ตอนที่ 1262 โปรดปรานจนหัวปักหัวปำ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ผาเฮยหานเป็นสถานที่เช่นไร นั่นมันคุกชัด ๆ!

อยู่ที่นั่นยี่สิบปี ห้าสิบปี ชีวิตนี้ของพวกเขาคงต้องพังทลายลงอย่างแน่นอน

นายน้อยเจ็ดและพวกอ้อนวอนขึ้นเสียงที่ดังลั่นว่า “ท่านหัวหน้าตำหนัก ได้โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย สถานที่นั้นมัน…มัน…”

กู้ไป๋อีกลับไร้ความปรานี เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ลากสามคนนี้ออกไป!”

ในตอนนี้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เงียบงันกันเป็นเป่าสาก ท่านหัวหน้าตำหนักไม่เคยลงโทษผู้ใดมาก่อน แต่เมื่อถึงคราวลงโทษ นึกไม่ถึงเลยว่าจะโหดร้ายถึงเพียงนี้

อาจารย์ของนายน้อยเจ็ดกับนายน้อยหกก็อยากจะขอร้องอ้อนวอนเช่นกัน แต่เมื่อเห็นแววตาคู่นั้นของท่านหัวหน้าตำหนักแล้ว ไฉนเลยยังจะมีความกล้า

หากกล้าเอ่ยปากขอร้องอ้อนวอน เขากลัวว่าจะถูกตัดหัวด้วยกระบี่ของท่านหัวหน้าตำหนักจริง ๆ

“ส่วนผู้อาวุโสห้า…”

ตอนนี้ในใจของผู้อาวุโสห้าสั่นเครือขึ้นแล้ว เดิมทีคิดว่าจะถูกลงโทษ กลับนึกไม่ถึงเลยว่าเงาจันทราอันเย็นยะเยือกได้ตกลงมา

“ท่านหัวหน้าตำหนัก…”

ผู้อาวุโสสูงสุดต้องการจะห้าม แต่อย่างไรก็ไม่อาจเร็วไปกว่ากระบี่ของกู้ไป๋อีได้!

คมกระบี่นั้นฟันลงมา ผู้อาวุโสห้าจมลงไปในกองเลือด ดวงตาเบิกกว้างค้างไว้

เขาตายก็คิดไม่ถึงว่าท่านหัวหน้าตำหนักจะฆ่าเขาอย่างไม่ลังเลเช่นนี้

เดิมทีคิดว่าอย่างมากก็แค่ยึดตำแหน่งผู้อาวุโสของเขาออก นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าท่านหัวหน้าตำหนักจะฆ่าเขาโดยไม่ปริปากกล่าวสิ่งใดทั้งสิ้นเช่นนี้

คนอื่น ๆ ก็ตกใจกับกระทำนี้ของกู้ไป๋อีมากเช่นกัน แต่เดิมทีแล้วท่านหัวหน้าตำหนักก็ไม่เหมือนกับหัวหน้าตำหนักอื่นทั่วไปอยู่แล้ว

เขาไม่เคยครุ่นคิดพิจารณาว่าตำหนักเป่ยหานจะเป็นเช่นไร ไม่เคยคิดว่าการที่ตำหนักเป่ยหานสูญเสียยอดฝีมือระดับสูงสุดไปคนหนึ่งแล้วจะเป็นเช่นไร

ผู้อาวุโสอื่นที่มองอยู่ต่างก็ตกใจกลัวจนอกสั่นขวัญหาย กลัวว่าท่านหัวหน้าตำหนักจะฆ่าพวกเขาไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดเหมือนเช่นนี้

ตกลงเจ้ามู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นั้นเป็นใครมาจากไหนกันแน่?

