บทที่ 1069 ข้ายังคงเด็กนัก

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,069 ข้ายังคงเด็กนัก

ติงซานฉือพยายามรักษาสีหน้าเยือกเย็น

เสมือนเขาเห็นเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องปกติ

อีกอย่าง เด็กหนุ่มผู้นี้ก็เป็นลูกศิษย์ของเขาเอง

“ศิษย์พี่…”

สือจงเซิ่งเดินเข้ามากระซิบเรียก

“ไม่ต้องประหลาดใจ”

ติงซานฉือตอบกลับไปด้วยความสงบสุขุม “เหตุการณ์เช่นนี้ ข้าเคยเห็นมาจนชินตาแล้ว”

“ไม่ใช่ขอรับ ศิษย์พี่…”

สือจงเซิ่งมีสีหน้าสับสนคล้ายกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง

ติงซานฉือกล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังจะพูดอะไร ใช่แล้ว นี่คือลูกศิษย์ของข้าเอง ข้าสอนให้เขาเป็นเช่นนี้ เพราะข้าเองก็ไม่เคยเมตตาต่อศัตรูอยู่แล้ว”

“ไม่ใช่ขอรับ ศิษย์พี่ แต่รองเท้าท่านเปื้อนอุจจาระสุนัขขอรับ”

สือจงเซิ่งกระซิบเสียงแผ่วเบา “ข้าสังเกตเห็นมาตั้งแต่ก่อนเข้าประตูแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้บอกท่านสักที”

ติงซานฉือกะพริบตาปริบ ๆ

เมื่อชายชราก้มลงมองที่รองเท้าของตนเอง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาก็กระตุกเล็กน้อย “ไม่ใช่ เจ้าดูผิดแล้ว”

ติงซานฉือสะบัดเท้าของตนเอง

แล้วมูลสุนัขที่เปื้อนอยู่บริเวณส้นรองเท้าของเขาก็กระเด็นไปตกอยู่บนรองเท้าของสือจงเซิ่งแทน

ก่อนหน้านี้ ติงซานฉือมีความกังวลเกี่ยวกับลูกศิษย์ของตนเองมากเกินไป จิตใจจึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตอนเดินผ่านเข้าสู่ประตูของสำนักสามเหลี่ยมมรณะ เท้าจึงเหยียบลงไปบนกองอุจจาระสุนัขโดยไม่รู้ตัว

“ศิษย์พี่…”

“หุบปาก เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว”

“ศิษย์พี่…”

“ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ ข้าจะเป็นคนควักลูกตาของเจ้าออกมาเอง”

“หามิได้ ข้าเพียงอยากจะถามว่าพวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดี?” สือจงเซิ่งยังคงกระซิบถามต่อไป

ติงซานฉือนิ่งคิดอยู่เล็กน้อยก็ตอบว่า “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่จำเป็นต้องให้ข้าตัดสินใจหรอก ไปถามเจ้าเด็กชั่วคนนั้นเองก็แล้วกัน”

เจ้าเด็กชั่ว?

คงมีแต่เพียงติงซานฉือคนเดียวเท่านั้นกระมังที่กล้าเรียกขานหลินเป่ยเฉินเช่นนี้?

สือจงเซิ่งและภรรยา อิ๋นซานพร้อมด้วยลูกศิษย์คนอื่น ๆ ของสำนักกระบี่อมตะพากันจ้องมองไปที่ติงซานฉือด้วยความเคารพเลื่อมใส ใช่แล้ว ต่อให้หลินเป่ยเฉินแข็งแกร่งถึงเพียงใด แต่เขาก็ต้องเชื่อฟังอาจารย์อยู่ดี จริงอยู่ที่ติงซานฉือมีระดับพลังไม่ต่ำต้อย… แต่การควบคุมลูกศิษย์ร้ายกาจได้อย่างอยู่หมัดเช่นนี้ แสดงว่าติงซานฉือต้องมีความยอดเยี่ยมเหนือธรรมดาจริง ๆ

