ตอนที่ 1267 ต่อสู้กับอวี้ปิงชิง

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

นายน้อยใหญ่เหลือบมองมู่เฉียนซี ใบหน้าเผยรอยยิ้มราวกับพี่ชายข้างบ้านที่มองมาด้วยความมีน้ำใจพลางกล่าวว่า “ต้องบอกเลยว่าสายตาของท่านหัวหน้าตำหนักนี่เฉียบแหลมยิ่งนัก แต่อย่างไรเสียอายุของเจ้าก็ยังน้อย ระยะเวลาในการฝึกบำเพ็ญก็ค่อนข้างที่จะสั้น ต้องการเอาชนะข้า เจ้ามันยังอ่อนหัดนัก ประลองกระบี่ตาบอด เพื่อที่เจ้าจะไม่ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสให้ท่านหัวหน้าตำหนักปวดใจ ศิษย์น้อง เจ้ายอมแพ้เสียเถอะ!”

มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดว่า เพื่อไม่ให้ท่านผู้อาวุโสสูงสุดปวดใจ เจ้ารีบยอมแพ้เสียเถอะล่ะ!”

นายน้อยใหญ่แห่งตำหนักเป่ยหานผู้นี้ ท่านผู้อาวุโสสูงสุดทุ่มเทกายใจฝึกฝนอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผู้อาวุโสสูงสุดทำกับอารองของตัวเอง และเมื่อเห็นเจ้าหมอนี่ นางก็อดที่จะโกรธแค้นไม่ได้!

ตอนนี้ยังจัดการตาเฒ่านั่นไม่ได้ แต่ศิษย์ของเขาแสดงอำนาจข่มขู่นางอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ หากไม่ลงมือต้องรู้สึกผิดกับตนเองเป็นแน่

“ศิษย์น้องช่างเย่อหยิ่งอย่างที่คนเขาร่ำลือกันจริง ๆ เช่นนั้นข้าก็คงไม่ต้องยั้งมือไว้ไมตรีแล้ว!”

ทันทีที่แววตาคู่นั้นของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา จู่ ๆ มือคู่หนึ่งก็ถูกปกคลุมด้วยอัสนีสีเงิน

ทั่วทั้งร่างกายแผ่ซ่านพลังอันน่าเกรงขามออกมาแล้ว ทุกคนตกตะลึงขึ้นทันใด

“มหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ด นายน้อยใหญ่ทะลวงระดับเจ็ดได้แล้ว”

“ผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุสายฟ้าขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ด ครั้งนี้มู่หรงเฉียนเยี่ยเอาชนะไม่ได้แน่นอน”

“……”

ตอนนี้พลังวิญญาณของนายน้อยใหญ่เทียบเท่ากับพลังวิญญาณของเฟิงอวิ๋นซิว แต่เขากลับไม่สามารถทำลายสถิติของเฟิงอวิ๋นซิวได้

เนื่องจากอายุของเขานั้นใกล้จะสี่สิบปีแล้ว แต่อายุของเฟิงอวิ๋นซิวกลับยังไม่ถึงยี่สิบปี

ดวงตาของอวี้ปิงชิงเย็นยะเยือกขึ้น การที่นายน้อยใหญ่ทะลวงพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดนั้น เป็นเรื่องที่นางคิดไม่ถึงจริง ๆ

มู่หรงเฉียนเยี่ย เจ้าต้องมาตายในน้ำมือของข้า จะพ่ายแพ้ในด่านนี้ไม่ได้เด็ดขาด!

พลังธาตุสายฟ้าส่งเสียง ฉึก ฉึก! ออกมา ร่างของนายน้อยใหญ่ตอนนี้พุ่งเข้าไปหามู่เฉียนซีอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาดก็มิปาน

ทันทีที่กระบี่ยาวของมู่เฉียนซีขยับขึ้น นางก็ตะโกนอย่างเย็นชาว่า “เงาจันทราหนาวเหน็บ!”

