บทที่ 1832 ดูแลทั้งสองฝั่ง

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ทัพใหญ่ห้าล้าน! โหยวโยวและลูกชายสูดหายใจอย่างตกตะลึง ดูท่าแล้วคงจะอยากปราบปรามทัพใหญ่แดนรัตติกาลให้สิ้นซากจริงๆ!

เมื่อเห็นสองแม่ลูกทำสีหน้าตกตะลึง เจ๋อชุนชิวก็ค่อนข้างภูมิใจในตัวเอง ถามเสียงเรียบว่า “ทำไมล่ะ หรือว่าผู้อาวุโสโหยวรู้สึกว่ามีปัญหา?”

“ค่ะ! ข้าจะไปเตรียมที่พักให้ทัพใหญ่เดี่ยวนี้” โหยวโยวฟื้นยิ้ม จากนั้นสองแม่ลูกก็ขอตัวออกไป

หลังจากกลับถึงตำหนักหลัก สองแม่ลูกก็ยากจะสงบใจได้ รู้สึกว่าเรื่องราวลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกที่ตระกูลอิ๋งบอกว่าจะกำจัดหนิวโหย่วเต๋อ กลายเป็นจะกำจัดทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลแล้ว หลังจากจบเรื่องนี้ ใต้หล้าจะต้องสะเทือนแน่

โหยวฮ่วนที่ก้มหน้าเงียบเงยหน้าขึ้นช้าๆ จ้องผู้หญิงผมยาวลากพื้นตรงหน้า พร้อมบอกว่า “ท่านแม่ พวกเราช่วยตระกูลอิ๋งมากเกินไปหรือเปล่า? ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ ท่านแม่คิดว่าข้ายังจะคุมตลาดมืดต่อไปได้เหรอ? ถึงตอนนั้นบนตัวพวกเราสองแม่ลูกก็ประทับตราตระกูลอิ๋งไว้ลึกมาก เท่ากับว่าถลำลึกทำผิดกฎของอ๋องอสรพิษดำที่บอกว่าจะวางตัวเป็นกลาง เกรงว่าตำแหน่งผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำของท่านแม่ก็จะรักษาไว้ได้ยากเช่นกัน เผ่าเทพอสรพิษดำจะปล่อยให้คนที่ได้รับอิทธิพลจากนอกเผ่ามากุมอำนาจมหาศาลในเผ่าได้ยังไง!”

“เจ้ากำลังโทษข้าเหรอ?” โหยวโยวสะบัดผมยาว พลันหันตัวมา ในดวงตาแฝงไฟโกรธ เอามือตบหน้าอกอิ่มเอิบของตัวเองพลางตวาดว่า “ข้าทำอย่างนี้ก็เพื่อใครล่ะ? ทั้งหมดไม่ใช่เพื่อเจ้าหรอกเหรอ? ตอนนั้นข้ามีทางเลือกรึไง? ตระกูลอิ๋งเล็งเป้ามาที่พวกเราสองแม่ลูกแล้ว พวกเราจะหลบพ้นมั้ย? ถ้าจะโทษก็โทษหนิวโหย่วเต๋อว่าไม่ควรส่งคนมาที่นี่ ถ้าคนไม่มาที่นี่ พวกเราสองแม่ลูกจะถูกตระกูลอิ๋งเพ่งเล็งได้ยังไง?”

โหยวฮ่วนก้มศีรษะ ใบหน้าคร่ำเคร่งไม่เอ่ยพูดอะไรอีก

โหยวโยวที่ระบายความโกรธแค้นไปยกหนึ่งก็ใจเย็นลงแล้วเช่นกัน รู้ว่าเรื่องนี้โทษลูกชายไม่ได้ นางเดินเท้าเปล่าขยับร่างอรชรไปมาอยู่ในตำหนักไม่หยุด

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ฝีเท้านางก็เริ่มช้าลง พอเดินผ่าตัวลูกชายก็หยุดเดิน จ้องลูกชายพร้อมบอกว่า “จะให้พวกเขาสู้กันไม่ได้! ไม่อย่างนั้นไม่ว่าจะใครจะแพ้หรือชนะ พวกเราก็ไม่มีทางยุติเรื่องนี้ได้อยู่ดี!”

