ตอนที่ 1112 เบื้องลึกของสัตว์ประหลาดยุคโบราณ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

เจ้าคางคกสั่นสะท้านไปทั้งตัว ถูกจ้องจนเกิดความกลัวขึ้นในใจ รีบร้อนพูดว่า “สัตว์ประหลาดยุคโบราณไม่มีอะไรพิเศษหรอก เทียบกับบุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบัน ก็แค่เวลาเก็บตัวจำศีลนานกว่าหน่อยหนึ่ง รากฐานพลังที่สะสมไว้น่ากลัวกว่าหน่อยหนึ่ง พลังมหามรรคที่ครอบครองล้ำเลิศกว่าหน่อยหนึ่ง… เท่านั้นเอง”

หลินสวินสายตาลุ่มลึก จับจ้องเจ้าคางคกพลางกล่าวว่า “ไม่เคยกลายเป็นราชัน ไม่อาจมีอายุยืนยาม เก็บตัวเงียบมาตั้งแต่ยุคบรรพกาลกระทั่งตอนนี้ ผ่านกาลเวลาไม่รู้ยาวนานเพียงไหน แต่ยังคงรักษาอายุขัยให้อ่อนวัยได้ นี่ไม่เรียกพิเศษหรือ”

เจ้าคางคกหนาวสะท้านไปทั้งตัว “ข้าเตือนเจ้าก่อนเลยนะ อย่ามาคิดพิเรนทร์กับข้า ข้าสาบานว่าแม้ตายก็จะไม่ยอมเด็ดขาด!”

อาหลู่ชิงเอ่ยปาก ถ่มน้ำลายครั้งหนึ่ง “เจ้าไม่ใช่เซียนสาวธิดาเทพสักหน่อย ต้องตาบอดถึงจะคิดพิเรนทร์กับเจ้าได้ แต่จะว่าไป รูปลักษณ์เช่นนี้ของเจ้าก็งดงามมากจริงๆ งดงามกว่าพวกผู้หญิงบนโลกนี้บางคนเสียอีก”

พูดจนจบเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มซุกซน

เจ้าคางคกโกรธจนแทบจะเข้าไปตีกับเจ้าคนเถื่อนนี่ ที่เขาชิงชังที่สุดก็คือเอารูปโฉมของเขาไปเทียบกับผู้หญิง!

จากนั้นเขาก็ถอนหายใจกล่าวว่า “อายุขัยของสรรพสัตว์อยู่ภายใต้อำนาจของกฎเกณฑ์แห่งกาลเวลา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ นอกเสียจากทลายอุปสรรคแห่งกาลเวลาถึงสามารถดำรงอยู่นิจนิรันดร์ แต่นี่แทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขนาดอริยะยังหลุดพ้นพันธนาการแห่งกาลเวลาได้ยาก”

“แม้สัตว์ประหลาดยุคโบราณจะมีพลังแฝงที่สามารถรักษาความอ่อนเยาว์ได้ ทว่าไม่ใช่พวกเขาจะร้ายกาจมากมายถึงขั้นสามารถหลบหนีการกัดเซาะของกาลเวลาได้ แต่เป็นเพราะพวกเขาล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ถูกฝังอยู่ใต้หิมะต่างหาก!”

“เมล็ดพันธุ์หรือ” หลินสวินเอ่ย

“ใช่ ใช้วิธีต้องห้ามขั้นสูงสุดผนึกพลังแฝง พลังชีวิตและพลังทั้งหมดไว้ ก็สามารถหลบเลี่ยงการกัดเซาะของกาลเวลา เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่ฝังใต้หิมะ ขอเพียงสลายผนึกแล้วปลูกเมล็ดพันธุ์ลงอีกครั้ง ก็สามารถเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ออกดอกออกผล”

เจ้าคางคกกังวลใจว่าจะถูกหลินสวินนำมาชำแหละศึกษา จึงเล่าเรื่องสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ตนรู้ออกมาทุกเรื่อง

“แต่ว่า เมล็ดพันธุ์ไม่ใช่ใครก็เป็นได้!”