เพื่อเขาแล้ว ท่านหัวหน้าตำหนักถึงกับยอมเสียนายน้อยทั้งสาม อีกทั้งยังลงมือฆ่าผู้อาวุโสห้าอีกด้วย

ผู้อาวุโสสูงสุดก็กลัวกู้ไป๋อีจะลงมืออีก เขาจึงรีบกล่าวขึ้นว่า “พวกเขาเหล่านี้เพียงแค่มองดูอยู่เฉย ๆ ไม่สนใจสิ่งใด สมควรยึดตำแหน่งผู้อาวุโสกลับคืนทั้งหมดและไล่ออกไปจากตำหนักเป่ยหาน! ท่านหัวหน้าตำหนักลงโทษเขาเช่นนี้ เป็นเช่นไรขอรับ?”

ตำหนักเป่ยหานเป็นที่พึ่งพิงที่พักอาศัยของพวกเขา การลงโทษเช่นนี้นับว่าเป็นการลงทัณฑ์พวกเขาอย่างโหดร้ายราวกับกลับอยากให้ตายทั้งเป็น พวกเขาล้วนตั้งตัวไม่ทัน มันกระทันหันราวกับสายฟ้าฝ่าลงมา!

นึกไม่ถึงเลยว่าเพียงแค่พวกเขากลัวตำแหน่งของผู้อาวุโสห้า มองดูผู้อาวุโสห้าจัดการเจ้าหนุ่มที่เพิ่งเข้าตำหนักมาใหม่ พวกเขาก็ได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้สร้างมาจนหมดสิ้น

“ไสหัวออกไป!” กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเย็นชา

ครั้นแล้วคนเหล่านี้ก็เดินจากไปด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณ

ภายในตำหนัก ผู้ที่ยังไม่ได้รับการลงโทษก็เหลือเพียงแค่ธิดาศักดิ์สิทธิ์อวี้ปิงชิงคนเดียวแล้ว

ทว่า ใบหน้าของอวี้ปิงชิงกลับไม่ได้เผยความหวาดกลัวออกมาแม้แต่น้อย สุดท้ายกู้ไป๋อีจึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้า ไม่มีสิทธิ์เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว”

เพียงเท่านี้ อวี้ปิงชิงก็รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดลงมากระทบร่างก็มิปาน สถานะนี้เป็นความรุ่งโรจน์ของชีวิตนาง สามารถทำให้นางได้รับทรัพยากรในการฝึกฝนที่ดีที่สุดของตำหนักเป่ยหาน

แต่เพราะคำพูดของคนที่นางศรัทธาเลื่อมใสมากที่สุดเพียงประโยคเดียว ทุกอย่างกลับไม่มีอีกแล้ว

“ท่านหัวหน้าตำหนัก…” สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดพลันเปลี่ยนไป

“หรือว่าเจ้าอยากจะให้นางไปคิดทบทวนความผิดที่ผาเฮยหานสักสิบปี”

คำพูดนี้ของกู้ไป๋อี แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดอยากจะขอร้องอ้อนวอนก็ไม่กล้าเอ่ยปากแล้ว

ถึงแม้ว่ากู้ไป๋อีจะไม่ค่อยสนใจอะไร แต่ตัวตนของเขาก็อยู่ที่นี่

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “ข้าน้อยรับคำสั่ง!”

กู้ไป๋อีดุจดั่งลมในฤดูใบไม้ร่วงที่พัดเหล่าใบไม้ให้ปลิวหายไปก็มิปาน เขาลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้ทุกคนไม่มีละเว้น

ในขณะเดียวกันก็เตือนทุกคนในตำหนักเป่ยหานด้วยว่าอย่าได้ไปยั่วโมโหหัวหน้าตำหนัก และอย่าได้ไปยั่วมั่วโมโหมู่หรงเฉียนเยี่ย!