หลังจากนั้น

การเก็บกวาดซากศพก็เสร็จสิ้น

อากวงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผิวดินในลานกว้างหน้าสำนักสามเหลี่ยมมรณะกลับมาเรียบเนียน ไม่หลงเหลือคราบเลือดเลยสักหยดเดียว

หากไม่ได้มาเห็นด้วยตาตนเอง บรรดาลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด การเก็บกวาดซากศพและทำความสะอาดที่เกิดเหตุได้อย่างหมดจดเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดดูออกเลยว่าพื้นที่ตรงนี้เคยมีซากศพของผู้มีพลังขั้นเซียน 14 คน และผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์อีกหลายสิบชีวิตนอนกองเกลื่อนกลาดราวกับเป็นเศษขยะกองใหญ่ก็ไม่ปาน

“เพียงพริบตาเดียว สำนักยุทธ์ที่เข้ามาทำลายเมืองไป๋หยุน ก็ถูกกวาดล้างไปได้สองในสามส่วนแล้ว”

อิ๋นซานพูดด้วยดวงตาที่เป็นประกายวาววับ

“ใช่แล้ว พวกเรากำลังจะกลับมายิ่งใหญ่กันอีกครั้ง”

“ตราบใดที่ข่าวนี้แพร่กระจายออกไป คงไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาอาละวาดที่เมืองไป๋หยุนอีกแล้ว”

“ในที่สุด พวกเราก็สามารถลืมตาอ้าปากได้เสียที”

กลุ่มลูกศิษย์จากสำนักกระบี่อมตะพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจ สีหน้าแสดงออกถึงความสุขอย่างล้นปรี่

หลินเป่ยเฉินเก็บไม้คทาของตนเองและเดินกลับมาพูดว่า “เพียงเท่านี้ยังไม่เรียกว่าลืมตาอ้าปากได้หรอกขอรับ เลือดต้องล้างด้วยเลือดเท่านั้น พวกท่านต้องทำให้ศัตรูได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดทรมาน… เพราะฉะนั้น ข้าจะมอบโอกาสให้พวกท่านได้แสดงฝีมือ…”

ระหว่างที่พูด หลินเป่ยเฉินก็กวักมือเรียกเฉียนเหมย เฉียนเจิน เซียวปิงและอากวงให้เดินเข้ามา

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็กล่าวต่อกลุ่มมือกระบี่ชุดขาวพลางผายมือไปยังผู้ติดตามทั้งสี่คนของตนเอง “ต่อจากนี้ ขอให้พวกท่านแบ่งแยกกำลังพลออกเป็นสี่กลุ่ม และติดตามพวกเขาทั้งสี่คนนี้ไปกวาดล้างสำนักยุทธ์คนนอกให้สิ้นซาก ต้องอย่าลืมว่าหากพบเจอสิ่งของมีค่าโปรดเก็บกวาดมาให้หมด ใครก็ตามที่ขัดขวางทางพวกท่าน จงฆ่าทิ้งอย่าได้มีเมตตา”

ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะก็แบ่งแยกออกเป็นสี่กลุ่มและเริ่มต้นออกไปล้างแค้นให้แก่พรรคพวกของตนเอง

สีหน้าแววตาของทุกคนบ่งบอกชัดถึงความมุ่งมั่นในการล้างแค้น

“อย่าลืมนะขอรับ ผู้ใดขัดขวางฆ่าได้อย่าให้เหลือ หากพบเจอสิ่งของมีค่า ก็เก็บกวาดกลับมาอย่าให้เหลือเช่นกัน”

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงตะโกนไล่หลัง

“พวกเขา… จะไม่เป็นอะไรแน่หรือ?”

สือจงเซิ่งถามออกมาอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้

ลูกศิษย์ชุดขาวของสำนักกระบี่อมตะเหล่านั้น ส่วนใหญ่มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนกลาง ผู้ที่มีพลังสูงสุดก็เพิ่งจะอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนต้นเท่านั้น

“ไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ”

หลินเป่ยเฉินตบหน้าอกตนเองด้วยความมั่นใจ

เขาได้เชื่อมต่อสัญญาณวายฟายไว้นานแล้ว

“ศิษย์หลานหลิน เจ้าคิดทำสิ่งใดต่อไป?”

