บทที่ 1071 ความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,071 ความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

“ศิษย์พี่ เชิญทางนี้ขอรับ เชิญทางนี้”

เมื่อเด็กหนุ่มในชุดเสื้อคลุมมือกระบี่สีขาวจากสำนักกระบี่อมตะเห็นพวกของหลินเป่ยเฉินก็รีบลุกขึ้นยืนโบกมือเรียกทันที

เด็กหนุ่มผู้นี้มีนามว่าซวีเชียน ได้รับคำสั่งให้มาทำหน้าที่นั่งจองโต๊ะที่หอเจ็ดดาราตั้งแต่เช้า

ซวีเชียนมารออยู่ที่หน้าหอเจ็ดดาราตั้งแต่ดวงตะวันยังไม่ขึ้น เมื่อโรงเตี๊ยมเปิดประตู เขาก็เป็นคนแรกที่วิ่งเข้าไปด้านในและจองโต๊ะด้วยการสั่งถั่วลิสงหนึ่งจาน ข้าวสวยหนึ่งถ้วยและน้ำชาหนึ่งกามานั่งรับประทาน

เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้คนที่มารอจองโต๊ะเป็นจำนวนไม่น้อย

แต่เนื่องจากทุกคนรับทราบดีถึงความน่ากลัวของสำนักกระบี่อมตะเมื่อคืนนี้ ทุกสำนักยุทธ์ในเมืองไป๋หยุนปัจจุบันจึงให้ความเกรงใจผู้คนจากสำนักกระบี่อมตะอยู่หลายส่วน ดังนั้น จึงไม่มีใครกล้ามารบกวนซวีเชียน อีกทั้งยังปล่อยให้เด็กหนุ่มได้ครอบครองโต๊ะที่มีทำเลดีที่สุดอีกด้วย

เพราะพวกเขากลัวว่าหากมีปัญหากับคนจากสำนักกระบี่อมตะ ตนเองอาจจะต้องได้รับความเดือดร้อน

ที่แท้ก็มีผู้คนมาทำหน้าที่จองโต๊ะเอาไว้ล่วงหน้าแล้วนี่เอง

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยมพลางยิ้มกริ่ม

เดิมที โรงเตี๊ยมที่มีเสียงดังจอแจพลันเงียบสงบลงราวกับหากมีเข็มสักเล่มหนึ่งตกลงบนพื้นก็ยังได้ยิน

บัดนี้ แทบทุกคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมต่างก็ได้แต่นั่งก้มมองโต๊ะของตนเองไม่ต่างจากลูกสะใภ้ที่หวาดกลัวแม่สามี เนื่องจากพวกเขากลัวว่าสายตาของตนเองอาจจะไปสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้แก่หลินเป่ยเฉินได้โดยไม่รู้ตัว

พวกเขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มรูปหล่อผู้นี้เป็นใคร

มีใครบ้างที่ไม่รู้จักเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สุดในจักรวรรดิเป่ยไห่ หลินเป่ยเฉิน?

ยิ่งไปกว่านั้น สองสาวรับใช้หน้าตาสวยงามที่ยืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม ก็ช่วยยืนยันความคิดของทุกคนได้เป็นอย่างดี

เพียงคืนเดียว ผู้คนจากทุก ๆ สำนักในเมืองไป๋หยุนต่างก็จดจำภาพของหลินเป่ยเฉินได้ขึ้นใจ และพวกเขาสาบานกับตัวเองว่าจะไม่มีปัญหากับเด็กหนุ่มผู้นี้เด็ดขาด

“คารวะศิษย์พี่”

ซวีเชียนหันมาประสานมือคำนับหลินเป่ยเฉินด้วยความเคารพ

ความจริง หลินเป่ยเฉินกราบเป็นลูกศิษย์ติงซานฉือช้ากว่าที่พวกของซวีเชียนบรรจุเข้าเป็นลูกศิษย์ของเมืองไป๋หยุน ตามลำดับชั้นแล้วหลินเป่ยเฉินควรเป็นศิษย์น้อง แต่การแสดงฝีมือที่น่าตกตะลึงของคุณชายหลินเมื่อคืนนี้ ก็ทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นศิษย์พี่ของสมาชิกสำนักกระบี่อมตะทุกคนไปโดยปริยาย