พวกเขาล้วนแต่รู้สึกว่าหลายสิบปีที่ผ่านมาที่ไม่มีนายน้อยตำหนักแห่งตำหนักเป่ยหาน คาดว่ากำลังจะมีนายน้อยตำหนักเป่ยหานขึ้นมาหนึ่งคนแล้ว เนื่องจากความสนใจและความโปรดปรานที่ท่านหัวหน้าตำหนักมีให้กับมู่หรงเฉียนเยี่ย

สมุนไพรวิญญาณที่ดีที่สุดในตำหนักเป่ยหานถูกส่งมาให้กับมู่เฉียนซี อีกทั้งฝีมือการปรุงยาที่แข็งแกร่งของมู่เฉียนซี บาดแผลที่ดูสาหัสนั้นในที่สุดนางก็รักษาจนอาการดีขึ้นมากแล้ว

“ของสิ่งนี้ ข้าคืนให้เจ้า!” มู่เฉียนซีเอาป้ายคำสั่งออกมาและโยนให้กู้ไป๋อี

กู้ไป๋อีรับป้ายคำสั่งแต่กลับยัดกลับไปในมือของมู่เฉียนซี “ของสิ่งใดที่ให้ไปแล้ว ก็เป็นของเจ้าแล้ว”

มู่เฉียนซีกล่าว “สามวันก่อนข้าเพิ่งรู้ว่าป้ายคำสั่งนี้แสดงถึงตัวตนของหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะทำลายตำหนักเป่ยหานเหรอ”

“ไม่เป็นไร!” กู้ไป๋อีไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาไม่มีความสัมพันธ์ใดกับตำหนักเป่ยหานเลยสักนิด

มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ก็ผงะไป “เสี่ยวไป๋ เจ้าเป็นถึงหัวหน้าตำหนักเป่ยหานนะ ไม่สนใจตำหนักเป่ยหานเลยจริง ๆ เหรอ หากว่าข้าเอาป้ายคำสั่งนี้ไปออกคำสั่งให้ตำหนักเป่ยหานต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับตำหนักตงจี๋ของไป๋อู๋ห่ายเจ้าก็ไม่สนอย่างนั้นเหรอ?”

“ซีเอ๋อร์อยากทำก็ทำ แต่ว่า…”

“แต่อะไร เจ้าไม่ยอมเหรอ?”

“หากจะสั่งให้ทั้งตำหนักเป่ยหานต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายกับตำหนักตงจี๋ ข้าก็ต้องคิดหาวิธีควบคุมตำหนักเป่ยหานเสียก่อน ตอนนี้ตำหนักเป่ยหานอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้อาวุโสสูงสุด ให้เวลาข้าอีกสักหน่อย”

มู่เฉียนซีกรอกตามองบนพลางกล่าว “เจ้านี่นะ! เป็นฮ่องเต้ที่ถูกโค่นล้มจริง ๆ”

“หากข้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องเหมือนวันนี้ขึ้น ข้าไม่เอาแต่ใจจดใจจ่ออยู่กับการฝึกบำเพ็ญเพียงอย่างเดียวแน่นอน มิเช่นนั้นก็คงสามารถแก้แค้นให้เจ้าได้เร็ววัน”

มู่เฉียนซีกล่าว “เรื่องของไป๋อู๋ห่ายข้ามีวิธีจัดการ อันที่จริงแล้วที่ข้าเข้ามาในตำหนักเป่ยหานก็เพื่อที่จะมาช่วยคนคนหนึ่ง”

“ช่วยใคร?” กู้ไป๋อีกล่าวถาม

“เรื่องนี้มันค่อนข้างที่จะอธิบายยาก แต่มันเป็นเรื่องใหญ่มาก เสี่ยวไป๋ ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่มีอำนาจที่แท้จริงแต่ก็ต้องใช้มัน ข้าต้องการให้เจ้าช่วย”

ถึงแม้ว่าเสี่ยวไป๋จะเคยปิดบังตัวตนกับนาง และนางก็ยังไม่ได้หายโกรธอย่างสมบูรณ์ แต่นางรู้ดีว่าทุกสิ่งที่เสี่ยวไป๋ทำนั้นนางสามารถเชื่อใจเขาได้

เชื่อใจเขาได้อย่างสนิทใจ และเรื่องของอารองก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังเขาแล้ว

“ซีเอ๋อร์พูดมาตรง ๆ ได้เลย!” กู้ไป๋อีมองมู่เฉียนซีพลางกล่าว

มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “องครักษ์ฝ่ายซ้ายหลิงของตำหนักเป่ยหาน เจ้ามองเขาเช่นไร?”

