บทที่ 1076 วิธีการอันแยบยล

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,076 วิธีการอันแยบยล

“ผู้อาวุโสเฉินเป็นผู้ที่มีเพียบพร้อมด้วยเงินทองและบารมี ดังนั้นพูดคุยด้วยสิ่งของมีค่าคงไม่มีทางได้ผลเป็นแน่”

หลินเป่ยเฉินยกจอกน้ำชาขึ้นจิบก่อนพูดต่อ “หากอยากให้ผู้อาวุโสยอมตีกระบี่จริง ๆ ก็ต้องใช้วิธีที่อำมหิตอยู่สักหน่อย ก่อนอื่น เราต้องเล่นงานลูกศิษย์ของท่านให้หมด จากนั้นค่อยเอากระบี่จ่อคอท่านผู้อาวุโส หากท่านปฏิเสธไม่ตีกระบี่ให้หนึ่งครั้ง เราก็แทงหนึ่งครั้ง มาดูกันเถอะว่าท่านผู้อาวุโสจะรับได้กี่กระบี่… ข้าไม่เชื่อว่าในโลกนี้จะมีคนที่ไม่กลัวตาย”

นี่คือวิธีการของหลินเป่ยเฉิน

นับว่าเป็นวิธีที่โหดร้ายไม่ใช่เล่น

อย่าว่าแต่มนุษย์ด้วยกันเลย แม้แต่เทพเจ้าอย่างเทพแห่งวิหารเฉียนเกา สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อสูรนอกระบบอย่างกิ้งก่าวายุและคนแคระเขียว หลินเป่ยเฉินก็สังหารตายมาแล้วราวกับเป็นมดปลวกตัวหนึ่ง เพราะฉะนั้น ชายชราเพียงคนเดียว หลินเป่ยเฉินจึงไม่ลำบากใจที่จะทรมานสักนิด

เมื่อมีกระบี่คุกคามชีวิตอยู่เบื้องหน้า หลินเป่ยเฉินจึงไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสเฉินเซียวเยี่ยนจะกล้าปฏิเสธไม่ตีกระบี่อีกต่อไป

นี่คือพฤติกรรมโดยปกติของหลินเป่ยเฉิน

แต่หากนี่เป็นพฤติกรรมที่ผู้อื่นใช้ เด็กหนุ่มก็จะรู้สึกเกลียดชังที่สุด

ซวีหวันมองหลินเป่ยเฉินด้วยใบหน้าขาวซีด

นี่คือวิธีการที่โหดร้ายอำมหิตมากเกินไป

นางหันไปมองหน้าอาจารย์ของตนเอง

หญิงสาวนึกว่าจะได้เห็นอาจารย์หัวเราะเยาะด้วยความเหยียดหยาม แต่ที่ไหนได้ ท่านอาจารย์กลับกำลังก้มหน้า ใช้นิ้วมือลูบขมับของตนเองอย่างใช้ความคิด

ซวีหวันตกตะลึงไม่น้อย

ท่านอาจารย์คงไม่ได้หลงเชื่อคำพูดของปีศาจน้อยหลินเป่ยเฉินหรอกกระมัง?

“มีเหตุผล”

หูเหม่ยเอ๋อร์ตบหัวเข่าฉาดและกล่าวว่า “พี่หลินกล่าวได้ถูกต้อง นับดูในโลกนี้ ไม่มีใครไม่กลัวตาย วิธีการนี้ย่อมได้ผลอย่างแน่นอน”

พูดจบ เด็กสาวก็เลื่อนมือแตะด้ามจับกระบี่ที่ข้างเอว ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความกระตือรือร้น

หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าหูเหม่ยเอ๋อร์ “เหตุไฉนเจ้าถึงต้องตบหัวเข่า?”

