ตอนที่ 1264 อยู่ในสถานการณ์อันตราย

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

นับตั้งแต่มู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น ท่านหัวหน้าตำหนักก็ยิ่งทำตามอำเภอใจตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ

พวกเขาจะทำเช่นไรกับท่านหัวหน้าตำหนักที่เอาแต่ใจผู้นี้ดีล่ะ จะทำอะไรได้ล่ะ มีแต่ต้องยอม!

ผู้อาวุโสสูงสุดเฒ่าเจ้าเล่ห์รีบไกล่เกลี่ยขึ้นทันที เขาหรี่ตายิ้มพลางกล่าวว่า “เรื่องนี้คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับมู่หรงเฉียนเยี่ยด้วย ให้เขานั่งฟังด้วยก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”

ครั้นแล้วกู้ไป๋อีจึงเดินนำมู่เฉียนซีมานั่งตำแหน่งหลัก ส่วนมู่เฉียนซีก็นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา

เผชิญหน้ากับสายตาที่คมกริบของตาเฒ่าเหล่านี้ ใบหน้าของมู่เฉียนซีดูสุขุมไม่สะทกสะท้านราวกับไม่ได้รู้สึกอะไรเลยก็มิปาน

ท่านหัวหน้าตำหนักมาถึงแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านหัวหน้าตำหนัก ตำแหน่งนายน้อยของตำหนักของตำหนักเป่ยหานก็ว่างมานานกว่าสิบปีแล้ว เฟิงอวิ๋นซิวนายน้อยตำหนักตงจี๋มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วในดินแดนสี่ทิศ ตำหนักเป่ยหานของพวกเราก็ควรจะคัดเลือกนายน้อยตำหนักได้แล้วนะขอรับ”

“พวกเรากำลังคิดว่าจะจัดการทดสอบขึ้นเพื่อคัดเลือกนายน้อยของตำหนัก เมื่อถึงตอนนั้นได้โปรดท่านหัวหน้าตำหนักช่วยอบรมฝึกฝนผู้สืบทอดคนต่อไปของตำหนักเป่ยหานด้วยขอรับ”

อบรมฝึกฝน นั่นไม่ใช่เป็นการเสนอให้เขารับศิษย์หรอกเหรอ

“ไม่!” กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเฉยเมย

“ตำหนักเป่ยหานไม่มีนายน้อยตำหนักก็ไม่เป็นไร มีข้าอยู่ ตำแหน่งของตำหนักเป่ยหานจะไม่สั่นคลอน”

ผู้อาวุโสคนอื่นหลายคนกล่าวขึ้นว่า “พลังความแข็งแกร่งของท่านหัวหน้าตำหนักพวกเราย่อมรู้และเห็นกันเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว แต่เหล่าบรรดาวัยหนุ่มสาวในตำหนักเป่ยหานยังคงต้องการผู้นำที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นเช่นกัน”

“พวกเจ้าเรื่องมากกันเกินไปแล้ว” สำหรับความคิดเห็นของพวกเขา กู้ไป๋อีไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

ผู้อาวุโสสูงสุดคนเก่าทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว เขากล่าวเสียงขรึมว่า “ข้าได้รับอนุญาตแล้ว ต่อให้ท่านหัวหน้าตำหนักจะเอาแต่ใจตัวเอง ไม่อยากสนใจเรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้ แต่การคัดเลือกนายน้อยตำหนักครั้งนี้ อย่างไรก็ต้องจัดขึ้น”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าจะให้ข้ามาทำไม?”

น้ำเสียงของกู้ไป๋อีเย็นชาลงอย่างมาก อุณหภูมิทั่วทั้งห้องโถงหารือลดลงไปไม่น้อย

ร่างในชุดขาวเคลื่อนไหวไป และร่างสองร่างที่นั่งอยู่ในตำแหน่งหลักก็ได้อันตรธานหายไปทันที

ผู้อาวุโสต่างหันมองหน้ากันด้วยความตกใจพลางกล่าว “ท่านหัวหนักตำหนักโกรธแล้วเหรอ?”

“พวกเราก็แค่ทำตามคำสั่ง ต่อให้ท่านหัวหน้าตำหนักจะไม่พอใจ แต่เราก็ต้องทำ”

“ใช่!”

มู่เฉียนซีรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เย็นยะเยือกของกู้ไป๋อีเมื่อตอนที่ผู้อาวุโสสูงสุดคนเก่ากล่าวคำพูดนั้นออกมา

กู้ไป๋อีจับมือมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ หากสถานการณ์เปลี่ยนไป เจ้ารีบออกไปจากตำหนักเป่ยหานให้เร็วที่สุด! ส่วนเรื่องของหลิง ข้าจะช่วยคิดหาวิธี”

มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “ตาเฒ่านั่นพูดว่าได้รับอนุญาตแล้ว ตกลงเป็นใครกันที่อนุญาต ใครที่จะสามารถข้ามหัวหัวหน้าตำหนักอย่างเจ้าได้ ใครกันที่ควบคุมตำหนักเป่ยหาน?”