“ลูกน้องที่จงรักภักดีต่อผู้อาวุโสสูงสุดที่สุด พรสวรรค์เยี่ยมยอด พลังแข็งแกร่ง มีความสามารถในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ดีเยี่ยม” กู้ไป๋อีตอบ

“อันที่จริงที่เขาเชื่อฟังถึงเพียงนั้น ก็เป็นเพราะว่าผู้อาวุโสสูงสุดได้ทำสิ่งต้องห้ามกับร่างกายของเขาเอาไว้ ควบคุมเขาจนเขาไม่สามารถทรยศหักหลังได้ ก็เหมือนกับหุ่นเชิดตัวนึง และเขาก็เป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวในตอนนี้ของข้า”

สีหน้าของกู้ไป๋อีเผยความประหลาดใจออกมา คราก่อนที่เข้าไปในเมืองเหยียน นอกจากเฟิงอวิ๋นซิวแล้ว ก็เพื่อหลิง

ญาติสนิทของนางเป็นคนของตำหนักเป่ยหาน แต่เขาคิดเช่นไรก็คิดไม่ออกว่าคนผู้นั้นจะเป็นหลิง

“ข้าจะฆ่าผู้อาวุโสสูงสุด!”

ถึงแม้ว่าการยึดคืนอำนาจจะต้องใช้ทักษะ แต่การฆ่าคน สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องง่ายดายนิดเดียว

“หากฆ่าผู้อาวุโสสูงสุด อารองของข้าก็อาจจะตายได้! ฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้ อย่างน้อยระหว่างที่คิดหาวิธีนี้จะฆ่าเขาไม่ได้ แต่วิธีติดต่อกับสิ่งต้องห้ามนั้นมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ ที่ข้ามาก็เพื่อที่จะเข้าใกล้ผู้อาวุโสสูงสุด เพื่อต้องการรู้ความลับนี้”

กู้ไป๋อีกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด ข้าให้ความร่วมมือ”

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ต้องขอบใจเสี่ยวไป๋มากสำหรับความร่วมมือ ถือว่าทำความดีชดเชยความผิดก็แล้วกัน”

“อืม!”

มู่เฉียนซีอยู่ฝึกบำเพ็ญฝนในตำหนักของกู้ไป๋อี มีคู่ซ้อมที่เยี่ยมยอดเช่นนี้ นางก็ฟื้นตัวได้เร็วมากขึ้น

กู้ไป๋อีน่าอนาถเข้าแล้ว ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นถูกมู่เฉียนซีชกต่อยจนบวมเป็นหัวหมูทุกวัน

หากไม่ใช่เพราะเขาเคยออกไปข้างนอก เกรงว่าต้องหลงดินแดนสี่ทิศแล้วเป็นแน่

คนใช้ในตำหนักของเขาเหล่านั้นกลับรู้ดีว่าท่านหัวหน้าตำหนักโปรดปรานคุณชายน้อยท่านนี้จนหัวปักหัวปำ ถูกชกต่อยถึงเพียงนี้แล้วก็ยังไม่โกรธเขาแม้แต่น้อย

วันเวลาผ่านไปแต่ละวัน มู่เฉียนซีก็ได้รู้ข่าวว่าองครักษ์ฝ่ายซ้ายทำภารกิจสำเร็จและกลับมาแล้ว มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ หาคนส่งข่าวให้ข้าหน่อย! บอกว่าข้าขาดคู่ซ้อม ต่อไปให้องครักษ์หลิงมาเป็นคู่ซ้อมของข้า”

.

.