หูเหม่ยเอ๋อร์กะพริบตาปิ๊ง ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “เพราะข้าตื่นเต้นเกินไปกับวิธีการอันฉลาดหลักแหลมของพี่หลินไงเจ้าคะ”

“งั้นเจ้าก็ต้องตบหัวเข่าตัวเองสิ”

หลินเป่ยเฉินว่า “ทำไมเจ้าต้องมาตบหัวเข่าข้าด้วย?”

หูเหม่ยเอ๋อร์เอียงศีรษะและพูดอย่างน่าเชื่อถือ “เพราะพี่หลินเป็นคนเสนอความคิดไงเจ้าคะ”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

เขาตกตะลึงจริง ๆ

ลูกไม้นี้ ปกติเป็นเขามักจะใช้กับผู้อื่น แต่นี่คือครั้งแรกที่มีผู้อื่นใช้กับเขาบ้าง

ในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ในนี้ ในโรงเตี๊ยมพลันเกิดการเคลื่อนไหว

ตู้ม!

พลังลมปราณน่าสยองขวัญแผ่ปกคลุมบรรยากาศ

“คนแซ่เฉิน เจ้าดูถูกเราเกินไปแล้ว”

เจ้าของร่างกายที่สูงใหญ่มากกว่าคนทั่วไปสวมใส่ชุดเกราะสีแดง ผมยาวสีขาว ตลอดทั้งตัวปกคลุมด้วยขนสีขาวปุกปุย กระแทกฝ่ามือตบโต๊ะเสียงดังปัง โต๊ะตัวนั้นระเบิดกระจายกลายเป็นผุยผง และมือกระบี่ที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ ต่างก็ได้รับผลกระทบจากแรงระเบิดครั้งนี้ ลอยกระเด็นไปคนละทิศละทาง โลหิตเป็นสายพุ่งออกมาจากปาก…

นี่คืออมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็ก

เป็นสายพันธุ์อสูรที่ชำนาญการใช้กระบี่

เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มอสูรที่โดยสารอยู่บนเรือเหาะ ซึ่งมีหมูยักษ์คอยฉุดลากนั่นเอง

แต่ตัวที่กำลังส่งเสียงคำรามอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่ตัวหัวหน้า กลับเป็นเพียงลูกสมุนชั้นปลายแถวเท่านั้น

ทว่ามันกลับแสดงกิริยาวาจาก้าวร้าวเป็นอย่างยิ่ง

แม้จะอยู่ในเมืองมนุษย์ มันก็ยังกล้าอวดเบ่งบารมี

สิ่งที่น่ากลัวก็คือพลังลมปราณของอสูรตัวนี้มีระดับรุนแรงน่าหวาดกลัว เทียบดูแล้วคงไม่ต่ำกว่าขั้นเซียนระดับห้า

ด้วยเหตุนี้ บรรดามือกระบี่ที่รวมตัวอยู่โดยรอบจึงไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมา

“พวกเราอุตส่าห์ไว้หน้าเจ้า ยอมเรียกเจ้าเป็นผู้อาวุโส แต่เจ้าไม่ไว้หน้าพวกเราแม้แต่น้อย… ข้าจะให้เวลาเจ้าห้าลมหายใจ รีบไสหัวออกมาหาข้าและตีกระบี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้น…”

อมนุษย์ในชุดเกราะหัวเราะเยาะ ใบหน้าที่ไม่ต่างจากลิงกังเต็มไปด้วยความดุร้ายและป่าเถื่อน

แต่มันพูดยังไม่ทันจบ

เฉินเซียวเยี่ยนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า

หลังจากนั้น…

วูบ!