พูดถึงตอนท้ายเจ้าคางคกสีหน้าเคร่งขรึม “เรื่องราวในโลกมีขึ้นมีลง กาลเวลาเปลี่ยนผัน นี่เป็นกฎระเบียบแห่งการโคจรของใต้หล้า ต่อหน้ากาลเวลาก็เหมือนเป็นข้าวเมล็ดหนึ่งในมหาสมุทรกว้างใหญ่”

“หากหมายหลบเลี่ยงการกร่อนเซาะของกาลเวลา ฝังเมล็ดพันธุ์ในหิมะ ทำให้มีโอกาสได้ตื่นขึ้นและถือกำเนิดอีกครั้ง ไม่เพียงต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรและพลังเหลือคณา หนำซ้ำยังต้องเดิมพันกับชะตาฟ้าดินอีกด้วย!”

“ถ้าโชคดี เมล็ดพันธุ์ก็จะมีความเป็นไปได้ที่จะผลิดอกอีกครั้ง”

“ถ้าโชคร้าย ถูกทับถมจนไม่อาจกลับมาได้ ก็แปลว่าตาย!”

“ในสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงขุมอำนาจกับสำนักใหญ่ที่ภูมิหลังน่ากลัวไร้ที่สิ้นสุดถึงสามารถวางแผนล่วงหน้า ฝังเมล็ดพันธุ์ลงไปได้”

เมื่อฟังถึงตรงนี้หลินสวินก็สะท้านในใจ เอ่ยว่า “นี่หมายความว่า สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่สามารถตื่นขึ้นและถือกำเนิดอย่างโดดเด่น ทุกคนต่างชนะเดิมพันชะตาฟ้าดินใช่หรือไม่ ส่วนเหล่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณอื่นๆ ที่ไม่ได้ถือกำเนิด เป็นไปได้สูงว่าจะไม่อาจฟื้นคืนชีวิตได้อีกหรือ”

เจ้าคางคกพยักหน้า “ถูกต้องตามนี้”

หลินสวินครุ่นคิด “สันนิษฐานเช่นนี้ สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ฟื้นคืนชีวิตในปัจจุบันทุกคน ล้วนเป็นบุคคลระดับผู้กล้าที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละขุมอำนาจเก่าแก่ใช่หรือไม่”

เจ้าคางคกพยักหน้าอีกครั้งหนึ่ง “การผนึกเมล็ดพันธุ์สิ้นเปลืองทรัพยากรและพลังมากอย่างที่สุด ตามที่ข้ารู้มา ขุมอำนาจบรรพกาลบางส่วน เพียงเพื่อทำให้ผู้กล้าบางคนตื่นขึ้นในมหายุคในอนาคตได้ ก็ใช้พลังของเผ่าจนสิ้น หลั่งเลือดหัวใจจนหมดเพื่อเดิมพันโชคชะตาของทั้งเผ่า!”

“ในสถานการณ์เช่นนี้ เมล็ดพันธุ์ที่ถูกผนึกจะเป็นคนธรรมดาได้หรือ ถึงกับพูดได้ว่าเมล็ดพันธุ์ที่ถูกผนึกทั้งหมดล้วนมีรากฐานพลังและคุณสมบัติบรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชัน ไม่ว่าจะเป็นรากฐานพลัง พรสวรรค์ หรือแก่นกระดูก ต่างไม่ด้อยไปกว่าผู้กล้าขอบเขตมกุฎคนใดในปัจจุบัน ที่พวกเขาขาดก็คือโอกาสการกลายเป็นราชันครั้งหนึ่งเท่านั้น!”

หลินสวินเข้าใจถ่องแท้แล้ว มิน่าถึงถูกมองว่าเป็น ‘สัตว์ประหลาด’ นี่เป็นเหล่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถเป็นราชันได้ ซึ่งขุมอำนาจบรรพกาลใช้พลังทั้งหมดเลือกออกมา!

หากศุภโชคมหายุคแห่งการกลายเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชันมีมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล คาดเดาได้เลยว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณเหล่านี้ย่อมไม่เลือกจำศีลเก็บตัวและรอคอยแน่ เกรงว่าคงเป็นราชันตั้งนานแล้ว

‘จำศีลเก็บตัวและรอคอยในกาลเวลาไร้ที่สิ้นสุด เพียงเพื่อรอมหายุคครั้งนี้…’

ในใจหลินสวินออกจะสั่นสะท้านอย่างเลี่ยงไม่ได้

เป็นครั้งแรกที่พบว่าวิถีแห่งมหามรรคโหดร้ายขนาดนี้!

หากเกิดไม่ถูกเวลา แม้มีคุณสมบัติของผู้กล้า สง่างามไร้เทียมทาน ก็เกรงว่าจะไม่เหลืออะไรเลย!

ยังดีที่สำหรับบุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นปัจจุบันแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็โชคดี เพราะมหายุคครั้งนี้มาเยือนในยุคสมัยที่พวกเขาอยู่!

อีกทั้งหลินสวินก็พอจะตัดสินได้คร่าวๆ แล้วว่า สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ว่าก็มีความแตกต่างไป

บ้างจำศีลยาวนาน ถูกฝังปิดผนึก เริ่มเก็บตัวตั้งแต่ยุคบรรพกาล

บ้างจำศีลสั้น เหมือนฉู่จงเทียนที่เริ่มเก็บตัวเมื่อพันปีก่อน

นี่ก็หมายความว่า ตั้งแต่บรรพกาลถึงปัจจุบันล้วนมีสัตว์ประหลาดที่ถูกฝังผิดผนึกในยุคต่างๆ

แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะมีมากมายนัก!

ก็เหมือนที่เจ้าคางคกพูด ต้องการปิดผนึกฝังเมล็ดพันธุ์ มีราคาที่ต้องจ่ายมหาศาล ทั้งยังต้องเดิมพันอีก แม้จะปิดฝังเอาไว้แต่ก็เป็นไปได้สูงที่จะไม่ตื่นขึ้นมาอีก!

“พลังต่อสู้ของสัตว์ประหลาดยุคโบราณเป็นอย่างไร” นี่ถึงเป็นสิ่งที่หลินสวินสนใจที่สุด

เจ้าคางคกพลันจองหองขึ้นมา โอหังคับฟ้า พูดอย่างหยิ่งผยองว่า “ว่ากันด้วยรากฐานพลังอาจจะไม่ต่างจากข้า แต่ถ้าว่ากันด้วยพลังต่อสู้ คนที่แข็งแกร่งกว่าข้าก็มีแต่ปะติ๋วเดียว”

“ปะติ๋วเดียวนี่เท่าไร” หลินสวินถาม

เจ้าคางคกกระแอมหนึ่งครั้ง “เรื่องนี้ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร เอาเป็นว่าไม่ได้มีมากนักหรอก อย่างไรเสียบุคคลแห่งยุคเหมือนอย่างข้าก็พบเจอได้ยากจริงๆ”

อาหลู่พลันดูถูก “เจ้าคางคกนี่คุยโม้ ปากดีชะมัด!”

“เจ้าไสหัวไปเลย!” เจ้าคางคกโกรธจนเข่นเขี้ยว เจ้าคนเถื่อนผู้นี้ชอบประชันกับตนตลอด ช่างพาให้คนชิงชังนัก!

ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันเองอีกแล้ว หลินสวินคร้านจะสนใจ

หากหญิงลึกลับผู้นั้นคาดคะเนได้ถูกต้อง จากตอนนี้ถึงช่วงมหายุคมาเยือน อย่างมากก็เหลือแค่เดือนเดียว

ถึงตอนนั้นแดนมกุฎจะต้องปรากฏขึ้นแน่!

แต่ไม่ว่าจะเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎในยุคปัจจุบัน ปีศาจแห่งยุคในแดนเร้นอริยะ หรือสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ถูกฝังผนึกจนปัจจุบัน ถึงเพิ่งถือกำหนดออกมาอย่างโดดเด่น เพื่อการเป็นระดับมกุฎราชัน ล้วนต้องเข้าไปในแดนมกุฎแน่

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการช่วงชิงความเป็นหนึ่งในหมู่ผู้กล้า!

และการต่อสู้ก็ต้องโหดร้ายและน่ากลัวกว่าที่คาดคิดไว้!

‘ถึงเวลาไปดูโลกภายนอกแล้ว…’

หลินสวินพูดกับตัวเอง เขาต้องการรู้ข่าวมหายุค รวมถึงเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งกำลังเกิดขึ้นในโลกนี้ยิ่งขึ้นไปอีก

หือ?

ทันใดนั้นในใจหลินสวินสั่นสะท้าน แววปรีดาผุดขึ้นในดวงตา

เขายื่นมือพลิกครั้งหนึ่ง เจดีย์สมบัติไร้อักษรก็ปรากฏขึ้น

เงาร่างเพรียวบางสูงโปร่งร่างหนึ่งเดินออกมาพร้อมเสียงครึกโครมประหลาดระลอกหนึ่ง

ประกายแสงดำมืดราวรัตติกาลนิรันดร์อบอวลรอบเงาร่างอ้อนแอ้นนั้นของนาง ขับเน้นให้นางเหมือนเทพที่เดินออกมาจากราตรีนิรันดร์องค์หนึ่ง

ซย่าจื้อ!

ความคิดฟุ้งซ่านในสมองของหลินสวินทั้งหมดหายไปอย่างรวดเร็ว จิตวิญญาณและสายตาต่างจดจ่อ

เหมือนก่อนหน้านี้ ซย่าจื้อตื่นขึ้นมาครั้งนี้ยังคงสวมชุดคลุมสีดำตัวหนึ่ง หมวกคลุมปิดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่ซีดขาวลงเล็กน้อยกับคางที่ขาวกระจ่างละเอียดลออ

เพียงแต่ที่ไม่เหมือนกับแต่ก่อนก็คือ ซย่าจื้อสูงขึ้นอีกแล้ว เงาร่างอ้อนแอ้นสูงโปร่งยืนอยู่เช่นนั้น ศีรษะสูงเท่ากับหูของหลินสวินแล้ว

หากกล่าวว่าสมัยอยู่ในโลกชั้นล่าง ซย่าจื้อยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่อ่อนวัยและงามล้ำผู้หนึ่ง

เช่นนั้นตอนตื่นขึ้นในเทศกาลโคมกถามรรค นางก็ดูสะโอดสะองเหมือนเด็กสาวแรกแย้ม แม้ยังไม่โตเป็นสาวเต็มที่ แต่กลับเผยความสง่างามของเด็กสาวที่สะท้านโลกาออกมาให้เห็น

และซย่าจื้อที่ปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ต่างออกไปอีกแล้ว

รูปร่างอ้อนแอ้นอรชรดุจต้นหลิว ทรวงทรงองค์เอวเพรียวบางจนแขนเดียวก็โอบได้ แม้นางใช้หมวกคลุมบดบังใบหน้า เพียงแต่แค่ส่วนโค้งเว้าก็เพียงพอจะเผยความงามที่พาให้ทุกคนตื่นตะลึงได้แล้ว

อึก! อึก!

ด้านข้าง เจ้าคางคกกับอาหลู่ต่างกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ดวงตาแข็งทื่อ

แต่ชุดคลุมสีดำของซย่าจื้อเป็นของสมัยก่อน เดิมทีก็ว่าเล็กแล้ว ตอนนี้เมื่อตัวสูงขึ้น พอสวมใส่แล้วจึงรัดรูปอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะท่อนล่างที่บดบังได้แค่บริเวณต้นขา เผยให้เห็นท่อนขาตรงเรียวยาว ขาวเปล่งปลั่งคู่หนึ่ง ผิวพรรณเหมือนมันแพะงาช้าง สมบูรณ์แบบไร้ราคี ประกายแวววาวเปล่งปลั่งกระจายออกมา

แม้แต่หลินสวินก็ใจเต้นแรง ภาพนี้มีแรงโจมตีหนักเกินไปแล้ว

เพียงแต่เมื่อเห็นท่าทางหลงใหลของเจ้าคางคกและอาหลู่ หลินสวินก็หน้าถมึงทึงขึ้นทันที ยกขาเตะเจ้าสองคนนี้จนกระเด็นออกไป

