บทที่ 1827 ควรมีลูกชายอย่างเซี่ยโห้วลิ่ง

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ตำหนักดาราจักร ขุนนางใหญ่คนสนิทอยู่ด้วยหลายคน

ประมุขชิงเอามือไขว้หลังยืนตรงประตูใหญ่และมองไปข้างนอกเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วก็เดินเนิบนาบกลับมาท่ามกลางการจับจ้องของสายตาหลายคู่ เขาหันซ้ายหันขวาแล้วถามว่า “เป็นตระกูลเซี่ยโห้วทำหรือเปล่า? มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อมั้ย?”

“หนิวโหย่วเต๋อไม่น่าจะเป็นไปได้ ผู้ที่สามารถพาคนออกไปเงียบๆ ภายใต้หนังตาคนมากมายขนาดนั้น ทั้งยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีกำลังพลเฝ้าแน่นหนา นอกจากตระกูลเซี่ยโห้ว ก็คาดว่าจะไม่มีคนอื่นสามารถทำได้แล้วขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ

“แล้วทำได้ยังไงกันแน่? หลังจากเกิดเรื่องหวังจัวก็ยังใช้ระฆังดาราตอบกลับมาได้ หรือว่าจะถูกบีบบังคับ?” ประมุขชิงถาม

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “ข้าน้อยสงสัยว่าหวังจัวอาจจะเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ตอนที่หวังจัวออกไปคนเดียว ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะพกคนในครอบครัวออกไปด้วยกันแล้ว นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถพาคนตระกูลหวังออกไปอย่างไร้ซุ่มเสียงได้”

“อ้อ!” ประมุขชิงยกมือขยี้เครา แล้วพยักหน้าเบาๆ สายตามองไปยังคนที่เหลือ เหมือนกำลังถามว่าพวกเจ้ายังมีความคิดเห็นอะไรอีก

ขณะที่พวกเขากำลังครุ่นคิดเงียบๆ เกาก้วนกลับกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าน้อยมีความเห็นแตกต่างเล็กน้อย ความเห็นของข้าน้อยค่อนข้างเอนเอียงไปทางหนิวโหย่วเต๋อขอรับ”

คำกล่าวนี้ทำให้คนอื่นมองมาพร้อมกันทันที ประมุขชิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ทุกคนต่างรู้ว่าเกาก้วนดูแลหน่วยตรวจการขวามาหลายปี เชี่ยวชาญการสืบคดี ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว แสดงว่าเขาไม่พูดลอยๆ เหมือนยิงธนูไร้เป้าแน่

ประมุขชิงชักสนใจแล้ว ไม่ได้เดือดดาลที่สนมของตัวเองถูกชิงตัวไปเลยสักนิด ถามอย่างสนใจว่า  “ทำไมคิดอย่างนั้น?”

“หลังจากเกิดเรื่อง คำตอบที่หวังจัวบอกว่าโบยบินจากไปไกลอะไรนั้นก็คือพิรุธที่ใหญ่ที่สุด ยิ่งปิดก็ยิ่งน่าสงสัย” เกาก้วนตอบ

“ยิ่งปิดยิ่งน่าสงสัยตรงไหน?” ซือหม่าเวิ่นเทียนไม่ยอม

เกาก้วนตอบว่า “หากโบยบินจากไปไกลจริง ก็ไม่จำเป็นต้องตอบกลับเลย แค่ไปเงียบๆ ทำให้ทุกคนไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนจะไม่ปลอดภัยกว่าหรือ? เหตุใดต้องบอกว่าโบยบินจากไปไกลเพื่อให้ทัพตะวันออกแตกตื่นค้นหาจนทั่ว? ถ้าไม่ใช่เพราะหวังจัวโง่ ก็แสดงว่ามีคนบีบให้หวังจัวพูดอย่างนี้ เพื่อปกปิดว่าครอบครัวของหวังจัวถูกคนชิงตัวไป”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็พยักหน้าเงียบๆ แม้แต่โพ่จวินที่เหม็นขี้หน้าเกาก้วนมาตลอดก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน จำเป็นต้องยอมรับการวิเคราะห์นี้ของเกาก้วน