หลินเป่ยเฉินพยักหน้ายิ้มแย้มกล่าวว่า “ลำบากเจ้ามากแล้ว”

“ไม่ลำบากเลยขอรับ ไม่ลำบากเลย”

เมื่อได้รับคำชื่นชมจากพี่ใหญ่ ซวีเชียนก็ถูไม้ถูมือด้วยความตื่นเต้น

จากนั้น เขาจึงได้หันมาคำนับอิ๋นซาน “คารวะอาจารย์อา”

อิ๋นซานยิ้มแย้มอย่างมีเมตตา ไม่สนใจพฤติกรรมของซวีเชียนที่ประสานมือคำนับหลินเป่ยเฉินก่อน แล้วค่อยมาคำนับนางทีหลัง

พวกเขานั่งลงที่โต๊ะอาหาร

“เฉียนเจิน สั่งอาหาร”

หลินเป่ยเฉินหยิบถั่วลิสงกำหนึ่งโยนใส่ปากเคี้ยวกร้วม

ซวีเชียนนั่งมองด้วยความลำบากใจ

เขามีฐานะยากจน ถั่วลิสงหนึ่งจาน ข้าวสวยหนึ่งถ้วยและน้ำชาหนึ่งกา ก็แทบจะทำให้สิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว

ในไม่ช้า โต๊ะของพวกเขาก็เต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มนานาชนิด

หลายจานเป็นเนื้อสัตว์ที่หลินเป่ยเฉินไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากรสชาติอร่อยแล้ว ยังช่วยบำรุงเลือดลมและเสริมสร้างพลังลมปราณ มีประโยชน์สำหรับผู้ฝึกยุทธ์เป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นที่หอเจ็ดดารา อาหารเหล่านี้ก็มีจำนวนจำกัดต่อวันเพียงไม่กี่ชุดเท่านั้น

“เชิญเลยน้องซวี เจ้าสามารถรับประทานได้เต็มที่”

หลินเป่ยเฉินกล่าวอย่างเป็นมิตร

“อ่า คือว่า… ขอบคุณศิษย์พี่มากขอรับ”

ซวีเชียนประสานมือคำนับด้วยความเกรงใจ แต่แล้วก็หยิบตะเกียบและเริ่มต้นรับประทานทันที

ผ่านไปอีกหลายอึดใจ

ในโรงเตี๊ยมก็มีผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ผู้คนล้นหลามจนต้องออกไปนั่งที่โต๊ะอาหารด้านนอกบางส่วน

เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

บรรยากาศในโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

“มาแล้ว ๆ”

“ดูนั่นสิ ผู้อาวุโสเฉินเซียวเยี่ยนมาถึงแล้ว”

“เจ้ารีบถอยมาเร็วเข้า อย่าได้ขวางทางผู้อาวุโสเด็ดขาด”

กลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่หน้าประตูร่ำร้องออกมาด้วยความแตกตื่น

หลินเป่ยเฉินได้ยินเสียงพูดคุยเหล่านั้นก็อดหันไปมองไม่ได้

ภาพที่เขากำลังเห็นอยู่ในขณะนี้ ทำให้เด็กหนุ่มนึกถึงบรรดาแฟนคลับที่ไปรอรับศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบตามสนามบิน สถานีรถไฟฟ้าและห้างสรรพสินค้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

แต่เมื่อมาอยู่ในโลกแห่งวรยุทธ์

ก็แค่เปลี่ยนจากดารานักร้องมาเป็นนักหลอมกระบี่เท่านั้น

หรือว่าเขาจะฝึกให้เฉียนเหมยไปตีกระบี่หาเงินดีนะ?