ลำแสงสีแดงเป็นประกายวูบ

ทุกคนไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

พวกเขาเห็นเพียงลำแสงสีแดงนั้นพุ่งทะลวงกลางหว่างคิ้วของอมนุษย์หน้าลิงในชุดเกราะตัวนั้น

ลมหายใจต่อมา ร่างของมันก็ลุกเป็นไฟ

สายลมโชยพัดมาเพียงวูบเดียว ร่างของอมนุษย์ผมขาวตัวนี้ก็พลันสลายกลายเป็นเถ้าถ่านปลิวไปตามสายลม ถึงแก่ความตายโดยไม่ทันได้ระเบิดเสียงกรีดร้องด้วยซ้ำ

ชั่วขณะนี้ ในโรงเตี๊ยมเงียบงันราวกับสุสานร้าง

ตายแล้ว

อมนุษย์ผู้มีความชำนาญในการใช้กระบี่ฉกาจฉกรรจ์ตายแล้ว

ลำแสงสีแดงเมื่อสักครู่นี้… คืออะไรกันแน่?

“ผู้อาวุโสฉีเป็นคนลงมือ”

เหยียนหรู่อี้กระซิบออกมาแผ่วเบาด้วยความตกตะลึง

“ผู้อาวุโสฉีหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินทวนคำด้วยความไม่อยากเชื่อ

เขาไม่เคยได้ยินเหยียนหรู่อี้กล่าวถึงผู้ใดด้วยน้ำเสียงเคารพยกย่องขนาดนี้มาก่อน

“อาจารย์ของข้าหมายถึงชายชราผมยุ่งที่โต๊ะหมากล้อมเจ้าค่ะ”

หูเหม่ยเอ๋อร์เป็นคนอธิบาย

อ๋อ

หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่นโดยไม่รู้ตัว

แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรกว่าเป็นตาเฒ่าสหายหมากล้อมของเฉินเซียวเยี่ยนผู้นั้น

ชายชราปริศนาผู้นี้มีลักษณะบางอย่างที่ทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงเทพเจ้าจี้กงขึ้นมาชอบกล และการสังหารขั้นเซียนระดับห้าได้อย่างง่ายดายเมื่อสักครู่… ถึงแม้หลินเป่ยเฉินจะทำได้เหมือนกัน แต่เขาก็คงทำได้ไม่รวดเร็วและราบรื่นอย่างชายชราผู้นี้แน่ ๆ

สมควรแล้วที่ก่อนหน้านี้ปรากฏกายออกมาโดยไม่มีใครรู้ตัว

หลินเป่ยเฉินหันขวับไปมองที่เทพเจ้าจี้กง เอ๊ย หันไปมองที่ผู้อาวุโสฉีด้วยความเคารพเลื่อมใส

“พี่หลินเจ้าคะ…”

หูเหม่ยเอ๋อร์รีบปล่อยมือออกจากด้ามจับกระบี่ของตนเองทันทีด้วยความหวาดกลัวและกล่าวว่า “ดูเหมือนวิธีของท่านจะใช้ไม่ได้ผลเสียแล้ว”

เหยียนหรู่อี้กับซวีหวันหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน รอคอยที่จะได้เห็นความอับอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้สั่นสะท้านเมืองไป๋หยุน

แต่เขากลับตอบมาเสียงเรียบว่า “ไม่เป็นไร ข้ายังมีอีกวิธี”

“วิธีใดเจ้าคะ?”

หูเหม่ยเอ๋อร์ถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มออกมาด้วยความมั่นใจ “เท่าที่ข้ารู้ ผู้อาวุโสเฉินมีบุตรชายสุดที่รักอยู่คนหนึ่ง ขอเพียงเราไปจับตัวบุตรชายของผู้อาวุโสมาเป็นตัวประกัน รับรองว่าผู้อาวุโสต้องยินดีตีกระบี่ให้อย่างแน่นอน ฮ่า ๆๆ เพราะคนเฒ่าคนแก่เช่นนี้ ล้วนแต่รักบุตรของตนเองยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก…”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

“ท่านพ่อขอรับ ท่านพ่อ นี่ลูกเอง เฉินหูเฟย บุตรชายของท่าน”