ถึงแม้ว่าเสี่ยวไป๋จะไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นนอกจากการฝึกบำเพ็ญ แต่ผู้อาวุโสสูงสุดก็ไม่เพียงพอที่จะสามารถกำจัดเสี่ยวไป๋ไปให้พ้นทางได้

กู้ไป๋อีกล่าว “นั่งลงเถิด ข้าจะค่อย ๆ อธิบายให้เจ้าฟัง! สถานการณ์ในดินแดนสี่ทิศมันไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น!”

ในศาลามีสายลมพัดไหวเบา ๆ หลิงเดินเข้ามาและกล่าวว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้กลับมาเร็วเช่นนี้?”

มู่เฉียนซีกล่าว “ตาเฒ่าพวกนั้นมันช่างน่ารังเกียจเกินไปแล้ว ตัดสินใจโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากเสี่ยวไป๋เลย”

เดิมทีมู่เฉียนซีคิดว่าเสี่ยวไป๋ก็เพียงแค่ถูกควบคุมอำนาจเท่านั้น พอมาดูตอนนี้ก็รู้แล้วว่ามีประโยชน์ไม่ต่างอะไรกับตัวนำโชค

กู้ไป๋อีรินน้ำชาให้มู่เฉียนซีจอกหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ดินแดนสี่ทิศมีกองกำลังใหญ่อยู่สามกองกำลัง นั่นก็คือตำหนักตงจี๋ ตำหนักเป่ยหาย และแคว้นเทพฟ้านอิน”

“แคว้นเทพฟ้านอินเป็นกองกำลังอิสระ แต่เบื้องหลังของตำหนักตงจี๋กับตำหนักเป่ยหานถูกควบคุมโดยกองกำลังระดับห้าสองกองกำลังในแดนซวนเทียน ผู้ที่ควบคุมตำหนักตงจี๋ก็คือราชวงศ์ตงหวง พวกกลุ่มคนชุดขาวที่ปรากฏตัวขึ้นในเมืองเหยียนในครั้งนั้น คนเหล่านั้นคือเหล่าองครักษ์ไป๋ของราชวงศ์ตงหวง”

“ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังควบคุมตำหนักเป่ยหานก็คือวังเป่ยกงหรือว่าวังเหนือ”

มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ผงะไป “กองกำลังระดับห้าของแดนซวนเทียนควบคุมกองกำลังระดับสามข้างล่าง มันมีประโยชน์อันใด?”

กู้ไป๋อีกล่าว “องค์หญิงมู่หลินหลางสายเลือดโดยตรงของราชวงศ์ตงหวงเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุคู่ พลังธาตุวารีและพลังธาตุวายุ นางต้องการกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ เพื่อที่จะได้เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุสามธาตุเพียงผู้เดียวแห่งแดนเทียนซวน และตามตำราโบราณ กระบี่ศักดิ์สิทธิ์รันดร์มีโอกาสมากที่จะอยู่ในดินแดนสี่ทิศ”

กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเป็นกังวลเล็กน้อยว่า “ซีเอ๋อร์ตอนนี้ได้กลายเป็นเป้าหมายของพวกเขาแล้ว”

หลิงที่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ ในตอนนี้ก็มีแสงเย็นวาบผ่านดวงตาของเขาแล้ว “หากพวกมันกล้าแตะต้องแม้แต่ปลายเล็บของซีเอ๋อร์ ข้าไม่มีทางปล่อยพวกมันไปแน่”

จิตสังหารของหลิงพุ่งขึ้น เศษความทรงจำที่อยู่ในหัวนั้นทำให้เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“อารอง ผ่อนคลายสักหน่อย!” มู่เฉียนซีเอาเข็มยาเข็มหนึ่งออกมาฉีดให้เขา

ก่อนหน้านี้ที่อารองได้ยินชื่อแดนเทียนซวน เขาก็มีการตอบสนองมาก และตอนนี้ก็ยิ่งมีการตอบสนองมากขึ้นกว่าเดิม

“อารอง ข้าว่าอารองกลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะ”

หลิงส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่เป็นไร ซีเอ๋อร์ ข้าไม่เป็นไร”

มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ เจ้าเล่าต่อเถอะ!”

