ที่มาของการเปลี่ยนแปลงร่างนี้ คือการพลิกผันบนท้องนภาภายในเมฆหมอก
ท่ามกลางการพลิกผันนี้ ทันใดนั้นหนวดสีดำเส้นหนึ่งได้ร่วงหล่นจากเมฆหมอกบนท้องนภา ตกลงระหว่างหวังเป่าเล่อและเฟิงตี๋อย่างกะทันหัน และเป็นตำแหน่งศูนย์กลางของแรงดูด
แรงดูดที่ตำแหน่งนี้น่าจะมากโข ทว่าหนวดดำที่ห้อยลงมาในตอนนี้ กลับปลิวไหวเบาๆ ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงดูดเลยแม้แต่น้อย
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีกลิ่นอายที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกจิตใจสั่นไหว ต้นตอของหนวดเส้นสีดำนี้ เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะปลดปล่อยเฟิงตี๋จากการดูดซับ และล่าถอยอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ล่าถอยอยู่นั้น ยังมีหนวดดำสี่เส้นที่ห้อยลงมาจากไอหมอกด้านบน หนึ่งในนั้นก็เป็นที่ที่หวังเป่าเล่ออยู่ก่อนหน้า และยังมีอีกเส้นหนึ่ง ตกลงไปบนร่างเฟิงตี๋ที่มีดวงตาสิ้นหวังอยู่ในเวลานี้ ดูเหมือนเฟิงตี๋ได้สูญสิ้นพลังต่อต้านทั้งหมดไปแล้ว หลังจากยอมให้หนวดสีดำเส้นนั้นตกลง และพันธนาการเขาไว้ทันที
และหนวดเส้นที่สี่ กลีบตกไปที่หนุ่มน้อยเฉิงหลิงจื่อ เวลานี้สายตาของเด็กหนุ่มงงงัน ร่างกายสั่นเทิ้ม แต่กลับเหมือนสูญสิ้นพลังต่อต้านเช่นเดียวกับเฟิงตี๋ เมื่อมองไปก็ถูกหนวดจู่โจม
แต่การดำรงอยู่ของเขายังมีคุณค่าต่อหวังเป่าเล่อ ดังนั้นการล่าถอยของหวังเป่าเล่อ เขาจึงปรากฏอยู่ข้างกายของหนุ่มน้อยผู้นี้ ขณะที่หนวดดำห้อยลงมา หวังเป่าเล่อก็คว้าไหล่ของเด็กหนุ่มแล้วล่าถอยในทันที
เกือบจะทันทีที่ทั้งสองจากไป หนวดดำก็ห้อยลงมา ตรงเข้าสัมผัสความว่างเปล่า…เวลานี้หนวดจำนวนมากกำลังตกลงมาจากท้องนภา เส้นแล้วเส้นเล่า จนกระทั่งกระจายออกมาอย่างหนาแน่น
เฟิงตี๋ถูกหนึ่งในนั้นพันธนาการ ร่างของเขาเหี่ยวแห้งเร็วกว่าตอนที่ถูกหวังเป่าเล่อดูดซับ ทั้งกระบวนการใช้เวลาไม่กี่ลมหายใจ ร่างกายของเฟิงตี๋…ก็กลายเป็นซากศพเหี่ยวแห้งร่างหนึ่ง
เมื่อมองให้ถี่ถ้วน ก็จะเห็นว่า…หนวดดำที่ห้อยลงมากว่าร้อยเส้น ได้พันธนาการซากศพเอาไว้อย่างแน่นหนา จนขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ทว่า เสื้อผ้าพวกเขากลับไม่เน่าเปื่อย แม้จะมองอย่างแยกแยะ ก็สามารถเห็นได้ว่ารูปแบบของเสื้อผ้า ราวกับจะไม่ใช่ยุคสมัยเดียวกัน
เวลานี้ท้องนภาพลิกผัน หนวดเส้นสีดำก็ยังคงห้อยลงมาอย่างต่อเนื่อง ทว่าความถี่กลับน้อยลงกว่าเดิมอยู่บ้าง ร่างของหวังเป่าเล่อและเฉิงหลิงจื่อ ขณะที่ล่าถอยอย่างไม่หยุด หวังเป่าเล่อที่มองหนวดดำหนาทึบอยู่ตรงหน้าจากไกลๆ ดวงตาส่องประกาย
ด้านเด็กหนุ่ม เวลานี้ด้วยอยู่ห่างจากสถานที่ประหลาด ดังนั้นจึงค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น ความงงงันในดวงตาหายไป และแทนที่ด้วยร่างกายสั่นเทิ้ม สีหน้าเผยความหวาดผวาอย่างรุนแรง
“ซากเทพดาวตก!”