ซือหม่าเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว “นั่นก็อาจเป็นฝีมือตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกัน พิสูจน์ไม่ได้ด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อทำ”

เกาก้วนเหล่ตาบอกว่า “ข้าแค่บอกว่าความคิดข้าเอนเอียงไปทางหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ได้ฟันธงว่าเขาทำ ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อปรากฎตัวอย่างเปิดเผยที่จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิง ข้าก็สังเกตได้ถึงความไม่ปกติแล้ว พอลองจัดระเบียบข้อมูลจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิง ตอนที่เห็นรายชื่อสมาชิกจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิง ก็สังเกตเห็นชื่อของแม่ทัพภาคคนหนึ่ง ชื่อว่าเหยียนซู่ รู้สึกคุ้นหน้ามาก ตอนหลังจึงสั่งให้คนตรวจสอบประวัติ พบว่าเดิมทีคนคนนี้เคยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ราชันสวรรค์แต่งตั้ง เคยทำงานกับหนิวโหย่วเต๋อที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว ในปีนั้นที่ข้าสืบคดีก็เคยเห็นรายชื่อนี้ มีอยู่จุดหนึ่งที่เกรงว่าทูตซ้ายซือหม่าคงปฏิเสธไม่ได้ หากเรื่องนี้มีคนวางอุบายจริง ก็จะต้องทำงานข้างในกับข้างนอกให้สอดคล้องกัน การปรากฏตัวของเหยียนซู่จะเป็นเรื่องบังเอิญเชียวหรือ? ดังนั้นหนิวโหย่วเต๋อจึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยของข้า!”

ทุกคนกระจ่างทันที ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

หลังจากในตำหนักเงียบไปพักหนึ่ง ประมุขชิงก็กล่าวเสียงต่ำ “เกาก้วน หน่วยตรวจการขวาของเจ้าต้องเข้าร่วมเรื่องนี้!”

“ขอรับ!” เกาก้วนกุมหมัดคารวะ

ประมุขชิงกล่าวเสียงต่ำอีกว่า “โลงโทษสถานหนักกับกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่อารักขาสนมฉิน!”

โพ่จวินอึกอักเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง คนที่จะถูกลงโทษสถานหนักคือคนของเขา เขาอยากจะปกป้องสักหน่อย แต่ในฐานะที่เป็นทหารองครักษ์ การปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ ถึงขนาดว่าทำคนหายไปแล้วยังไม่รู้ตัว นั่นคือการบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงจริงๆ เขาเองก็หาเหตุผลมาปกป้องไม่ได้เช่นกัน

“อิ๋งจิ่วกวงเองก็ควรจะให้คำชี้แจงกับข้าเช่นกัน ข้าอยากเห็นว่าครั้งนี้เขายังจะมีเหตุผลอะไรมารับมืออีก!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม

จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล เหยียนซิวกลับมาแล้ว

ในเขตเรือนพัก เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ตรงประตูหลัก ยิ้มตาหยีมองเหยียนซิวเดินก้าวยาวกลับมา ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ

อวิ๋นจือชิวที่ยืนอยู่ข้างกันมองเหยียนซิว แล้วก็มองปฏิกิริยาของเหมียวอี้ นางยิ้มตามเช่นกัน นางเข้าใจดีที่สุดว่าก่อนหน้านี้เหมียวอี้กังวลขนาดไหน

“นายท่าน! ปฏิบัติภารกิจลุล่วง!” เหยียนซิวที่เดินมาถึงตีนบันไดกุมหมัดทำความเคารพ

เหมียวอี้รีบเดินลงบนได ใช้สองมือประคองพร้อมกล่าวอย่างอบอุ่น “ลำบากเจ้าแล้ว”

“เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่” เหยียนซิวถอยสองก้าว แล้วโบกมือปล่อยไป๋เฟิ่งหวงออกมา เนื่องจากตัวตนของนาง ถึงอย่างไรก็ไม่สะดวกจะเข้าออกให้คนนอกเห็น