นางเพิ่งจะได้รู้ก็วันนี้เองว่า การที่นางได้ครอบครองกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั้น นางไม่ได้ตกเป็นเป้าเฉพาะกองกำลังของดินแดนสี่ทิศเท่านั้น

แต่ยังตกเป็นเป้าของกองกำลังระดับห้าที่มีพลังความแข็งแกร่งที่ยากจะหยั่งรู้ได้อีกด้วย

“เป่ยกงจั๋วเป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์เป่ยกง (วังเหนือ) เป็นนักปรุงยาผู้หนึ่ง! ในฐานะที่เป็นนักปรุงยาที่มีจิตใจละโมบโลภมาก เป้าหมายของเขาก็คือหม้อเทพนิรันดร์ และบังเอิญว่าหม้อเทพนิรันดร์ก็มีเบาะแสอยู่ที่ดินแดนสี่ทิศด้วย”

“หลังจากที่สองกองกำลังได้รู้ข่าวนี้ พวกเขาก็ทำข้อตกลงกัน ไม่ก้าวก่ายกันและกัน ดังนั้นตอนที่ซีเอ๋อร์ต่อสู้กับเหล่าองครักษ์ไป๋ ข้าจึงถูกขังไว้ในตำหนักเป่ยหาน ไม่สามารถไปช่วยเจ้าได้”

รู้อยู่แก่ใจว่านางมีอันตราย แต่กลับจนปัญญา ในตอนนั้นเขาเกลียดตัวตนของตัวเองมากนัก

หากว่าเขาเป็นเพียงแค่กู้ไป๋อีคนธรรมดา เขาก็สามารถร่วมต่อสู้ไปกับนางได้ ต่อให้จะต้องเป็นศัตรูกับทุกคนในใต้หล้านี้ เขาก็เต็มใจ

มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้นเล็กน้อย บัดซบยิ่งนัก!

โชคดีที่หม้อเทพนิรันดร์ไม่ได้ถูกเปิดโปง มิเช่นนั้นนางคงจะอยู่ในดินแดนสี่ทิศนี้ไม่ได้แล้ว

นางมั่นใจว่านางสามารถหนีรอดจากการไล่ล่าของกองกำลังระดับสามได้ แต่กลับไม่มีความมั่นใจว่าจะหนีรอดจากการไล่ล่าของกองกำลังระดับห้าได้

ถึงแม้ความต่างจะห่างกันสองระดับ แต่นางก็รู้ดีว่าความแข็งแกร่งนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

มู่เฉียนซีสูดลมหายใจลึกเข้าปอดครั้งหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ดังนั้น เพื่อตามหาหม้อเทพนิรันดร์ ตำหนักเป่ยหานก็เลยลงมือกับสามตระกูลยาโบราณ ทำลายสามตระกูลยาโบราณลง”

กู้ไป๋อีกล่าว “น่าจะเป็นเช่นนั้น”

กู้ไป๋อีมองมู่เฉียนซีอย่างลึกซึ้ง “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะอยู่ข้างเดียวกับเจ้า”

มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ ข้าอันตรายกว่าที่เจ้าจินตนาการเอาไว้มาก เจ้าอยากช่วยข้า แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย”

“ซีเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวลไป บางทีเมื่อถึงตอนนั้น อาจจะไม่ใช่เจ้าที่ทำให้ข้าลำบาก อาจจะเป็นข้ามากกว่าที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”

ภายในเวลาไม่นานก็ได้รู้เรื่องราวมากมายออกมาจากปากเสี่ยวไป๋ มู่เฉียนซีรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

การสูดดมกลิ่นชาจาง ๆ รสชาติที่กลมกล่อมนั้นจึงทำให้มู่เฉียนซีสงบลง

“ตอนนี้ข้าคือมู่หรงเฉียนเยี่ย ไม่ใช่มู่เฉียนซี ทางด้านตำหนักตงจี๋ไม่มีทางหาข้าเจอ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือใช้ประโยชน์จากตัวตนนี้แก้ไขปัญหาของอารองให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

ทั้งสองที่เสี่ยวไป๋กล่าวมานั้นล้วนเป็นพันธสัญญากับนางทำให้นางตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก แต่นางรู้ว่าสิ่งใดที่นางควรทำให้สำเร็จมากที่สุดในตอนนี้

จากนั้น มู่เฉียนซีก็ยิ่งฝึกฝนอย่างสุดชีวิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยิ่งมีพลังแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งปกป้องตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้น

หลายวันต่อมา มีคนเข้ามาส่งข่าวว่า “คุณชายมู่หรง การคัดเลือกนายน้อยตำหนักกำลังจะเริ่มขึ้น ไม่ทราบว่าคุณชายจะเข้าร่วมหรือไม่”

.