โหยวฮ่วนเงยหน้าด้วยความงุนงง “จะห้ามยังไง? เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนบ้าบิ่น พอมาดูตอนนี้ก็เหมือนจะเป็นคนบ้าจริงๆ มีข่าวส่งมาตลอดทาง ว่าทัพใหญ่หนึ่งแสนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มุ่งหน้ามาทางสระน้ำมังกรดำอย่างไม่ต้องสงสัย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะห้ามยังไง? พวกเราจะห้ามคนบ้าคนนี้ไหวเหรอ?”

โหยวโยวแสยะยิ้ม “คนที่เล่นเดิมพันในงานเลี้ยงวันเกิดเซี่ยโห้วท่าได้ เจ้าคิดว่าจะโง่หรือไง?”

“ลูกไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านแม่พูด” โหยวฮ่วนลังเล

โหยวโยวจ้องเขา “กำลังพลหนึ่งแสนของเขาไม่มีทางสู้ทัพใหญ่ห้าล้านของตระกูลอิ๋งได้เลย ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ เขาก็น่าจะรู้ ถ้าใช้กำลังปะทะตรงๆ ก็มีแต่ตายสถานเดียว อีกทั้งตระกูลอิ๋งแอบระดมทัพใหญ่ห้าล้าน แสดงว่าต้องเตรียมตัวมาอย่างดีที่สุดแน่นอน รักษาความลับได้สุดยอด เขาน่าจะยังไม่รู้ความจริง!”

โหยวฮ่วนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะกระจ่างในฉับพลัน “ท่านแม่หมายความว่า จะเผยความลับเหรอ ให้เขารู้ว่ายากลำบากแล้วถอยไปเอง?”

โหยวโยวยกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ พยักหน้าเบาๆ

โหยวฮ่วนลังเลอีก “แต่ถ้าให้ตระกูลอิ๋งรู้ว่าพวกเราปล่อยข่าว มีหรือจะเลิกรา?”

โหยวโยวกล่าวอย่างคับแค้น “เป็นตระกูลอิ๋งที่อาศัยว่าตัวเองมีอำนาจมากมารังแกคนอื่น มาทรยศคำสัญญาก่อน เอง เรื่องราวในตอนนี้ไม่เหมือนที่พวกเขาพูดไว้ตอนแรกเลย เขาไร้คุณธรรมก่อน จะมาโทษว่าข้าขาดคุณธรรมไม่ได้หรอก แล้วอีกอย่าง ตระกูลอิ๋งมายุ่งทางนี้ไม่ได้หรอก ขอเพียงระงับการเข่นฆ่าครั้งนี้ได้ อย่างมากตระกูลอิ๋งก็แค่ก่อกวนให้เจ้าเสียอำนาจควบคุมตลาดมืด ทำให้ตำแหน่งผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำของข้าสะเทือนไม่ได้ ถ้าไม่เกิดเรื่องก็ยังปกป้องได้อย่างหนึ่ง แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา พวกเราสองแม่ลูกก็จะปกป้องอะไรไม่ได้เลย” นางยื่นมือไปตบบ่าโหยวฮ่วน “ตราบใดที่แม่ยังรักษาตำแหน่งไว้ได้ ก็ยังมีอำนาจออกความเห็นที่เผ่าเทพอสรพิษดำ เจ้าก็ยังมีโอกาสประสบความสำเร็จ ใช่มั้ยล่ะ?”

โหยวฮ่วนพูดไม่ออกมาก อ้อมไปอ้อมมาก็กลับมาที่เดิม แบบนี้จะต่างอะไรกับตอนแรก ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้ แล้วจะชักสุนัขจิ้งจอกเข้าบ้านทำไม?

โหยวโยวตบบ่าเขาเบาๆ “เพียงแต่พอเป็นแบบนี้ เกรงว่าต้องลำบากเจ้าแล้ว! เพียงแต่ถ้าทำได้ดี ตระกูลอิ๋งก็อาจไม่รู้ว่าเป็นพวกเราสองแม่ลูกที่ปล่อยข่าว!”