นายน้อยใหญ่หลบหลีกกระบี่ของมู่เฉียนซีได้ และในขณะเดียวกันการโจมตีของเขา มู่เฉียนซีก็หลบหลีกได้เช่นกัน

“นี่มู่หรงเฉียนเยี่ยฝึกฝนทักษะร่างอันใดกัน นึกไม่ถึงเลยว่าจะสามารถหลบหลีกการโจมตีพลังธาตุสายฟ้าของนายน้อยใหญ่ได้!”

หมัดของนายน้อยใหญ่กลายเป็นกรงเล็บอันแหลมคม ลำแสงสายฟ้าปรากฏขึ้นและพุ่งไปทางมู่เฉียนซีอย่างรวดเร็วและดุดัน

“โล่วิญญาณน้ำแข็ง!”

เผชิญหน้ากับกรงเล็บสายฟ้าเช่นนี้ มู่เฉียนซีจึงใช้กำแพงน้ำแข็งเป็นโล่กำบัง

ร่างในชุดขาวเคลื่อนไหวไปมา วนรอบนายน้อยใหญ่อยู่กลางอากาศ!

“ทักษะโยวหลัว!”

ทักษะวิญญาณที่เต็มไปด้วยพลังการทำลายล้างโจมตีลงไปจากกลางอากาศ ตาข่ายสายฟ้าหนึ่งตีทักษะโยวหลัวของนางกลับไป

ทักษะโยวหลัวของตนเองนั้นมีความแข็งแกร่งมากเพียงใดมู่เฉียนซีย่อมรู้อยู่แก่ใจดี คลื่นพลังพัดกระโชก เส้นผมของมู่เฉียนซีและชุดคลุมยาวพัดสยายด้วยแรงลมนั้น

นายน้อยใหญ่เผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมาที่มุมปาก “รสชาติของการพ่ายแพ้ให้แก่การโจมตีของตัวเอง หวังว่ามันจะไม่เลวนะ!”

มู่เฉียนซีโคจรพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่งต้องการจะหลบการโจมตีนี้

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ กำแพงพลังวิญญาณระดับหกนั้นถูกมู่เฉียนซีพังทลายลงแล้ว

พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ ทักษะร่างกลับมารวดเร็วที่สุด เนื่องจากเข้าใจทักษะวิญญาณของตนเองดี มู่เฉียนซีจึงรีบหลบหลีกอย่างสุดชีวิต

เสียง ตูม! ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินขึ้น การโจมตีนั้นแฉลบผ่านร่างมู่เฉียนซีไป

หลบได้อย่างปลอดภัย และได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ฉากเมื่อครู่ช่างน่าหวาดเสียวเสียจริง

กู้ไป๋อีที่กำลังจะชักกระบี่ออกมาในก่อนหน้านี้ ตอนนี้สีหน้าก็ดูผ่อนคลายลงแล้ว

และในขณะที่นายน้อยใหญ่จะโจมตีมู่เฉียนซีอีกครั้ง กระบี่ยาวเล่มนั้นของมู่เฉียนซีก็ต้อนรับเขาแล้ว

“เงาจันทราหนาวเหน็บ!”

“เงาจันทราคู่!”

สองกระบวนท่ากระบี่ สามเงาจันทราพุ่งเข้าไปที่เขาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด

ไม่สิ! มันรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดเสียอีก

ลำแสงสายฟ้าออกมาป้องกันอย่างบ้าคลั่ง แต่นายน้อยใหญ่ก็ยังคงถูกสามเงากระบี่นั้นโจมตีอยู่ดี

ต่อก! ต่อก! เสียงเลือดหยดลงมากระทบพื้นลานประลองยุทธ์

แววตาของนายน้อยใหญ่พลันโหดร้ายขึ้นมาในทันที “ยอดเยี่ยมมาก! เจ้ามันยอดเยี่ยมจริง ๆ ข้าไม่ได้เห็นเลือดตัวเองมานานมากแล้ว”

เสียงฟ้าคำรามและลำแสงสายฟ้านั้นแพรวพราวจนคนไม่อาจละสายตาได้ นายน้อยใหญ่โจมตีอย่าดุเดือดอีกครั้ง

มู่เฉียนซีที่เลื่อนขั้นพลังวิญญาณระดับเจ็ดได้แล้ว ในตอนนี้ก็พยายามรับมืออย่างสุดชีวิต!

ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง! กลางอากาศ ร่างของทั้งสองต่อสู้ไปมาอย่างบ้าคลั่งทำให้ทุกคนที่ชมการประลองอยู่ตื่นตาตื่นใจมาก

พลังวิญญาณฟื้นฟูกลับมาดังเดิมแล้ว มู่เฉียนซีจึงต่อสู้ได้อย่างดุเดือดมาก

“บ้าไปแล้ว! สองคนนั่นบ้าไปแล้วจริง ๆ!”

“นี่ข้าเห็นไม่ชัดแล้วเนี่ย ตกลงใครได้เปรียบอยู่กันแน่!”

“ประเดี๋ยวก็ได้รู้ผลแล้ว สูญเสียพลังวิญญาณไปอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้คงยื้อได้ไม่นานหรอก!”

ครึ่งชั่วยามผ่านไป ทั้งสองที่ต่อสู้กันไปมาอย่างบ้าคลั่งนั้นก็ได้หยุดลงแล้ว

เส้นเลือดสีเขียวผุดขึ้นที่หน้าผากของนายน้อยใหญ่และกระตุกขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียพลังวิญญาณไปอย่างรุนแรง

แต่มู่หรงเฉียนเยี่ย ถึงแม้ว่าผมเผ้าจะยุ่งเหยิง ชุดคลุมยาวจะขาดเป็นรูเสียหาย แต่ยังคงสงบนิ่งอยู่

“จะ เจ้า…”

นายน้อยใหญ่เบิกตากว้างจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยความตกใจราวกับได้เห็นผีเข้าเสียแล้ว!

เขาสูญเสียพลังวิญญาณไปมากมายเช่นนี้ แต่คนที่อยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้ ดูเหมือนยังมีพลังวิญญาณอยู่เต็มเปี่ยมอย่างไรอย่างนั้น

มู่เฉียนซีค่อย ๆ ง้างกระบี่ในมือขึ้น และกล่าวว่า “ทักษะการสู้รบของเจ้ามันผิดไปตั้งแต่แรกเริ่มแล้วล่ะ! สูญเสียพลังไปมากถึงเพียงนี้ เจ้าต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย!”

“เงาจันทราคู่!”

เคล็ดเทพต้านสวรรค์จะมอบพลังวิญญาณให้แล้วอยู่ในตัวอย่างนับไม่ถ้วน อีกทั้งนางยังเตรียมพร้อมยาวิญญาณมามากมายเช่นนี้อีก

คิดจะแข่งขันพลังวิญญาณกับนาง นั่นเป็นการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย!

ถึงแม้ว่าจะสูญเสียพลังวิญญาณไปมาก แต่นายน้อยใหญ่ก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ เด็ดขาด!

แต่การโจมตีของมู่เฉียนซีกลับพุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง “มังกรวารีพิฆาต!”

“นึกไม่ถึงเลยว่ามู่หรงเฉียนเยี่ยที่มีพลังขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกจะรวดเร็วกว่านายน้อยใหญ่ที่มีพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดได้ นี่มัน เป็นไปได้ยังไง?” เมื่อเห็นนายน้อยใหญ่ที่กำลังดิ้นรนรับมืออย่างสุดกำลังเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกประหลาดใจขึ้น

“ทักษะร่างของมู่หรงเฉียนเยี่ยนั้นแข็งแกร่งมาก!”