อิ๋นซานจ้องมองใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างใกล้ชิดด้วยความพิศวง

ผู้แข็งแกร่งย่อมมีเสน่ห์ดึงดูดใจเสมอ

“ข้าตั้งใจจะไปตามหาอาจารย์เฉินเซียวเยี่ยน และขอให้เขาช่วยตีกระบี่ให้ข้าสักเล่มขอรับ”

หลินเป่ยเฉินตอบตามความจริง “ถึงคทาของข้าจะเป็นอาวุธที่สมบูรณ์แบบ แต่มันมีพลังโจมตีรุนแรงมากเกินไป ไม่เข้ากับบุคลิกอ่อนหวานอ่อนโยนของข้าเลยขอรับ”

“เอ่อ…”

อิ๋นซานยิ้มฝืดออกมาเล็กน้อย “อาจารย์อาหมายถึงเจ้าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ในเมืองไป๋หยุนหลังจากนี้?”

“นั่นเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่อย่างพวกท่านไม่ใช่หรือ?”

หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงสบายใจ “ข้ายังคงเด็กนัก เรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้ารับผิดชอบไม่ไหวหรอก”

เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่?

เขายังคงเด็กเกินไป?

อิ๋นซานยกมือทาบหน้าอก พลัน นางก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่าสำหรับเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาคนนี้ ไม่มีใครสามารถคาดเดาจิตใจของเขาได้เลยจริง ๆ

เมืองไป๋หยุนเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

ลูกศิษย์จากสำนักกระบี่อมตะรับหน้าที่กวาดล้าง 14 สำนักยุทธ์คนนอกที่เข้ามาแผ่อำนาจในเมืองไป๋หยุน และยอดฝีมือจำนวนกว่า 40 ชีวิตต้องตกตายด้วยน้ำมือของหลินเป่ยเฉิน เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ผู้ที่ได้รับฟังต่างก็อดตกตะลึงจนหัวใจสั่นไหวให้แก่ความแข็งแกร่งและอำมหิตของเด็กหนุ่มไม่ได้

“คิดไม่ถึงเลยนะว่าเมืองไป๋หยุนจะมีคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่ด้วย”

“ท่าทางจะเป็นเรื่องใหญ่แล้วสิ พวกเรารีบไปตรวจสอบข้อมูลเร็วเข้า ที่ผ่านมาสำนักเราเคยล่วงเกินคนในเมืองไป๋หยุนบ้างหรือไม่?”

“โชคดีนะที่พวกเราเพิ่งเข้ามาตั้งสำนักได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้สร้างความเสียหายให้แก่พวกเขา”

“พวกเจ้าจงถ่ายทอดคำสั่งออกไป นับจากวันนี้ อย่าได้มีปัญหากับผู้คนในเมืองไป๋หยุนเด็ดขาด”

“อาจารย์ขอรับ พวกเรารีบหนีกันเถอะ อาจารย์เคยสังหารลูกศิษย์เมืองไป๋หยุนไปมากมาย หากหลินเป่ยเฉินรู้เรื่องนี้เข้า หัวของท่านได้หลุดออกจากบ่าแน่ ๆ…”

“เป้าหมายของหลินเป่ยเฉินชัดเจน เขามาที่นี่เพื่อรับตำแหน่งทายาทเซียนกระบี่”

หลากหลายสำนักยุทธ์ต่างก็มีปฏิกิริยาตอบรับแตกต่างกันไป

ทันทีที่พวกเขาได้รับทราบข่าว หลายสำนักก็รีบหลบหนีออกไปจากเมืองไป๋หยุนโดยไม่ลังเล

บางคนก็รีบกำชับลูกศิษย์ ห้ามไม่ให้ก่อปัญหาอีกเด็ดขาด พวกเขาทําได้เพียงพักอยู่ในเมืองและรอเข้าร่วมการประลองกระบี่อย่างเงียบ ๆ เท่านั้น

ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เด็กสาวในชุดม่วงกล่าวว่า “อาจารย์และศิษย์พี่เจ้าคะ หลินเป่ยเฉินผู้นี้โหดร้ายอำมหิตมากเกินไป เขาถึงกับสังหารผู้คนนับสิบชีวิตตกตายในลมหายใจเดียว เขาเห็นชีวิตคนเป็นเพียงสิ่งเสริมภาพลักษณ์ของตนเอง ไม่ทราบว่าเขาเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่? คฤหาสน์กำยานของพวกเราจะไม่ตักเตือนเขาสักหน่อยหรือ?”