ถึงอย่างไรนางก็ชอบฟาดค้อนร่ายรำกระบี่อยู่แล้ว

ขณะนี้ กลุ่มคนที่ยืนอออยู่หน้าประตูพลันแหวกออกเป็นทาง

เปิดทางให้แก่ชายชราที่มีลักษณะเหมือนลิงอุรังอุตังผู้หนึ่งเดินเข้ามา…

ชายชราผู้นี้มีอายุประมาณ 60 ปี ผิวเข้ม หูกาง หน้าแดง ท่าทางกระฉับกระเฉง ตัดผมสั้นเกรียนติดหนังศีรษะ ผมสั้นสีเทาของเขาชี้ชันราวกับเข็มแหลมที่แสดงให้เห็นถึงความดื้อรั้นและความแข็งแกร่งอันน่าประทับใจ

แต่สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดก็คือมือและแขนของเขา

ชายชรามีแขนยาวเลยหัวเข่า กล้ามเนื้อปูดโปนผิดปกติ เรียกได้ว่าเส้นรอบวงต้นแขนของเขา น่าจะใหญ่กว่าเส้นรอบวงของช่วงเอวด้วยซ้ำ

และมือของชายชราก็น่าสนใจไม่แพ้กัน มือซ้ายของเขามีขนาดเท่ามือคนปกติ มือข้างนี้มีนิ้วเรียวยาว ผิวหนังขาวเนียนราวกับหยกแกะสลัก ไม่ต่างไปจากมือของสตรีวัยกำดัดที่ได้รับการทะนุถนอมเป็นอย่างดี ส่วนมือขวาของเขานั้นเล่ามีสีดำเข้ม ผิวหนังหยาบกร้าน ขนาดมือใหญ่โตมากกว่ามือซ้ายร่วมสามถึงสี่เท่า

เห็นได้ชัดว่าแขนและมือของชายชราผิดรูปไปหมดแล้ว

เมื่อชำเลืองมองแวบแรก จึงไม่ต้องแปลกใจที่หลินเป่ยเฉินจะนึกว่าชายชราเป็นลิงอุรังอุตังขนร่วงตัวหนึ่ง

นี่หรือคือผู้อาวุโสเฉินเซียวเยี่ยน?

หลินเป่ยเฉินถึงกับตกตะลึงไปไม่น้อย

อาจารย์อาอิ๋นซานเอนกายเข้ามากระซิบข้างใบหูหลินเป่ยเฉินว่า “ผู้อาวุโสเฉินอุทิศชีวิตให้กับการตีกระบี่ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า มือและแขนของเขาก็ผิดรูปอย่างที่เจ้าเห็น”

“ตอนที่ผู้อาวุโสเฉินยังเด็ก เขาต้องฝึกฟาดค้อนตีกระบี่วันละ 10,000 ครั้ง จึงไม่แปลกที่ร่างกายของผู้อาวุโสเฉินจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมานวดขมับของตนเองทันที

“เป็นผลพวงมาจากการตีกระบี่นี่เองสินะ”

เด็กหนุ่มรู้แล้ว

เขาไม่อยากฝึกให้เฉียนเหมยเป็นนักหลอมกระบี่อีกต่อไป

นึกภาพว่าหากนางต้องมีสภาพเหมือนลิงอุรังอุตังขนร่วงแขนใหญ่ผิดรูปเช่นนี้… แค่คิด หลินเป่ยเฉินก็ขนลุกไปหมดทั้งตัวแล้ว!

“นับว่าผู้อาวุโสเฉินให้เกียรติหอเจ็ดดาราของข้าน้อยเป็นอย่างยิ่ง”

เถ้าแก่ใหญ่เดินออกมาต้อนรับผู้อาวุโสเฉินเซียวเยี่ยนด้วยตนเอง กิริยาท่าทีแสดงออกถึงความนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง “ข้าน้อยได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วขอรับ ขอเชิญผู้อาวุโสนั่งประจำที่ได้เลย”

เฉินเซียวเยี่ยนพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์ “วุ่นวายกันเสียจริง”