“ท่านหัวหน้าตำหนักดีกับเขาถึงเพียงนั้น ยาลูกกลอนสำหรับฟื้นฟูพลังก็คงจะให้เขาไม่น้อย”

การโจมตีของพลังธาตุวารีอย่างคล่องแคล่วว่องไวแต่ละกระบวนท่านั้นทำร้ายนายน้อยใหญ่ทีละก้าว ๆ

ทันทีที่ร่างในชุดขาวนั้นกระพริบขึ้นสู่กลางอากาศ นางง้างมือขึ้นอย่างรุนแรง!

“คราวนี้ ข้าจะคอยดูว่าเจ้ายังมีพลังวิญญาณทำให้ทักษะโยวหลัวของข้าตีกลับมาอีกหรือไม่”

“ทักษะโยวหลัว!”

ทักษะวิญญาณกระแทกลงมาจากกลางอากาศ อย่าว่าแต่มีแรงตีกลับเลย แม้แต่จะหลบหลีกในตอนนี้นายน้อยใหญ่ก็เคลื่อนไหวได้ลำบากแล้ว

เสียง ตูม! ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินขึ้น และร่างของนายน้อยใหญ่ก็กระเด็นลอยออกไปจากลานประลองยุทธ์!

พรวด! เขากระอักเลือดคำโตออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับจะกระอักอวัยวะภายในออกมาด้วยก็มิปาน

ร่างของเขานอนอ่อนปวกเปียกอยู่กับที่ กระดูกในร่างกายส่วนใหญ่ล้วนแต่แตกหักลงแล้ว

สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดดำคล้ำขึ้น มู่หรงเฉียนเยี่ย เจ้าบัดซบ!

ส่วนอวี้ปิงชิงในตอนนี้เผยสีหน้าเย้ยหยันออกมา มู่หรงเฉียนเยี่ย นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะเอาชนะได้ ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ!

“มู่หรงเฉียนเยี่ยเป็นฝ่ายชนะ!” ผู้ตัดสินประกาศชัยชนะให้นาง

การแข่งขันแปดคนสุดท้ายสิ้นสุดลง ต่อไปจะเป็นการแข่งขันสี่คนสุดท้ายเพื่อเลือกผู้เข้ารอบสองคนสุดท้าย

นายน้อยสามจับฉลากได้อวี้ปิงชิงเป็นคู่ต่อสู้ เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่หรงเฉียนเยี่ย และไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวี้ปิงชิง ดังนั้นจึงเอ่ยขอยอมแพ้

คู่ต่อสู้ในรอบนี้ของมู่เฉียนซีเป็นศิษย์ธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง

ตลอดการประลองที่ผ่านมาโชคดีมากที่ไม่ได้เจอกับคู่ต่อสู้อย่างศิษย์สายตรงของเหล่าผู้อาวุโส และมู่หรงเฉียนเยี่ย

ครั้นแล้วตอนนี้เขาจึงเอ่ยปากกล่าวว่า “ขะ ข้า ข้ายอมแพ้!”

เมื่อได้เห็นการต่อสู้ที่สุดยอดเมื่อครู่แล้ว เขารู้ตัวเองดีว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่หรงเฉียนเยี่ยแน่นอน

การประลองในรอบนี้สิ้นสุดลงเร็วมาก ไม่นานนักการประลองรอบตัดสินในรอบสุดท้ายก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

“การประลองรอบตัดสิน มู่หรงเฉียนเยี่ยกับอวี้ปิงชิง”

ทุกคนจ้องมองไปที่คนสองคนที่ยืนอยู่บนลานประลองยุทธ์นั้น คนที่ถูกคัดเลือกให้เป็นประมุขน้อยแห่งตำหนัก จะถูกคัดเลือกมาจากสองคนนี้ อวี้ปิงชิงมองมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “มู่หรงเฉียนเยี่ย ในที่สุด ข้าก็ได้ต่อสู้กับเจ้าสักที”

.