศิษย์ตัวเองกลับมาโดยปลอดภัย ก็อดโล่งใจไปไม่ได้ ยังมีความสุขความยินดีนัก
“อีอี…นี่คือ…”
ในขณะที่ผู้เฒ่าพยากรณ์กำลังจะแนะนำศิษย์ตัวเองให้รู้จักกับต้วนหลิงเทียน ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ อันเป็นผู้นำของ 7 ทวาราเที่ยงแท้นั้น…
“ต้วนหลิงเทียน!”
ศิษย์ปิดสำนักของผู้เฒ่าพยากรณ์ ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์ มู่อีอี พลันมองจ้องไปยังร่างต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวเรียกชื่อต้วนหลิงเทียนออกมาตรงๆ เห็นได้ชัดว่านางเองก็รู้จักต้วนหลิงเทียนอยู่ก่อนแล้ว
“นี่มัน…อะไรกันแน่?”
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตอบสนองคำทักทายของมู่อีอี เพราะตอนนี้จิตใจเขาไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวด้วยซ้ำ
ทันทีที่มู่อีอีปรากฏตัว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุ้นเคยหนึ่งจากร่างของนาง….
แม้กลิ่นอายดังกล่าวจะเจือจางมาก แต่เขาก็สัมผัสถึงมันได้ชัดเจน…
เพียงแค่ว่าในชั่วขณะหนึ่งเขานึกไม่ออกว่าเคยสัมผัสกลิ่นอายที่ว่านี้มากจากที่ไหน
‘นอกจากนั้น…ในร่างของนางยังมีอีก 8 กลิ่นอายที่แตกต่างกันผสมปนเปอยู่ ผู้สืบทอดคววามลับสวรรค์คนนี้นางเป็นตัวอะไรกันแน่ ไฉนร่างกายนางไม่เพียงมีอีก 9 กลิ่นอายที่แตกต่างกันผสมปนเปอยู่ กระทั่ง 1 ในนั้นข้ายังรู้สึกคุ้นๆนัก…’
ในฐานะที่พลังฝึกปรือบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ จิตวิญญาณ ของต้วนหลิงเทียนแม้จะทรงพลังเทียบเซียนอมตะเสเพลไม่ได้ แต่ก็ยังเหนือกว่าผู้สืบทอดความลับสวรรค์นัก เช่นนั้นหลังเขาแผ่สำนึกเทวะออกไปก็เป็นเรื่องงายที่จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทั้ง 10 บนร่างผู้สืบทอดความลับสวรรค์
ในบรรดากลิ่นอายทั้ง 10 มี 1 ที่เป็นของนาง ส่วนอีก 9 นั้นเป็นกลิ่นอายที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง ทว่าพวกมันก็แข็งแกร่งไม่น้อย อีกทั้งยังวนเวียนอยู่ในรูปแบบดาวล้อมเดือน ทั้งหมดเสมือนกำลังหนุนเสริมพลังของผู้สืบทอดความลับสวรรค์
‘สถานการณ์ประหลาดในร่างของนาง…ไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนบ่มเพาะของนางแน่’
ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดาในใจ
“พี่ใหญ่หลิงเทียน ศิษย์พี่กำลังทักท่านแน่ะ…”
ตอนนี้เองหานเฉวี่ยไน่ที่อยู่ด้านข้างพลันเดินไปกระตุกแขนเสื้อต้วนหลิงเทียนเล็กน้อย เพื่อเรียกสติต้วนหลิงเทียนที่คล้ายจะเหม่อลอยไปไหนไม่รู้
และในขณะที่หานเฉวี่ยไน่มองไปยังผู้สืบทอดความลับสวรรค์ ในแววตางามดั่งสารทฤดูของนางก็แฝงไว้ด้วยความเคารพนับถือ ราวกับนางยกมู่อีอีเป็นแบบอย่างของนาง
หลังได้รับการสะกิดจากหานเฉวี่ยไน่ ต้วนหลิงเทียนก็ฟื้นความรู้สึกกลับมา จึงหันไปมองมู่อีอีพักหนึ่งค่อยกล่าวออก “ขออภัยด้วยศิษย์น้องมู่อีอี…พอดีข้ารู้สึกว่าในร่างเจ้ากลับมีกลิ่นอายที่ข้าคุ้นเคยเล็กน้อย…”
ก่อนที่มู่อีอีจะกลับมา ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวถึงนางมากกว่าหนึ่งครั้ง เขาจึงได้รู้ว่านางเป็นผู้บำเพ็ญเต๋ากบฏสวรรค์ที่หาได้ยากในรอบหมื่นปี พลังอำนาจของนางเรียกว่าร้ายกาจจนเป็นรองแค่เขาแค่คนเดียวในบรรดา 7 ทวาราเที่ยงแท้!