ในห้องโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยมในขณะนี้ อยู่ดี ๆ ก็มีชายฉกรรจ์อายุ 30 ปีเศษผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาด้านใน ใบหน้าของเขาซีดเซียว ดวงตาลึกโหล รอบดวงตาเป็นสีดำช้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้า กลิ่นกายคละคลุ้งด้วยกลิ่นสุรา ฝีเท้าก้าวเดินอย่างไม่มั่นคง

“ท่านพ่อ ลูกถูกผู้คนตามล่าอีกแล้ว ลูกไปติดหนี้พวกเขามหาศาล เป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังท่าน แต่ท่านพ่อ ลูกไม่มีที่ไปแล้วจริง ๆ ท่านพ่อได้โปรดช่วยลูกอีกสักครั้ง ท่านพ่อได้โปรดตีกระบี่ให้ลูกสักเล่ม ลูกจะนำมันไปขายใช้หนี้พนัน แล้วลูกรับปากว่าจะไม่ทำตัวเสเพลดื่มสุราเคล้านารีเล่นการพนันอีกต่อไป ท่านพ่อ ได้โปรด…”

ที่แท้ชายฉกรรจ์ผู้นี้ก็คือลูกชายในสายเลือดของผู้อาวุโสเฉิน

เขาเอาแต่ส่งเสียงร้องไห้ครวญคราง อ้อนวอนให้บิดาของตนเองตีกระบี่เพื่อนำไปขายใช้หนี้พนัน

เฉินเซียวเยี่ยนมีสีหน้าเย็นชาปานน้ำแข็ง กล่าวออกมาโดยไม่สะทกสะท้านสักนิด “เอาตัวไปฆ่าทิ้ง”

มือกระบี่สาวที่สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีเขียวพลันชักกระบี่ที่เหน็บอยู่บนแผ่นหลังออกมา ได้ยินเสียงกระบี่ดังเช้ง เมื่อกระบี่ถูกชักออกจากฝัก คมกระบี่ก็สาดประกายเจิดจ้าพุ่งเข้าไปหาเฉินหูเฟยด้วยความรวดเร็ว

“อะจ๊าก! เฉินเซียวเยี่ยน ท่านอำมหิตเกินไปแล้ว…”

เฉินหูเฟยกระโดดหลบรังสีกระบี่ได้อย่างเฉียดฉิว แต่เส้นผมบนศีรษะก็ถูกตัดขาดไปครึ่งหนึ่ง หลังจากนั้น เขาก็ส่งเสียงร้องครวญครางก่อนจะหมุนตัววิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต

กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลินเป่ยเฉินกระตุกระริก

ให้ตายสิ… ทำไมแผนการของเขาถึงพังทลายลงรวดเร็วเช่นนี้?

เขานึกว่าเฉินเซียวเยี่ยนจะรักลูกยิ่งกว่าชีวิต แต่ที่ไหนได้ ชายชรากลับสั่งฆ่าบุตรชายของตนเองอย่างไม่มีเยื่อใยแม้แต่น้อย

วิธีการของเขาใช้ไม่ได้ผลไปอีกหนึ่ง

ซวีหวันหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

เหยียนหรู่อี้พยายามเม้มริมฝีปากแน่น แต่มุมปากก็ยกตัวเป็นรอยยิ้มแล้ว

“พี่เฉิน ดูเหมือนว่าวิธีนี้ของท่านก็ยังใช้ไม่ได้ผลอยู่ดี…”

หูเหม่ยเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย

“เฮอะ ข้าไม่เชื่อว่าโลกนี้จะมีสิ่งใดที่ข้าทำไม่ได้”

หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งหัวเราะอย่างเหนือชั้น “ข้ายังมีวิธีที่สาม ครั้งนี้ ข้ารับรองว่าผู้อาวุโสเฉินจะต้องยอมตีกระบี่ให้อย่างแน่นอน หากไม่เป็นเช่นนั้น ข้าก็ยินดีจะ…”