“เทพดาวตกหรือ” หวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินก็มองไปทางเด็กหนุ่ม
ร่างของเด็กหนุ่มสั่นเทา หลังจากได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อ ก็รีบร้อนอธิบาย
ที่เรียกว่าเทพดาวตก แท้จริงแล้วในความเข้าใจของเฉิงหลิงจื่อ คือผู้เยี่ยมยุทธ์ในครั้งบรรพกาล พวกเขาบ้างก็ตายในเทพยุทธ์ บ้างก็ตายด้วยอายุขัย แต่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็เทียบได้กับระดับเจ้าแห่งปรารถนา จนถึงระดับสูงกว่าผู้กล้าไร้เทียมทาน
ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ บางทีอาจมีบางส่วนที่หลับใหลที่โลกชั้นที่หนึ่งมาจนถึงทุกวันนี้ แต่มีข่าวลือหนาหูว่าได้ดับสูญไปก่อนแล้ว และร่างกายของพวกเขา ได้ปรากฏอยู่ในโลกชั้นแรกเป็นครั้งคราว
“ข้าได้ยินท่านพ่อเคยกล่าวไว้ เทพดาวตกเหล่านี้มีบางท่านเป็นผู้แข็งแกร่ง กระทั่งกล่าวได้ว่าเป็นระดับเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์ที่หลับใหลของเรา และดูเหมือนการหลับใหลของจักรพรรดิสวรรค์อาจเกี่ยวข้องกับดวงจิตเทพเหล่านี้” เฉิงหลิงจื่อกล่าวในสิ่งที่ตนรู้ทั้งหมด ตัวสั่นงันงก
หวังเป่าเล่อได้ฟังคำพูดเหล่านี้ เพราะไม่เป็นสิ่งเดียวกับที่เขารู้มา ดังนั้นจึงได้เห็นแก่นแท้ภายในมากยิ่งขึ้น เวลานี้เขาหรี่ตา และจ้องไปที่หนวดเส้นสีดำที่ห้อยอยู่ตรงนั้น เขายังเห็นขณะที่ท้องนภาพลิกผัน มีนิ้วขนาดมหึมา…ราวกับผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ด้านใน
มันเป็นเพียงนิ้วเดียว แต่ขนาดของมัน เกรงว่าจะประมาณ 1000 จั้ง หนวดดำที่ห้อยอยู่เหล่านั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงขนของมันเท่านั้น
“เมื่อเทียบกับร่างแท้ของข้า ยังแกร่งกว่าอยู่บ้าง…” ดวงตาหวังเป่าเล่อเผยความสับสน เขาไม่รู้ว่าเจ้าของนิ้วนี้คือผู้ใด แต่ก็พอคาดเดาได้ ต้องเป็นหนึ่งใน 108 ขุนพลอย่างแน่นอน
ด้วยตอนมีชีวิตอยู่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นตอนนี้เมื่อดับสูญ จึงเหลือเพียงนิ้วเดียว แต่ยังคงสามารถกำราบทุกอย่างได้ ทำให้ผู้ฝึกตนตรงหน้ามันสูญสิ้นพลังที่จะไปต่อต้าน ได้แต่เพียงยอมให้เขาดูดซับ
เช่นเดียวกับความงงงันของเฟิงตี๋และเด็กหนุ่ม
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ส่งผลกระทบต่อหวังเป่าเล่อ เนื่องจากคุณสมบัติร่างต้นของเขา แม้ร่างต้นยังไม่เทียบเทียมกับเจ้าของนิ้วนี้ แต่ก็แตกต่างกันไม่มาก ดังนั้นนิ้วนี้สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว แม้จะมีพลัง แต่กลับไม่ได้มากมายเช่นนั้น