นอกจากนี้เมื่อไม่นานมานี้มู่อีอีก็ได้ใช้คำสาปกบฏสวรรค์สังหารประมุขเผ่ามังกรไป เรียกว่าพอเขาได้ยินเรื่องนี้เขาก็รู้สึกสะใจไม่น้อย จึงบังเกิดความประทับใจในตัวมู่อีอีตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า…
“แล้วท่านจดจำได้หรือไม่…ว่าท่านเคยพบกลิ่นอายนี้ที่ใด?”
มู่อีอีไม่ถือเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเหม่อไปจนเสียมารยาท เพียงกล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาคำหนึ่ง ทำให้ต้วนหลิงเทียนนิ่งคิดไปอีกครั้ง
เขาเคยเจอที่ไหนกันนะ? เจ้าของกลิ่นอายคุ้นๆนั่น?
ฟืด!
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง เมื่อตระหนักได้แล้วว่าเขาเคยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแบบนี้ที่ไหน
เมืองคงหมิง…ชิวมู่ชิง!
เมืองคงหมิงนั้นเป็นเมืองที่อยู่บริเวณชายขอบของภาคตะวันตก ส่วนชิวมู่ชิงก็คือคุณหนูใหญ่ตระกูลชิวแห่งเมืองคงหมิง!
ตอนนั้นเขาได้แวะพักที่เมืองคงหมิงเพื่อหาข้อมูลไม่กี่วัน ก่อนที่จะเดินทางไปยังนครแห่งบาปที่ภาคกลาง…
ในช่วงไม่กี่วันในเมืองคงหมิง เขาได้พบเจอกับชิวมู่ชิง กระทั่งช่วยนางคลี่คลายปัญหาครอบครัวเล็กน้อย
และตอนที่เขาจะออกจากเมืองคงงหมิง เขาก็มองออกได้ไม่ยากว่าชิวมู่ชิงสมควรตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว
ทว่าในสายตาเขาชิวมู่ชิงก็แค่สตรีนางหนึ่งที่สัญจรผ่านเข้ามาในชีวิตเขาเท่านั้น
เพียงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป กระทั่งอาจไม่ได้พบกันอีก
แต่ไม่คิดเลยว่าได้พบกับผู้สืบทอดความลับสวรรค์อย่างมู่อีอีครั้งแรก เขากลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของชิวมู่ชิง จนทำให้เขานึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองคงหมิงตอนนั้นขึ้นมา…
“ข้าเคยสัมผัสกลิ่นอายนั้นได้จากสตรีนางหนึ่ง…นางเรียกว่าชิวมู่ชิง และนางก็สมควรอยู่ในเมืองคงหมิง เมืองชายแดนของภาคตะวันตก”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองตอบมู่อีอีด้วยสายตาจริงจัง
และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกไปจบคำ เขาก็พบว่า…
มู่อีอีเบื้องหน้า กลับเผยทีท่าโล่งอกออกมา แววตาของนางยังฉายถึงความโล่งใจประการหนึ่งทำให้เขาสับสนงุนงงไม่น้อย
ไฉนอยู่ๆแววตาของมู่อีอีถึงเปลี่ยนไปแบบนี้?
“หากนางได้รู้ว่าจนถึงวันนี้เจ้ายังคงไม่ลืมนางล่ะก็ นางต้องมีความสุขยิ่งนัก…”
มู่อีอีกล่าวออกมาอีกครั้ง พลางระบายลมหายใจอย่างทอดถอน กลิ่นอายเยียบเย็นของนางตอนนี้เริ่มจางหายไปหลายส่วน
“เจ้า…หมายความว่าอะไร!?”
เมื่อได้ยินคำของมู่อีอีต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักได้ว่าผิดท่า จึงเร่งกล่าวถามออกไปเสียงหนักทันที “นาง…เกิดอะไรขึ้นกับนาง?”
ถึงแม้มู่อีอีจะเป็นเพียงแค่สตรีนางหนึ่งที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตเขา
อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่วันนั้น เขาก็เห็นนางเป็นดั่งสหายคนหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้พอได้เห็นมู่อีอีกล่าวถึงนางพลางถอนหายใจ ใจต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไปวูบหนึ่ง ด้วยตระหนักได้ว่าสมควรเกิดเรื่องกับชิวมู่ชิงแน่แล้ว
“ในระหว่างที่นางกับผู้ติดตามของนางกำลังเดินทางไปลัทธิบูชาไฟ กลับพบเจอโจรร้ายเข้าระหว่างทาง…”
“โดยเฉาะอย่างยิ่งตัวนางกลับถูกรังแกขืนใจก่อนที่จะถูกฆ่าอย่างอำมหิต…ทำให้แม้วิญญาณของนางจะถูกโจรร้ายทำลายจนแหลกสลาย หากแต่ด้วยแรงแค้น…วิญญาณของนางก็ได้กลับมารวมตัวอีกครั้งกระทั่งไม่ไปผุดไปเกิดอยู่ 3 วัน 3 คืน”
มู่อีอีกล่าวออกอย่างไม่รีบไม่ร้อน
และลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันใดเมื่อได้ยินเรื่องที่มู่อีอีพูด
“ใครเป็นคนฆ่านาง!?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาคราวนี้ เสียงช่างเข้มทั้งแหบแห้งนัก
“เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง…”
มู่อีอีได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา
ได้ยินคำของมู่อีอี สองตาต้วนหลิงเทียนก็เผยเจตนาฆ่าฟันอำมหิตออกมา กระทั่งกลิ่นอายพลังทั่วร่างยังเยียบเย็นนัก ให้เทียบกับความเย็นชาจากร่างมู่อีอีแล้ว ไม่ทราบชวนให้ผู้คนหนาวเหน็บกว่ากันกี่เท่าต่อกี่เท่า
“เจ้านั่น…มันแข็งแกร่งกว่าเจ้างั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนมองสบตามู่อีอีพลางถามออกมา กลิ่นอายเยียบเย็นทั่วร่างลดลงเล็กน้อย
เนื่องจากมู่อีอีคล้ายจะรู้เรื่องราวกระจ่าง ต้วนหลิงเทียนจึงคิดว่านางสมควรอยู่ในเหตุการณ์แน่นอน และเผลอๆอาจจะเฝ้ามองชิวมู่ชิงถูกฆ่า…
และสาเหตุที่ไฉนมู่อีอีไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือชิวมูชิง อาจเป็นเพราะศัตรูมีพลังฝีมือกล้าแข็งกว่านาง
หาไม่แล้วมู่อีอีก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ลงมือ
ในความคิดเขาในเมื่อมู่อีอีคือผู้สืบทอดความลับสวรรค์ และเป็นผู้ที่ถูกผู้เฒ่าพยากรณ์เลือกเฟ้นด้วยตัวเอง ย่อมไม่ใช่คนที่นิ่งดูดายเห็นคนบริสุทธิ์ตกตายต่อหน้าแน่นอน….
“ที่ข้ารู้เรื่องเพราะข้าได้ดูดซับวิญญาณแค้นของชิวมู่ชิงที่ตกค้างอยู่เป็นเวลา 3 วัน 3 คืนนั่น…หลังได้รับเศษเสี้ยวความทรงจำของนางมาข้าจึงได้รู้ทุกอย่าง”
มู่อีอีถอนหายใจ
“ดูดซับวิญญาณแค้นที่ตกค้าง?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว
“นั่นเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับผู้สืบทอดความลับสวรรค์ ที่บำเพ็ญเต๋ากบฏสวรรค์…”
ตอนนี้ผู้เฒ่าพยากรณ์พลันกล่าวออกมาเพื่ออธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟัง “หากคิดบรรลุเต๋าท้าทายสวรรค์อย่าง เต๋ากบฏสวรรค์นั้น นอกจากตัวผู้สืบทอดความลับสวรรค์จะผ่านเงื่อนไขหลายประการแตกฉานในวิถีอย่างแน่วแน่แล้ว ยังจำเป็นต้องดูดซับวิญญาณแค้นทั้ง 9 ให้ครบ…”
“ถึงตอนนั้นจึงจักสามารถบ่มเพาะ ‘คำสาปกบฏสวรรค์’ และบรรลุ ‘เต๋ากบฏสวรรค์’ ได้อย่างแท้จริง…”
หลังผู้เฒ่าพยากรณ์อธิบายไปพักหนึ่งก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยกล่าวสืบต่อ “แน่นอนว่าวิญญาณแค้นที่ยึดติดไม่ไปผุดไปเกิดนั้น มิได้ถูกผู้สืบทอดความลับสวรรค์บีบคั้นดูดซับ…เพราะหากไม่ยินยอมถูกดูดซับด้วยตัวเอง สำนึกสติสสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็จะต่อต้านผู้สืบทอดความลับสวรรค์ จนทำให้มิอาจดูดซับได้…”
“แบบนี้นี่เอง…”
หลังได้ยินคำอธิบายของผู้เฒ่าพยากรณ์ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาได้รับทราบถึงการดำรงอยู่ของ ‘เต๋ากบฏสวรรค์’ ครั้งแรก เขาก็รู้สึกตื่นตระหนกใจไม่น้อย เพราะคำสาปที่สามารถสังหารผู้คนที่อยู่ไกลห่างอย่างคำสาปกบฏสวรรค์นั่นมันเป็นอะไรที่ฝืนฟ้าเหลือเกิน ยังน่าสะพรึงกลัวนัก!