พอไป๋เฟิ่งหวงโผล่หน้ามาเห็นเหมียวอี้กำลังหรี่ตายิ้ม นางก็กลอกตาใส่ทันที เชิดจมูกขึ้นฟ้าอีกแล้ว

“ครั้งนี้โชคดีที่ได้ไป๋เฟิ่งหวงคอยช่วย” เหยียนซิวชี้ไปที่ไป๋เฟิ่งหวง ไม่ได้แย่งผลงานนาง

เหมียวอี้พยักหน้ายิ้มให้ไป๋เฟิ่งหวง “ทำได้ไม่เลว”

“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ ต่อไปนี้อย่าเอาเรื่องที่เสี่ยงหัวหลุดมาให้ข้าทำ งานก็ทำให้เจ้าแล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็ขอตัวก่อน” ไป๋เฟิ่งหวงพูดจบแล้วหันเลี้ยวเตรียมจะไป ไม่เกรงใจเลยจริงๆ

“ไม่ต้องรีบไป!” เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ไป๋เฟิ่งหวงหยุดเดินแล้วหันกลับมา ถลึงตาถามว่า “ยังมีเรื่องอะไรอีก?”

เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้อวิ๋นจือชิว แล้วตัวเองก็กลับเข้ามาในจวน อวิ๋นจือชิวเดินไปคุยกับไป๋เฟิ่งหวงทันที

หลังจากหลบเลี่ยงคนอื่นแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : เหนียงเหนียง เรื่องที่ท่านกำชับมา ข้าน้อยจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วดีใจมาก : จริงเหรอ?

เหมียวอี้ : หวังจัวกับฮูหยิน อนุภรรยาทั้งสามของหวังจัว ลูกชายของหวังจัว เจ็ดคนในครอบครัวสนมฉิน ทั้งยังมีหญิงรับใช้สองคนที่ร่วมวางกับดักโอรสสวรรค์ก็ถูกจับเช่นกัน ทั้งเก้าคนนี้รอเพียงเหนียงเหนียงออกคำสั่ง!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กระปรี้กระเปร่าแล้ว กล่าวชมซ้ำๆ ว่า : ท่านหนิวไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ดี ดีมาก! ผลงานนี้ของเจ้า ข้ากับโอรสสวรรค์จะจดจำไว้ในใจ!

เหมียวอี้ : หากเหนียงเหนียงมีคำสั่ง ข้าน้อยก็พร้อมบุกน้ำลุยไฟ เหนียงเหนียง เก้าคนนี้เหนียงเหนียงต้องการจะจัดการเองหรือไม่ขอรับ?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ย่อมแค้นจนอยากจะลงมือสังหารสนมฉินระบายอารมณ์ด้วยมือตัวเองอยู่แล้ว ทว่าสถานการณ์จริงไม่เป็นใจให้นางทำอย่างนี้ ข้างกายนางมีหูตาเต็มไปหมด เหมียวอี้เองก็ไม่มีทางเข้ามาในเขตวังสวรรค์ได้ ไม่อาจผ่านด่านตรวจสอบขององครักษ์ นางจึงทำได้เพียงออกคำสั่งอย่างเคียดแค้น : อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว ใช้โทษประหารทั้งหมด!

เหมียวอี้ : ข้าน้อยน้อมรับบัญชา! เพียงแต่ว่าเหนียงเหนียง ข้าน้อยใช้วิธีการบางอย่างที่ไม่อาจบอกใครได้ หวังว่าเหนียงเหนียงจะรักษาความลับ

ทำไมเขาไม่กำจัดคนพวกนี้ในจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงโดยตรง ทำไมเขาต้องให้หวังจัวส่งข่าวกลับมาก่อนว่าจะโบยบินจากไปไกล ก็เพราะการลงมือกับสนมของราชันสวรรค์ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้คนนึกเชื่อมโยงมาที่ตัวเขาได้ เขาก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยง ครั้งนี้ไม่ต้องทำตัวเด่นก็ได้ ทำไปเพื่อรายงานผลงานต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ล้วนๆ

ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ติดต่อกับเขาเสร็จแล้วก็นั่งไขว่ห้าง กรอกน้ำชาดื่มอย่างถึงอกถึงใจ ราวกับดื่มน้ำฝนในหน้าแล้ง นางรู้สึกสะใจ และดื่มด่ำกับความรู้สึกที่ได้ถ่ายทอดคำสั่งทำให้เรื่องราวเป็นไปตามใจได้

ในเวลานี้เอ๋อเหมยกลับรีบสาวเท้าเดินเข้ามา รายงานว่า “เหนียงเหนียง เกิดเรื่องกับสนมฉินแล้วเพคะ” ตอนที่บอกสิ่งนี้ นางก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเงียบๆ

ส่วนทางด้านเซี่ยโห้วลิ่ง หลังจากได้รู้ข่าวจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงก็ยังนึกว่าเจ้าเก้าสั่งให้หวังจัวหนีไป แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ เจ้าเก้าจะส่งข่าวมาถาม ถามว่าเขาทำหรือเปล่า ตอนนี้เขาถึงรู้ตัวว่าเกิดเรื่องกับครอบครัวสนมฉินแล้ว ถึงได้ให้เอ๋อเหมยมาสืบความจริงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วเลิกคิ้ว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เอ๋อเหมยรายงานว่า “สมาชิกเจ็ดคนในครอบครัวสนมฉินรวมทั้งหญิงรับใช้หายตัวไปทั้งหมด บอกว่าหวังจัวไม่อยากทำงานแล้ว จึงพาทั้งครอบครัวโบยบินจากไปไกล ตอนนี้จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงวุ่นวายมาก ทัพตะวันออกปิดล้อมค้นหา ฝ่าบาทเดือดดาลมากเพคะ กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ติดตามอารักขาสนมฉินถูกลงโทษสถานหนักทั้งหมด ทูตตรวจการขวาเกาก้วนนำคนไปตรวจสอบด้วยตัวเอง”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แอบรู้สึกสะใจมาก แต่ภายนอกยังทำใจเย็น แสยะยิ้มแล้วบอกว่า “นางตัวดีนั้นเป็นพวกเกิดมาสร้างปัญหาอยู่แล้ว จะก่อเรื่องขึ้นก็ไม่แปลก มีอะไรน่าตะหนกตื่นตูมขนาดนั้น”

ผ่านไปไม่นาน เซี่ยโห้วลิ่งที่อยู่จวนท่านปู่สวรรค์ก็ได้รับรายงานจากเอ๋อเหมย สิ่งที่เอ๋อเหมยวิเคราะห์ได้ก็คือ ราชินีสวรรค์ดูไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เลยสักนิด เหมือนจะรู้เรื่องนี้ล่วงหน้าแล้ว

เอ๋อเหมยอยู่ข้างกายเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มานานเกินไป รู้จักอุปนิสัยของนางดีมาก พอหยั่งเชิงนิดหน่อยก็มาพิรุธออกแล้ว

ใต้ต้นไม้โบราณสูงระฟ้า หลังจากเซี่ยโห้วลิ่งฟังเว่ยซูรายงานจบแล้ว เขาก็ครุ่นคิดเงียบๆ ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “เป็นฝีมือหนิวโหย่วเต๋อ!”

คนที่สามารถทำเรื่องลับลวงพรางให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ นอกจากตระกูลเซี่ยโห้วก็มีแต่หนิวโหย่วเต๋อ แม้จะย้ายโอรสสวรรค์ไปไว้กองทัพองครักษ์ แต่ในมือก็ไม่มีอำนาจทางทหาร และไม่มีทางทำเรื่องอย่างนี้ได้ด้วย กองทัพองครักษ์ใช้กำลังปะทะยังพอไหว แต่ไม่มีศักยภาพที่จะลงมือเงียบๆ อย่างนี้ ประมุขชิงมีศักยภาพที่จะทำอย่างนี้ แต่ถ้าประมุขชิงจะลงโทษสนมฉิน ก็ต้องมีวิธีการอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายนี้เลย หากพลาดขึ้นมาแล้วทัพตะวันออกรู้ก็จะไม่คุ้ม คำนวณไปคำนวณมาก็มีแต่ตระกูลเซี่ยโห้วกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ทำ เช่นนั้นก็เหลือแค่หนิวโหย่วเต๋อแล้ว

เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างสงสัย “ไม่รู้เหมือนกันว่าหนิวโหย่วเต๋อทำได้อย่างไร เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์อย่างนั้น การจะพาคนออกไปไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

“สงสัยหกลัทธิจะเหมือนกิ้งกือที่ตายแล้วร่างยังดิ้นได้ มีพลังเหนือกว่าที่ข้าจินตนาการไว้” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าว

“เรื่องนี้ แม้แต่คุณชายเก้าก็สงสัยว่าเป็นฝีมือนายท่าน เกรงว่าคนอื่นคงคิดอย่างนี้เช่นกัน” เว่ยซูกล่าว

เซี่ยโห้วลิ่งแสยะยิ้ม “อย่างไรเสียหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่กล้าพูดอะไร บางทีให้คนนอกเข้าใจผิดบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแย่”

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่นั่งอยู่ในศาลาป่าไผ่เงียบงั้นอยู่นานมาก แล้วจู่ๆ ก็ถามว่า “เรื่องนี้พวกเจ้าเห็นว่าอย่างไร?”

ใบไผ่ปลิวตามลมหมุนแล้วตกลงพื้น ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงที่ยืนอยู่ข้างๆ สบตากัน ถังเฮ่อเหนียนตอบอย่างลังเลว่า “ตอนนี้พอนำเรื่องราวมาเชื่อมโยงกัน การที่หนิวโหย่วเต๋อปรากฎตัวที่นอกจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิง ก็เห็นได้ชัดว่าตระกูลเซี่ยโห้ววางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว สร้างความเคลื่อนไหวที่ทัพตะวันออกก่อนแล้วจากไป หลังจากทำให้จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงยกระดับการป้องกันแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วก็ค่อยลงมือ ให้ความรู้สึกเหมือนบีบลูกพลับอ่อนไม่สะใจเหมือนบีบลูกพลับแข็ง แค่อยากให้ตระกูลอิ๋งเตรียมพร้อมให้เต็มที่แล้วค่อยลงมืออีกที ต้องการจะสร้างความอัปยศให้อิ๋งจิ่วกวงอย่างรุนแรง ทั้งใช้เล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงไปมาราวกับพลิกฟ้าคว้าฝน ทั้งยังเก็บงานได้อย่างไร้ซุ่มเสียง เซี่ยโห้วลิ่งคนนี้ช่างไม่ธรรมดา!”

โค่วหลิงซวีพยักหน้าช้าๆ “ประเมินเซี่ยโห้วลิ่งต่ำไปแล้ว วางหมากได้ต่อเนื่อง ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ที่ผ่านมาเขาแค่ไม่ลงมือเท่านั้น พอลงมือก็เป็นฝ่ายกระโดดออกมาทำให้อิ๋งจิ่วกวงเสียหน้ายับเยิน ตอนนี้ถึงได้รู้ ว่าที่จิ้งจอกเฒ่าเซี่ยโห้วท่าเลือกเซี่ยโห้วลิ่งให้เป็นผู้สืบทอดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ลูกชายเขาเอง มีแต่เขาที่รู้จักดีที่สุด ควรมีลูกชายอย่างเซี่ยโห้วลิ่งสิ!” ขณะที่พูดประโยคนี้ ก็ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือบังเอิญชำเลืองไปทางโค่วเจิง บอกไม่รู้ว่าเป็นสายตาแบบไหน

โค่วเจิงที่บังเอิญเห็นสายตานั้นก็เงียบงันพูดไม่ออก เขาทำสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับกัดริมฝีปากแน่น

………………