มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1046

และนี่เป็นเพียงแดนเทพมารเท่านั้น หากถึงแดนเทพฟ้าและระดับที่สูงกว่านั้น ความแตกต่างในแต่ละแดนเล็ก ความแข็งแกร่งจะแตกต่างกันมาก

“ข้าถูกเจ้าศักดิ์สิทธิ์เทพมารทั้งสามตามล่า เพราะข้ามั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมากเกินไป”

ด้วยการพัฒนาความแข็งแกร่งของผลการฝึกตนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรวมกันของสองขั้ว ความมั่นใจในตนเองของหลัวซิวก็พุ่งสูงขึ้นหลังจากที่เขามีพลังต่อสู้กับเทพมาร

นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไปที่สำหนักประตูเขาของแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่เกรงกลัว บีบบังคับเจ้าศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น บังคับให้พวกเขานำทรัพยากรสมบัติมากมายมาชดเชย

เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นผิด แต่การกระทำของเขาค่อนข้างสั่นคลอนความยิ่งใหญ่ของสี่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์

รวมกับความขัดแย้งก่อนหน้านี้ ทำให้สี่แดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มีความชัดเจนมากว่าเมื่อหลัวซิวเติบโตขึ้น เขาจะไม่ทำให้เกียรติอะไรกับแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์

ดังนั้น เจ้าศักดิ์สิทธิ์จักรภพจึงถือเอาสิ่งนี้เป็นปัญหา ในไม่ช้าก็ชักชวนเจ้าศักดิ์สิทธิ์เทพมารอีกสองคนให้ร่วมมือกันเพื่อกำจัดหลัวซิวให้สิ้นซากในคราวเดียว เพื่อไม่เหลือปัญหาไว้ในอนาคต

“เทวทูตจื่อเยียนน่าจะหลุดออกมาจากปัญหาแล้ว แม้ว่าทางอนัตตาจะมีอสูรสังหารเทพโบราณเฝ้าอยู่ แต่ด้วยพลังการต่อสู้ระดับเทพมารขั้นสูงของนาง น่าจะมีวิธีในการต่อต้านอยู่บ้าง”

ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ทุกอย่างในแดนตำหนักจื่อได้สงบลง แม้ว่าจะมีอันตรายมากมายในอนัตตาไม่สิ้น แต่แดนอนัตตานี้ใหญ่เกินไปจริงๆ แดนตำหนักจื่อที่เล็กนี้เป็นเหมือนหยดน้ำในมหาสมุทร ไม่น่าจะเกิดอันตรายได้มากนัก

ทันทีที่เขาคิด ค่ายเลื่อนลอยก็เริ่มทำงาน แดนตำหนักจื่อสั่นสะเทือนแล้วเริ่มเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม ตามการชักนำจากออร่าของวิชาห้ามค่ายกล เคลื่อนไปที่ที่ตั้งของโลกแสงดาว

วินาทีที่แดนตำหนักจื่อเคลื่อนไหว งูมรณาจิ่วหยินสัมผัสได้แล้วมาที่ตำหนักวัฏสงสาร “จะกลับไปแล้วหรือ?”

หลัวซิวพยักหน้า “น่าจะถึงเวลาแล้ว”

งูมรณาจิ่วหยินไม่คิดมาก พูดอย่างเคร่งขรึม “ไม่รู้ว่านายท่านหลุดพ้นออกมาจากปัญหาหรือไม่?”

หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย “ผู้อาวุโสจื่อเยียน จะเปลี่ยนโชคร้ายเป็นโชคดีอย่างแน่นอน”

วิถีเรื่องราวต่างๆเป็นไปตามกระบวนการที่หลัวซิวได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า

ในห้วงกาลแดนที่เทพสงครามเอกภพได้สร้างขึ้นมา ค่ายเทพวิชาห้ามที่อยู่ด้านหน้าพระราชวังทองคำก็สว่างขึ้นอย่างกะทันหัน แสงสีดำพุ่งออกมาจากที่นั่น เผยให้เห็นร่างๆหนึ่ง

ร่างนี้เป็นช่าจื่อเยียนนั่นเอง แต่รูปร่างของนางดูรุงรังเล็กน้อย ใบหน้าของนางซีดเผือด

หลังจากติดกับดักมาเกือบห้าปี แม้ผลการฝึกตนแดนเทพมารขั้นสูงสุดของนางก็เกือบหมดไป นางติดกับดักอยู่ในค่ายยากเย็นออกมาไม่ได้

นางเหลือบมองไปยังพระราชวังทองคำอันสง่างามแห่งนี้ด้วยความหวาดหวั่น หน้าอกอิ่มกระพือขึ้นลง

“สมกับที่เป็นเทพสงครามอยู่ยงคงกระพันในโลกแปดร้อยนี้ ค่ายเทพวิชาห้ามที่สร้างไว้ก่อนตายเกือบจะทำให้ข้าถูกทำลายล้างไปทั้งร่างและวิญญาณ”

นางส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่านางจะคาดเดามาแล้วว่าที่ฝังศพของเทพสงครามเอกภพจะไม่เรียบง่ายนัก แต่คาดไม่ถึงว่าจะอันตรายเช่นนี้

ช่าจื่อเยียนมองไปยังค่ายเทพวิชาห้ามอีกสองค่ายกลที่อยู่ใกล้เคียง รูม่านตาของนางหดตัวลงอย่างกะทันหัน สีหน้าของนางเคร่งขรึม

นางเห็นว่ามีขี้เถ้าลอยอยู่ในค่ายเทพวิชาห้ามทั้งสอง และยังมีออร่าของเทพปีศาจสยบนภาและเทวมังกรเขาทองที่หลงเหลืออยู่

“พวกเขาตายแล้วเหรอ?”

นางมองแล้วสามารถบอกได้ทันทีว่าเทพปีศาจสยบนภาและเทวมังกรเขาทองน่าจะตายไปนานแล้ว

“สองคนนี้อ่อนแอกว่าข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำไมพวกเขาถึงตายเร็วขนาดนี้?” ช่าจื่อเยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย