บทที่ 569.1 ศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ชุยตงซานนั่งกลับลงไปบนม้านั่งตัวเล็กด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว ยื่นมือสองข้างออกมา ข้างหนึ่งอ้อมข้ามศีรษะ อีกมือหนึ่งวางไว้ตรงหัวเข่า “ฉีจิ้งชุนใช้สิ่งนี้มาปกป้องมรรคา แล้วอย่างไร? ตอนนี้อาจารย์ก็ยังอยู่ในจุดต่ำ ระหว่างความต่ำสูงนี้มีเรื่องไม่คาดฝันห้อมล้อมมากมาย ตู้เม่าก็คือตัวอย่างหนึ่งในนั้น”

กล่าวมาถึงตรงนี้ก็เหมือนชุยตงซานจะนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ จึงเบ้ปากพูดว่า “เอาเถอะ ไม่นับตู้เม่า ฉีจิ้งชุนก็ยังถือว่าพอจะมีกลยุทธในการรับมืออยู่บ้าง แต่หากขยับลงไปอีกหน่อย ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่ต่ำกว่าขอบเขตบินทะยานอย่างขอบเขตหยกดิบ ขอบเขตเซียนเหริน หรือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด หากอาจารย์ต้องเข่นฆ่ากับพวกเขา จะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันหมุนตัวกลับมา ยิ้มกล่าวว่า “นี่มันคำพูดไร้แก่นสารอะไรกัน บนเส้นทางของการเดินขึ้นเขา ผู้ฝึกตนใต้หล้านี้ต่างก็ต้องรับมือกับเรื่องไม่คาดฝันและหมื่นหนึ่งอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หรือ? หลักการเหตุผลที่สุดโต่งไม่ถือว่าเป็นหลักการเหตุผล ข้อนี้เจ้าไม่เข้าใจหรือ? นิสัยแย่ๆ ที่แพ้แล้วพาลไม่ยอมแพ้ของเจ้า ต้องเปลี่ยนได้แล้ว”

ชุยตงซานกล่าว “ในใจยอมรับว่าแพ้ แต่ปากไม่ยอมรับ แค่นี้ก็ไม่ได้หรือ?”

เฉินผิงอันเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยต่อคำ

ชุยตงซานเก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืนมา เอ่ยว่า “รู้เร็วขนาดนี้ ไม่ดี”

เฉินผิงอันกล่าว “ข้ารู้”

ชุยตงซานยกสองมือเกาหัว พูดอย่างอัดอั้นว่า “นับแต่โบราณมาคนคำนวณล้วนไม่สู้ฟ้าลิขิต คำพูดประโยคนี้สามารถข่มขู่ให้คนบนยอดเขาตกใจกลัวได้มากที่สุด ใช้ความไม่ตั้งใจเล่นงานคนตั้งใจ นั่นต่างหากถึงจะมีโอกาสชนะ อาจารย์ไม่รู้หรือว่า ในอดีตที่ท่านสามารถเอาชนะลู่เฉินมาได้ ถือเป็นความโชคดีที่บังเอิญมากแค่ไหน? ตอนนี้หากลู่เฉินคิดจะเล่นงานอาจารย์อีกครั้ง แค่แบ่งสมาธิมาหน่อย ยอมทำตัวหน้าไม่อาย วางแผนที่รอบคอบรัดกุมเล่นงานอาจารย์ อาจารย์ก็ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”

ชุยตงซานหยุดมือที่เกาหัวยิกๆ ของตัวเอง เพิ่มน้ำหนักเสียงพูดว่า “แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก็คงใช่กระมัง”

ชุยตงซานถอนหายใจ สีหน้าซับซ้อน

ทุกครั้งที่เข้าใจสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน ก็ล้วนถือเป็นการสร้างศัตรูให้ตัวเองทั้งสิ้น

จะเรียกว่าทำตัวเป็นศัตรูกับโลกก็ยังได้

ต้นหญ้าบนผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ กลับกลายเป็นว่าต้านรับแรงลมไม่หักโค่นงอได้มากกว่าต้นไม้สูง

เฉินผิงอันกลับมานั่งลงบนม้านั่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องพวกนี้ คนเราจะเอาแต่หาเรื่องมาขู่ให้ตัวเองตกใจกลัวไม่ได้ ตลอดหลายปีในตรอกหนีผิง ข้าก็ยังเดินผ่านมาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลให้ยิ่งเดินแล้วยิ่งขี้ขลาด วิชาหมัดไม่อาจฝึกอย่างเสียเปล่า คนเราก็ไม่ควรมีชีวิตอย่างเสียเปล่าเช่นกัน”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ “อาจารย์คิดเช่นนี้ได้ก็ดีแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ เดินก้าวหนึ่งก็คิดกันไปก้าวหนึ่ง แล้วก็ทำได้แค่นี้เท่านั้น ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือข้ามฟาก เจ้ายอมให้ข้าสิบสองเม็ดก็ยังกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคงไปอีกสิบปีให้หลัง? แล้วหากข้ามีชีวิตอยู่ได้ร้อยปีเล่า?”

ชุยตงซานพูดเสียงแผ่ว “หากกระดานหมากยังมีสิบเก้าช่อง ศิษย์ไม่กล้าพูดว่าอีกหลายสิบปีให้หลังจะยังสามารถยอมให้อาจารย์สิบสองเม็ด แต่หากกระดานหมากใหญ่ขึ้นอีกนิด…”

สายตาของเฉินผิงอันจ้องมองไปเบื้องหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หุบปาก!”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ยามที่อาจารย์ไร้เหตุผลนั้นมีมาดองอาจเป็นที่สุด!”

เขาที่เป็นลูกศิษย์จะคอยตั้งตารอดู

คอยดูด้วยความคาดหวังอย่างยิ่ง

เฉินผิงอันบอกว่าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย แล้วก็ไม่ได้สนใจชุยตงซานอีก

ชุยตงซานจึงนั่งต่ออยู่ในบ้านบรรพบุรุษหลังนี้ จ้องมองวงกลมเล็กใหญ่สองวงบนพื้น ไม่ได้พยายามใคร่ครวญหาความหมายที่ลึกซึ้งของพวกมัน แต่เป็นเพราะความเบื่อล้วนๆ

หากพูดถึงแค่ความรู้นับพันนับหมื่นบนโลก ความรู้ที่สามารถทำให้ชุยตงซานครุ่นคิดถึงจุดที่เล็กละเอียดยิบย่อยของพวกมันได้ มีอยู่ไม่เยอะ

เฉินผิงอันไปที่หลุมฝังศพของพ่อแม่ เขาเผากระดาษจำนวนมาก กระดานส่วนหนึ่งในนั้นก็คือกระดาษที่ซื้อมาจากถ้ำสวรรค์วังมังกร จากนั้นก็นั่งลงเติมดิน

ชุยตงซานเขย่งปลายเท้าพาดตัวไปบนหัวกำแพง มองไปยังด้านในของเรือนที่อยู่ติดกัน ลมและน้ำของตรอกเส้นนี้ช่างดีจริงๆ

ซ่งจี๋ซินกลายเป็นอ๋องเจ้าเมืองของต้าหลี ส่วนจื้อกุยผู้นั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าล้วนเป็นบ้านของนาง ตระกูลฝูก็คือบ่าวไพร่ที่เฝ้าบ้านให้นาง

ชุยตงซานปีนขึ้นไปบนหัวกำแพง กระโดดอยู่สองที เศษฝุ่นก็ร่วงลงมาระนาว

เฉาซีเซียนกระบี่ได้ออกจากอุตรกุรุทวีปกลับไปยังทักษิณาตยทวีปแล้ว เพราะถึงอย่างไรหอพิทักษ์เมืองแห่งนั้นก็จำเป็นต้องมีคนคอยควบคุมสถานการณ์ จึงทิ้งเฉาจวิ้นที่พบเจออุปสรรคเล็กๆ บนเส้นทางการฝึกตนผู้นั้นให้ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในกองทัพต้าหลีเอาเอง

เกี่ยวกับเรื่องของผีสาวสวมชุดแต่งงาน อันที่จริงไม่ใช่ว่าอาจารย์จะไม่มีคำตอบให้

ก็แค่เขาชุยตงซานแสร้งพูดให้เรื่องราวฟังดูซับซ้อน นี่ก็เพื่อหวังยืนยันเรื่องหนึ่งให้แน่ใจว่าตอนนี้อาจารย์โน้มเอียงเข้าหาความรู้ประเภทไหนกันแน่

ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ต่างจากการยกหินทุ่มเท้าตัวเอง ตอนนี้ชุยตงซานจึงรู้สึกเสียใจภายหลังอยู่มาก

ชุยตงซานยื่นมือสองข้างออกมา กางนิ้วทั้งสิบ สะบัดข้อมือ

หากไม่มีเรื่องนี้ อันที่จริงชุยตงซานยังอยากจะคุย ‘เรื่องเล็ก’ อีกเรื่องหนึ่งกับอาจารย์ ความรู้ที่จำเป็นต้องใช้เส้นใยเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนถักทอขึ้นมา

แน่นอนว่าชุยตงซานย่อมไม่มีทางถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดของตัวเองไปให้กับผู้อื่น แต่จะเลือกแค่บาง ‘ช่วงตอน’ ที่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนเท่านั้น

การสร้างคนกระเบื้อง

เศษกระเบื้องแตกพังหนึ่งกองจะเอามาประกอบกันเป็นคนที่แท้จริงคนหนึ่งได้อย่างไร สามจิตหกวิญญาณ เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้อย่างไร

รากฐานของความรู้นี้กำลังถักทออยู่

ตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าการกระทำนี้ต้องใช้ต้นทุนสูงเกินไป ความรู้ลึกล้ำเกินไป ธรณีประตูสูงเกินไป แม้แต่ชุยตงซานเองก็ยังหาวิธีที่จะฝ่าสถานการณ์นี้ออกไปไม่ได้

หากทำสำเร็จ ความกังวลซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ใหญ่ที่สุดของใต้หล้าไพศาล การยกทัพบุกเข้ามารุกรานของเผ่าปีศาจ รวมถึงศัตรูคู่แค้นที่ใต้หล้ามืดสลัวจำเป็นต้องสร้างป๋ายอวี้จิงขึ้นมาต้านทาน ล้วนยากที่จะหนีพ้นจุดจบของการดับสูญอย่างสิ้นเชิงไปได้

หากว่ากันตามความหมายบางประการ การปรากฏตัวของมนุษย์ ก็คือ ‘คนกระเบื้อง’ ในช่วงแรกเริ่มสุดนั่นเอง ก็แค่วัสดุต่างกันเท่านั้น

และชุยตงซานเองก็หวังว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่ง ในช่วงเวลาที่งานใหญ่ของเขากำลังจะประสบความสำเร็จ คนที่สามารถทำให้ตนเชื่อและศรัทธาได้อย่างสุดจิตสุดใจ จะสามารถบอกกับเขาได้ว่าการเลือกของเขาผิดหรือถูกกันแน่ ไม่เพียงเท่านี้ ยังต้องอธิบายอย่างชัดเจนว่าถูกที่ตรงไหน หรือผิดที่ตรงใด จากนั้นเขาชุยตงซานก็จะสามารถทุ่มเททำงานได้อย่างเต็มที่ แม้จะตายก็ไม่เสียดายอีกแล้ว

ไม่เหมือนกับซิ่วไฉเฒ่าที่ในปีนั้นบอกเพียงแค่ผลลัพธ์ ไม่บอกว่าเพราะอะไร

……

เรือข้ามฟากของกองทัพต้าหลีลำหนึ่งจอดลงที่ท่าเรือของภูเขาหนิวเจี่ยวช้าๆ ที่เดินทางมาพร้อมกันนั้นก็คือเรือมังกรลำมโหฬารที่ถูกเว่ยป้อองค์เทพขุนเขาเหนือและจิ้นชิงองค์เทพขุนเขากลาง สองซานจวินใหญ่ทยอยกันร่ายเวทอำพรางตา

หลิวจ้งรุ่น หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยนสามคนเดินลงจากเรือมังกร

แม่ทัพบู๊หลิวสวินเหม่ยและผู้ฝึกกระบี่เฉาจวิ้นไม่ได้ลงจากเรือ ปกป้องคุ้มกันเรือมังกรมาส่งถึงที่นี่ก็ถือว่างานใหญ่สำเร็จลุล่วงแล้ว หลิวสวินเหม่ยยังต้องไปรายงานผลกับเฉาผิงทูตผู้ตรวจตราด้วย

หลิวสวินเหม่ยถามขึ้นเสียงเบาว่า “คนหนุ่มสวมชุดเขียวผู้นั้นก็คือเฉินผิงอันเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว? มีชาติกำเนิดมาจากตรอกหนีผิงเหมือนกับบรรพบุรุษของเจ้า?”

เฉาจวิ้นที่นั่งอยู่บนราวระเบียงพยักหน้ารับ “เป็นคนหนุ่มคนหนึ่งที่น่าสนใจมาก ในสายตาของข้า เขาน่าสนใจยิ่งกว่าหม่าขู่เสวียนเสียอีก”

หลิวสวินเหม่ยยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันยังเป็นสหายของกวนอี้หรานเพื่อนสนิทข้าด้วย เมื่อปลายปีก่อนพูดคุยถึงเจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วคนนี้ที่ถนนฉือเอ๋อร์ กวนอี้หรานเป็นคนนิสัยสุขุม พูดน้อยมาตั้งแต่เด็ก แต่ข้ามองออกว่ากวนอี้หรานให้ความสำคัญกับคนผู้นี้มาก”

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉาจวิ้นได้ยินเรื่องนี้ แต่กลับไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย

หลิวสวินเหม่ยเอ่ยระลึกความทรงจำว่า “ฟู่อวี้ที่มีชาติกำเนิดจากตรอกอี้ฉือผู้นั้น ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไปเป็นเจ้าเมืองอยู่ที่เขตการปกครองเป่าซี ก็ถือว่าได้ดิบได้ดีแล้วเหมือนกัน แต่ข้ากับฟู่อวี้ไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก แค่จำได้ว่าตอนเด็กๆ ฟู่อวี้มักจะชอบมาเดินตามก้นพวกเราต้อยๆ ทุกวัน ตอนนั้นคนวัยเดียวกันของถนนฉือเอ๋อร์อย่างพวกเราไม่ค่อยชอบเล่นกับเด็กของตรอกอี้ฉือสักเท่าไร เด็กสองกลุ่มเข้ากันไม่ค่อยได้นัก แถมทุกปีทั้งสองฝ่ายจะต้องนัดต่อสู้กัน เล่นปาหิมะใส่กันแรงๆ อยู่หลายครั้ง พวกเราแพ้น้อยชนะมาก ฟู่อวี้ค่อนข้างจะกระอักกระอ่วนสักหน่อย เพราะไม่รู้จะไปอยู่กับฝ่ายไหนดี ทุกครั้งที่หิมะตก เขาก็จะไม่ออกจากบ้านเสียเลย เกี่ยวกับใต้เท้าเจ้าเมืองที่ข้ามีความทรงจำอันพร่าเลือนต่อเขาผู้นี้ ข้าก็จดจำได้เพียงเท่านี้ แต่อันที่จริงทั้งตรอกอี้ฉือและตรอกฉือเอ๋อร์ต่างก็มีภูเขาน้อยใหญ่เป็นของตัวเอง ครึกครื้นมากนักล่ะ แต่พอโตขึ้นกลับไม่รู้สึกสนุกอีกต่อไป บางครั้งที่เจอหน้ากัน เห็นใครก็แค่ยิ้มให้”

เฉาจวิ้นยิ้มกล่าว “ผ่านไปอีกสักร้อยสองร้อยปี ยามที่นึกถึงแม่ทัพหลิวอีกครั้ง คาดว่าข้าก็คงรู้สึกแบบเดียวกันนี้”

หลิวสวินเหม่ยกล่าวอย่างระอาใจ “เป็นคนไม่รู้จักพูดคุยจริงๆ เสียด้วย”

เฉาจวิ้นเอ่ย “หากข้าคุยเก่ง ป่านนี้ก็ได้เลื่อนขั้นรวยไปนานแล้ว”

หลิวสวินเหม่ยกล่าว “หากไม่มีคุณความชอบทางการทหารที่เป็นรูปธรรม คนคุยไม่เก่งอย่างเจ้า ข้ายังจะอยากคุยด้วยอีกหรือ?”

เฉาจวิ้นหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าคุยเก่งนักหรือไง?”

หลิวสวินเหม่ยฟุบตัวลงบนราวระเบียง “ไม่ว่าข้าจะตายในสนามรบ หรือแก่ตายอยู่บนเตียง วันหน้าหากเจ้าเดินทางผ่านแจกันสมบัติทวีปมา จำไว้ว่าต้องมาเยี่ยมข้าที่หลุมฝังศพด้วย”

เฉาจวิ้นมองไปยังทิศไกล “ใครบอกว่าผู้ฝึกตนจะต้องมีชีวิตยืนยาวเสมอไป? ระหว่างเจ้ากับข้า ใครจะดื่มเหล้าหน้าหลุมศพของใคร ก็ยังไม่แน่”

หลิวสวินเหม่ยยิ้มเฝื่อน “ช่วยพูดเรื่องที่มันชวนเบิกบานสักหน่อยได้ไหม?”

เฉาจวิ้นคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ขออวยพรให้แม่ทัพหลิวได้เลื่อนขั้นเป็นทูตรผู้ตรวจตราในเร็ววัน?”

หลิวสวินเหม่ยพยักหน้ารับ “อันนี้ดี!”

หลิวสวินเหม่ยยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขออวยพรให้เซียนกระบี่เฉาเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนในเร็ววัน?”

เฉาจวิ้นใช้สองมือขยี้ซีกแก้มตัวเองอย่างแรง “อันนี้ยาก”

เฉินผิงอันเพียงแค่พาเผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่มา ‘รับเสด็จ’ ที่นี่เท่านั้น สำหรับเฉาจวิ้นที่สวมชุดคลุมสีดำ ตรงเอวพกกระบี่สั้นยาวซึ่งสะดุดตาผู้นั้น เขามองเห็นอย่างชัดเจน ก็แค่แสร้งทำเป็นไม่เห็นเท่านั้น

เว่ยเซี่ยนผงกศีรษะทักทายเฉินผิงอัน เฉินผิงอันยิ้มตอบรับ

มีเพียงได้พบเผยเฉียนเท่านั้น เว่ยเซี่ยนถึงจะมีรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก

เจ้าถ่านดำน้อยผู้นี้ตัวสูงเร็วจริงๆ

เผยเฉียนกระโดดโลดเต้นเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเว่ยเซี่ยน แล้วเดินอาดๆ วนรอบกายเว่ยเซี่ยนเป็นวงใหญ่ “โอ้โห ดำเป็นถ่านยิ่งกว่าเดิมเสียอีก”

เว่ยเซี่ยนตีหน้าเคร่ง “บังอาจ”

เผยเฉียนพูดอย่างเดือดดาล “ทำไม! จะวางมาดใส่ข้าอีกแล้วใช่ไหม? หลอกผีน่ะสิเจ้า ที่บ้านเจ้ามีไม้คานสีทองกะผายลมน่ะสิ”

เว่ยเซี่ยนเอ่ย “ตอนนี้ข้าเป็นอู่ซวนหลางของต้าหลี แล้วยังเป็นขุนนางใหญ่อีกด้วย”

เว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนมีชาติกำเนิดจากตรอกเก่าโทรมในชนบท แต่มามีชื่อเสียงได้ดิบได้ดีในกองทัพบนสนามรบ

เผยเฉียนยกนิ้วโป้งชี้ไปยังโจวหมี่ลี่ที่แบกไม้เท้าเดินป่าสองอันยืนอยู่ด้านข้าง “ใหญ่แค่ไหน? ใหญ่เท่านางไหม?”

เว่ยเซี่ยนไม่รู้ว่าเผยเฉียนอมพะนำเรื่องอะไรอยู่ “มีเรื่องเล่ารึ?”

เผยเฉียนตะโกนเรียก “โจวหมี่ลี่!”

แม่นางน้อยชุดดำกระทืบเท้า ยืดอกตั้ง “อยู่นี่!”

เผยเฉียนแค่นเสียงเย็นในลำคอ “บอกมา เจ้าชื่ออะไร!”

โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้วแน่น เขย่งปลายเท้ากระซิบเสียงเบาอยู่ข้างหูเผยเฉียน “เมื่อครู่นี้เจ้าเรียกชื่อของข้าไปแล้ว ข้าควรจะเรียกตัวเองว่าภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้หรือผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วดีล่ะ?”

เผยเฉียนถอนหายใจ เจ้าฟักน้อยนี่อย่างอื่นล้วนดีหมด เพียงแค่โง่ไปหน่อยเท่านั้น

เว่ยเซี่ยนยิ้มพลางยื่นมือออกมาหมายจะลูบหัวของแม่นางน้อยถ่านดำ คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะก้มหัวค้อมตัวขยับหนึ่งก้าวหลบพ้นมาได้อย่างง่ายๆ เผยเฉียนจุ๊ปากพูด “เหล่าเว่ยเอ๋ย เจ้าแก่แล้วนะ หนวดเคราเต็มหน้าแบบนี้จะหาเมียได้อย่างไร ยังเป็นโสดอยู่สินะ ไม่เป็นไร ไม่ต้องเสียใจไป ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราในทุกวันนี้ อย่างอื่นมีไม่มาก แต่คนที่หาเมียไม่ได้อย่างเจ้านี่แหละที่มีมากที่สุด เว่ยป้อที่เป็นเพื่อนบ้านเอย พ่อครัวเฒ่าจูเอย เจิ้งต้าเฟิงที่ตีนเขาเอย เสี่ยวป๋ายที่ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่เอย เหล่าซ่งบนยอดเขาเอย หยวนไหลเอย แต่ละคนน่าสงสารนัก”

เว่ยเซี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้าเองก็ยังไม่มีอาจารย์แม่เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

เผยเฉียนกระตุกมุมปาก หัวเราะเฮอะๆๆ ติดกันสามที

โจวหมี่ลี่ก็เฮอะๆๆ ตามไปด้วย

เฉินผิงอันที่เพิ่งทักทายหลูป๋ายเซี่ยงและหลิวจ้งรุ่นเสร็จหันมาเขกมะเหงกใส่สองศีรษะน้อยๆ ไปคนละที

เผยเฉียนเคยชินเสียแล้ว แต่โจวหมี่ลี่ที่เคยยืนอยู่ในหีบไม้ไผ่ใบใหญ่เขกมะเหงกให้เฉินผิงอันกินจนอิ่มกลับเตรียมจะอ้าปากกัดเฉินผิงอัน ผลกลับถูกเฉินผิงอันกดหัวเอาไว้ แล้วโจวหมี่ลี่เตรียมจะแสดงอำนาจบารมีก็ได้ยินเผยเฉียนกระแอมหนักๆ หนึ่งที นางพลันหยุดนิ่งไม่ขยับทันที

หลิวจ้งรุ่นมียันต์กระบี่ที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นผู้สร้างอยู่แผ่นหนึ่ง จึงทะยานลมจากไปโดยตรง

ตำหนักวารีสมบัติหนักที่ถูกเซียนหลอมกลางมาแล้ว ตอนนี้ยังถูกซ่อนไว้บนเรือมังกร วันหน้าหลูป๋ายเซี่ยงจะขอให้ซานจวินเว่ยป้อร่ายวิชาอภินิหารส่งตรงไปที่ภูเขาหลังอ๋าว ไม่อย่างนั้นตำหนักวารีที่ใหญ่เหมือนรถม้าคันหนึ่ง อีกทั้งนางเองก็ไม่มีวัตถุจื่อชื่อในตำนานติดกาย ไม่ใช่ว่าไม่สามารถร่ายวิชาน้ำเคลื่อนย้ายตำหนักวารีได้ แต่จะสะดุดตาเกินไป ท่าเรือมีคนมากมายสายตาก็มากตามไปด้วย หลิวจ้งรุ่นทำอย่างนี้ก็เพื่อป้องกันไว้ก่อน นางไม่อยากให้มีปัญหาแทรกซ้อนจริงๆ

ส่วนเรือมังกรที่มีชื่อว่า ‘ฟานโม่’ (หมึกที่หกพลิกคว่ำหรือเมฆดำที่ทับซ้อนกันหนาชั้น) ลำนั้น แน่นอนว่าต้องกลายเป็นทรัพย์สินของภูเขาลั่วพั่ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ภูเขาหนิวเจี่ยวทั้งลูกมีเฉินผิงอันและเว่ยป้อเป็นผู้ร่วมครอบครอง การมาจอดที่นี่ก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินแล้ว