จากนั้นเขาก็นำเสื้อผ้าของตนออกมาชุดหนึ่ง ช่วยซย่าจื้อผูกเอวอย่างแคล่วคล่องว่องไว

ในระหว่างขั้นตอนนี้ การเคลื่อนไหวของหลินสวินเป็นธรรมชาตินัก เหมือนช่วยห่มผ้าห่มให้ซย่าจื้อที่หลับสนิทสมัยอยู่ที่หมู่บ้านเฟยอวิ๋นอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีตรงไหนที่ไม่เป็นธรรมชาติ

คล้ายไม่รับรู้เลยว่านางไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยในตอนนั้นแล้ว สถานการณ์ตรงหน้าก็ไม่เหมือนตอนแรกมานานแล้ว

ทว่าตั้งแต่เริ่มจนจบ ซย่าจื้อก็สงบนิ่งเช่นกัน ดวงตากระจ่างใสมองหลินสวินที่กำลังกุลีกุจอผ่านหมวกคลุมอยู่เงียบๆ เป็นธรรมชาติเหมือนตอนนั้น ไม่มีการต่อต้านหรือคัดค้านเช่นกัน

ไม่นานนัก เสื้อผ้าที่ผูกไว้กับเอวก็บดบังเรียวขาเย้ายวนคู่นั้นไว้ได้อย่างฝืนๆ

ตอนนี้หลินสวินถึงพอใจ ลุกขึ้นพูดว่า “ผูกไว้เช่นนี้ก่อน รอมีเวลาข้าจะซื้อชุดที่พอดีตัวให้เจ้าสักสองสามชุด”

ที่จริงแล้วเอาเสื้อผ้ามาผูกไว้ที่เอวย่อมดูผิดฝาผิดตัวอยู่บ้าง แต่เมื่ออยู่บนร่างอ้อนแอ้นงดงามของซย่าจื้อกลับทำให้ดูสง่างามไปอีกแบบ

ซย่าจื้อพยักหน้า

หลินสวินตบหน้าผากแล้วพูดว่า “จริงด้วย ข้าไม่ได้ลืมคำที่เจ้าพูดไว้ เก็บของอร่อยไว้ให้เจ้ากองโตเลย”

เขาพูดพลางเริ่มหยิบของออกมาข้างนอก มีทั้งเนื้อย่าง ของว่างนานาชนิด อาหารจำพวกดอกผลอัศจรรย์ล้ำเลิศหลากหลายพันธุ์

หลินสวินกุลีกุจอพลางพูดว่า “เจ้าตื่นขึ้นมาคราวนี้ ก็เพราะมหายุคกำลังจะมาเยือนใช่ไหม”

ซย่าจื้อส่งเสียงอืม นั่งยองกับพื้นอย่างเป็นธรรมชาติ มือทั้งสองกอดเข่า ดวงตาจับจ้องหลินสวินอยู่ตลอด

“ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนนี้บนโลกนี้มีสัตว์ประหลาดยุคโบราณไม่น้อยปรากฏตัวขึ้น คึกคักยิ่งนัก ขนาดเจ้าคางคกยังตื่นแล้ว หากเจ้ายังไม่ตื่นก็คงแปลกนัก”

“จริงด้วย เจ้าตื่นขึ้นคราวนี้อยากไปแดนมกุฎกับข้าหรือไม่ ว่ากันว่าที่นั่นมีศุภโชคเย้ยฟ้าไม่น้อยผนึกไว้ ถ้าเจ้าอยากได้ชิ้นไหนข้าจะช่วยเจ้าชิงมา”

เกาะสันโดษเงียบสงัด โดยรอบมีแต่ทะเลกว้างสีเงินเจิดจรัส

หลินสวินยุ่งง่วนไปพลาง พร่ำพูดไปพลาง ดูพูดมากอยู่บ้าง

แต่ก็ดูออกได้ว่าตอนนี้เขาอารมณ์ดีขนาดไหน

ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นเพราะซย่าจื้อตื่นขึ้นมาแล้ว

——