เพราะเขาสัมผัสได้ว่า ภายในชั้นเมฆมีเพียงนิ้วนี้เท่านั้น
“ขณะเดียวกัน ซากของเทพแห่งดาวตก ก็เป็นอาหารชั้นสุดยอด…ภายในเมืองปรารถนารส เพียงหนึ่งเดียว” เด็กหนุ่มเฉิงหลิงจื่อหายใจถี่รัว กล่าวออกมา สายตาไม่อาจระงับความโลภไว้ได้
“กินศพหรือ” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว
“ไม่ใช่หรอกท่านผู้มีพระคุณ อาหารบางอย่างต้องกินลงไป แต่อาหารสุดยอดระดับนี้ไม่จำเป็นต้องกิน เพียงแค่ดูดซับกลิ่นอายวิญญาณเทพที่แฝงอยู่ภายใน แม้จะเป็นวิญญาณเทพดาวตก แต่กลิ่นอายยังคงอยู่ และการดูดซับกลิ่นอายเช่นนี้ สามารถทำให้กฎเกณฑ์ของตนก้าวหน้าราวติดปีก” เฉิงหลิงจื่ออธิบาย
หวังเป่าเล่อครุ่นคิด อดแหงนมองไปอีกฝากของท้องนภาไม่ได้ ที่นั่น…เป็นตำแหน่งของโลกาชั้นที่สอง จนถึงขั้นแยกแยะอย่างละเอียด เวลานี้จุดสิ้นสุดสายตาของหวังเป่าเล่อ หากสามารถทะลุทะลวงได้ทุกสิ่ง เช่นนั้นสิ่งที่มุ่งไปย่อมเป็น…ที่ซ่อนร่างต้นของเขา
“ร่างต้นของข้า ก็คงนับเป็นวิญญาณเทพสินะ เช่นนั้นกลิ่นอายของเขาที่ข้าดูดซับนั้นได้หรือไม่” ไม่รู้ด้วยเหตุใด จึงเกิดความคิดชั่วร้ายในความคิดของหวังเป่าเล่อ
โชคดีที่เขายังมีปัญญา ดังนั้นเมื่อความคิดชั่วร้ายออกมา ก็ถูกเขาระงับเอาไว้ เวลานี้เขาได้เก็บสายตากลับมาแล้วมองกลับไปที่เทพดาวตกอยู่อีกครั้ง
เมื่อหวังเป่าเล่อทอดมอง ขณะที่ยกนิ้วขึ้นในไอหมอกนั้น หนวดที่ห้อยลงมานับร้อยเส้นก็โผขึ้นอย่างช้าๆ ราวกับจะกลับเข้าไปในไอหมอกอีกครั้ง และออกจากที่นี่
หวังเป่าเล่อเฝ้าคิด ขณะที่สีหน้าของเด็กหนุ่มข้างกายเปลี่ยนไป ร่างของเขาก็พุ่งออกไปทันที พริบตาต่อมาก็ตรงไปที่ข้างหนวดสีดำเส้นหนึ่ง ยกมือขวาคว้าไว้ แรงดูดซับพลันกระจายออกจากภายในหนวด แต่สิ่งที่เผชิญคือสัมผัสพลังจากคุณสมบัติของหวังเป่าเล่อ
ระหว่างนั้น ก็เกิดการต่อต้านของสองขุมพลังทันที
ขณะที่ต่อต้าน ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม ดวงตาเกิดประกายประหลาด เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่สะเทือนฟ้าสะท้านดินภายในนิ้วด้านบนตามหนวดเส้นสีดำ
ตอนที่ไม่ได้สัมผัสกลิ่นอายนี้ หวังเป่าเล่อยังไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้ แต่เวลานี้ด้วยหนวดเป็นสื่อกลาง ขณะที่เชื่อมต่อกันและกัน กฎเกณฑ์ปรารถนารสภายในร่างของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดขึ้นทันที มันกระจายความบ้าคลั่งออกมาครั้งแรก คล้ายกระหายที่จะดูดกลืนกลิ่นอายของนิ้วมืออย่างถึงที่สุด
………………………..