“ศิษย์น้อง เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหล”

หญิงสาวรุ่นพี่ในชุดสีม่วงอีกนางหนึ่งกล่าวขึ้น

นางมีอายุประมาณ 23 – 24 ปี ผิวพรรณขาวเนียน ดวงตากลมโตสวยงาม กิริยาท่าทีสงบสุขุม ราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะสามารถรบกวนจิตใจของนางได้

หญิงสาวอธิบายต่อศิษย์น้องของตนเองด้วยความอดทน “บุคคลที่ถูกหลินเป่ยเฉินฆ่าตายนับว่าสมควรตายแล้ว พวกมันปล้นทรัพย์ฆาตกรรมทำร้ายผู้คนในเมืองไป๋หยุนอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย หากปล่อยให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป ย่อมไม่ใช่เรื่องดี”

“เฮอะ ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ไม่ควรถูกฆ่าตาย คนเราสมควรได้รับโอกาสให้ปรับปรุงตัวเสมอ”

เด็กสาวชุดม่วงแค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา “หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ใดถึงมีสิทธิ์มาตัดสินผู้อื่น? ตัวเขาเองก็ฆ่าคนไปไม่น้อย ไม่ทราบว่าเขาควรตายเหมือนกันหรือไม่?”

“ศิษย์น้อง เจ้ายังคงเด็กนัก เจ้าไม่รู้หรอกว่าโลกนี้โหดร้ายเพียงใด…”

ผู้เป็นศิษย์พี่ส่ายศีรษะอีกครั้ง

“แหม คำพูดนี้อีกแล้ว ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าโลกนี้โหดร้ายเพียงใด? ข้าเบื่อที่จะได้ยินท่านพูดแล้ว อย่างไรก็ตาม การฆ่าคนก็ถือเป็นสิ่งที่ผิดอยู่ดี”

เด็กสาวในชุดสีม่วงมีอายุประมาณ 16 – 17 ปี นางมีไฝเม็ดหนึ่งขึ้นบริเวณหางคิ้ว ใบหน้าขาวเนียนดั่งผิวหยก มีความสวยงามอย่างชาญฉลาด แต่แววตาก็บอกชัดถึงความเป็นคนวู่วาม ขอเพียงมีผู้คนเผลอเหยียบเท้านาง เด็กสาวก็พร้อมจะมีเรื่องได้เสมอ

“เหตุไฉนเจ้าถึงต้องสนใจเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ด้วย?”

ผู้เป็นอาจารย์ที่ไม่เคยพูดอะไรเลยสักคำพลันลืมตาขึ้นมาและกล่าวอย่างแช่มช้า

นางมีอายุ 30 ปีเศษ ใบหน้างดงามเปล่งปลั่งราวกับผลไม้สุกพร้อมรับประทาน นางมีเสน่ห์ของความเป็นสตรีเต็มวัยที่บรรดาเด็กสาวไม่อาจเทียบเคียงได้ ผู้เป็นอาจารย์ชำเลืองมองลูกศิษย์น้อยของตนด้วยความเฉื่อยชา ก่อนกล่าวว่า “สิ่งเดียวที่เจ้าควรสนใจมากที่สุดก็คือ วันพรุ่งนี้ เจ้าต้องไปเข้าพบผู้อาวุโสเฉินเซียวเยี่ยนและขอร้องให้ท่านยอมตีกระบี่ให้เจ้าต่างหาก”

“ฮึ่ย หากข้าเจอหน้าหลินเป่ยเฉินเมื่อใด เห็นทีคงต้องสั่งสอนเขาสักหน่อยแล้ว”

เด็กสาวกัดฟันกรอดและส่งเสียงคำรามในลำคอ