กระทั่งตอนนั้นเขายังอดคิดไปไม่ได้ ว่าในใต้หล้ามีกลวิธีอันน่าสะพรึงกลัวและเสมือนโกงผู้คนเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?
แต่ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าการจะบรรลุเต๋ากบฏสวรรค์ได้ ช่างเป็นอะไรที่ยากเย็นนัก!
นอกจากต้องมีพรสวรรค์และไหวพริบปฏิภาณที่เหมาะสมจนบรรลุเงื่อนไขขั้นต้นได้ ยังจำเป็นต้องออกค้นหาวิญญาณแค้นที่ไม่ไปผุดไปเกิดทั้ง 9 เพื่อดูดซับอีก แถมยังไม่อาจฝืนดูดซับได้…
“แล้วเจ้าพอจะจดจำได้หรือไม่ ว่าหน้าตาเจ้านั่นเป็นยังไง”
ต้วนหลิงเทียนหันมองไปยังมู่อีอีอีกครั้ง และขณะกล่าวถามออกมา สองตาของเขาก็ลุกโชนไปด้วยโทสะประหนึ่งเพลิงไฟ!
ขวับ!
แทบจะพร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนถามจบคำ มู่อีอีก็สะบัดมือคราหนึ่ง ก่อนปรากฏม้วนกระดาษหนึ่งผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า ค่อยพลิกข้อมือส่งม้วนภาพไปให้ต้วนหลิงเทียนทันที
“นี่เป็นภาพที่ข้าวาดเอาไว้หลังได้เห็นความทรงจำของนาง…หลายปีที่ผ่านข้าเองก็คอยใช้วิชาทำนายค้นหามันตลอด แต่ข้ากลับไม่ได้รับเบาะแสใดๆเลย…”
ในบรรดาวิญญาณแค้นทั้ง 9 ที่มู่อีอีดูดซับมา นางได้บรรลุข้อตกลกับวิญญาณแค้นเหล่านั้นไปแล้ว 8 คนด้วยการฆ่าศัตรูที่เพาะสร้างความแค้นให้ทั้ง 8 จนหมด…
มีเพียงแต่คนที่ขืนใจชิวมู่ชิงเท่านั้น ที่มู่อีอีไม่อาจหาตัวมันได้…
ต้วนหลิงเทียนรับม้วนภาพของมู่อีอีมาคลี่กาง
เป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาปานกลาง หากแต่ใบหน้าแลดูชั่วช้าสามานย์พิกลเพียงมองก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ตัวดีอันใด…
“เป็นมัน!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองภาพด้วยคิ้วที่ขมวดย่นเป็นปม เสียงอุทานหนึ่งพลันโพล่งดังเข้าหูเขา
ทันใดนั้นทุกสายตาในที่เกิดเหตุก็หันไปมองต้นเสียงอุทานดังกล่าวทันที
และคนที่โพล่งออกมาเสียงดังก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเซียนอมตะเสเพล 4 ทัณฑ์ เฉินอี้หรู ที่ยืนอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียน
“ซานเตา…เจ้ารู้จักมันรึ?!”
ต้วนหลิงเทียนมองเฉินอี้หรูด้วยสองตาทอประกายสว่างจ้า น้ำเสียถามไถ่ยังตื่นเต้นไม่น้อย
ตั้งแต่ที่ได้ยินว่ามู่อีอีไม่อาจใช้วิชาทำนายหาเบาะแสใดๆของชายคนนี้ได้หลายปี ต้วนหลิงเทียนจึงอดคิดไปไม่ได้ว่าการค้นหาชายในภาพ คงยากไม่ต่างอะไรจากงมเข็มในกองฟาง!
แต่เขาไม่คิดเลยจริงๆว่าดูเหมือนเฉินอี้หรูจะรู้จักคนในภาพ!