ด้านหลังชายชรามีผู้ติดตามมาด้วยแปดคน

แบ่งเป็นบุรุษสี่ สตรีสี่

สตรีทั้งสี่นางนั้นเป็นมือกระบี่องครักษ์ของเฉินเซียวเยี่ยน พวกนางมีอายุราว 25 – 26 ปี หน้าตางดงามเฉิดฉาย บนแผ่นหลังสะพายกระบี่คนละเล่ม ฝักกระบี่แต่ละเล่มก็มีสีสันต่างกันไป ประกอบไปด้วยสีแดง สีเหลือง สีส้มและสีเขียว นอกจากพวกนางจะมีหน้าตาโดดเด่นไม่แพ้ผู้ใดแล้ว ฝีมือกระบี่ของพวกนางก็มีความโดดเด่นไม่แพ้ผู้ใดเช่นกัน

ส่วนชายฉกรรจ์อีกสี่คนล้วนมีอายุราว 30 ปี พวกเขามีใบหน้าราบเรียบธรรมดา ผิวเข้ม ร่างกายกำยำ ท่อนแขนหนาเตอะแตกต่างจากคนทั่วไป เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นลูกศิษย์ของเฉินเซียวเยี่ยน แต่ละคนมีพลังลมปราณในร่างกายไม่ต่ำต้อย อย่างน้อยก็อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์

เฉินเซียวเยี่ยนเดินไปนั่งที่ตั่งไม้บนแท่นยกพื้นสูงซึ่งทางโรงเตี๊ยมจัดเตรียมเอาไว้ให้ ก่อนจะเริ่มต้นดื่มน้ำชา

บุรุษและสตรีทั้งแปดคนนั้นเดินไปยืนอยู่ด้านหลัง

พวกเขาแบ่งแยกกันยืนประจำอยู่สี่มุม ก่อตั้งเป็นค่ายกลคอยรักษาความปลอดภัย

“สำนักมังกรโบยบินคารวะผู้อาวุโสเฉินเซียวเยี่ยน”

“สำนักสายลมมังกรคารวะผู้อาวุโสเฉินเซียวเยี่ยน”

“โฮะ ๆๆๆ ผู้อาวุโสเฉิน ไม่เจอกันหลายปี ท่านไม่เปลี่ยนไปเลย”

“ซุนปู้หลี่จากสำนักฝากเงินเฉียนเยวียนแห่งจักรวรรดิต้าเกี๋ยน เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบผู้อาวุโสเฉินเซียวเยี่ยน นายท่านของข้าอยากรบกวนผู้อาวุโสช่วยตีกระบี่ให้เขาสักเล่ม ตราบใดที่ผู้อาวุโสยินยอม เรื่องค่าจ้างสามารถเรียกได้เต็มที่”

ในห้องโถงของหอเจ็ดดารา เงาร่างผู้คนจำนวนมากทยอยลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพต่อเฉินเซียวเยี่ยน

ทุกคนประสานมือด้วยความนอบน้อม คำพูดคำจาสุภาพเป็นอย่างยิ่ง

แต่เฉินเซียวเยี่ยนกลับมีสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก จะชำเลืองมองสักนิดก็หาไม่ ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินถ้อยคำจากกลุ่มคนเหล่านั้นก็ไม่ปาน

นับว่าเย็นชาจริง ๆ

“อาจารย์และลูกศิษย์จากคฤหาสน์กำยานมาถึงแล้ว”

ทันใดนั้น มีเสียงตะโกนจากเสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนรอรับแขกอยู่ด้านนอก

ลมหายใจต่อมา บรรยากาศในโรงเตี๊ยมก็เงียบสงบลงทันควัน เห็นได้ชัดว่าบุคคลสำคัญกำลังจะปรากฏตัว กลุ่มคนที่ยืนอออยู่หน้าทางเข้าโรงเตี๊ยมพลันแยกออกเป็นสองฝั่งอีกครั้ง เปิดทางให้สตรีชุดม่วงผู้มีหน้าตางดงามสามนางเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า