“ท่านแม่คิดจะทำยังไง? ส่งใครไปวิ่งเต้นเรื่องนี้จะเหมาะสมที่สุด?” โหยวฮ่วนถาม

ฝ่ามือของโหยวโยวไหลลงมาจากบ่า ปลายนิ้วจิ้มที่หน้าอกเขา “มาถึงขั้นนี้แล้ว เราจะวางไข่ไว้ในตะกร้าเดียวกันไม่ได้ พวกเราต้องดูแลทั้งสองฝั่ง พยายามไม่ล่วงเกินหนิวโหย่วเต๋อและไม่ล่วงเกินตระกูลอิ๋งด้วย ไม่อย่างนั้นต่อให้หลบเลี่ยงเจ้าคนบ้านั่นได้ชั่วคราว แต่ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ตลอดชีวิต ถ้าตระกูลอิ๋งไปเมื่อไร เขานำคนมาก่อเรื่องอีกก็จะลำบากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องแบบนี้ใช่ว่าส่งใครก็ได้ไปคุยแล้วหนิวโหย่วเต๋อจะยอมเชื่อ ดังนั้นเจ้าต้องไปแสดงความจริงใจด้วยตัวเอง บอกเรื่องที่ตระกูลอิ๋งระดมทัพใหญ่ห้าล้านให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ แสดงความหวังดีต่อเขา พร้อมทั้งบอกด้วยว่าไม่อยากมีเรื่องกับเขา ตอนนั้นถูกตระกูลอิ๋งบีบจนไม่มีทางเลือก ต่อให้พวกเราไม่ทำ คนอื่นก็ทำอยู่ดี แต่พวกเราพยายามช่วยเขาเต็มที่แล้ว จับสวีถังหรานไว้คนเดียว ไม่แตะต้องคนอื่นแม้แต่น้อย เจ้าเข้าใจที่ข้าบอกมั้ย?”

โหยวฮ่วนพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เปิดเผยความลับต่อเขา ช่วยให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลรอดพ้นความเสียหายที่กำลังจะเกิด ทำแบบนี้เพื่อชดเชยความผิดก่อนหน้านี้ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ก็ยังให้สัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์ให้เขาได้ด้วย!”

โหยวโยวพยักหน้าอย่างปลื้มใจ “เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ รีบไปจัดการ ตอนไปพยายามรักษาความลับด้วย อย่าให้คนตระกูลอิ๋งจับได้”

โหยวฮ่วนกุมหมัดคารวะ แล้วรีบออกไป

ผ่านไปไม่นาน นอกประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผี มีคนมาหาถึงประตู

“นายท่าน ทางตลาดผีส่งข่าวมา ผู้ช่วยโหยวฮ่วนจากสระน้ำมังกรดำต้องการพบท่าน!”

ทัพใหญ่หนึ่งแสนเร่งเหาะอยู่ในดาราจักร หยางเจาชิงที่ติดตามอยู่ข้างกายเหมียวอี้กำระฆังดาราพร้อมถ่ายทอดเสียงรายงาน

เหมียวอี้หันมามอง แล้วออกคำสั่งด้วยเสียงเย็นเยียบ “นัดเวลาและสถานที่!”

หยางเจาชิงเขย่าระฆังดาราอีกครั้งในทันที

ริมทะเลกว้างใหญ่คลื่นมรกต คลื่นซัดกระทบฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า ริมฝั่งมีคนสามคนยืนเคียงกัน เหลิ่งจัวฉุนขุนพลใหญ่ลัทธิผี กุยอู๋ขุนพลใหญ่ลัทธิพุทธ ตานฉิงขุนพลใหญ่ลัทธิมาร ในป่าที่อยู่ไม่ไกลจากข้างหลังพวกเขามีคนอยู่สามสิบคน บ้างก็นั่ง บ้างก็ยืน บ้างก็พิงต้นไม้

“ได้ยินว่าสวีถังหรานคือเจ้าคนประจบสอพลอนั่น อาศัยประจบราชาปราชญ์จนไต่เต้าขึ้นตำแหน่งรองหัวหน้าภาค จะล้างแค้นเพื่อคนแบบนี้ เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้คุ้มแล้วเหรอ?” กุยอู๋หันหน้าเข้าหาทะเล หลังจากถอนหายใจเฮือกหนึ่งก็ประนมมือกล่าวอามิตาพุทธ

เหลิ่งจัวฉุนกล่าวอย่างไม่ใส่จ “ราชาปราชญ์จะต้องมีเหตุผลที่ทำอย่างนี้แน่ พวกเราจดจำแค่ภารกิจของพวกเราก็พอ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้น ก็รักษาความปลอดภัยของราชาปราชญ์ให้เต็มที่ คุ้มครองราชาปราชญ์ให้หนีไป นี่คือสิ่งที่ทางบ้านย้ำมา”

กุยอู๋เอียงหน้าบอกว่า “ได้ยินว่าหลังจากผู้ช่วยใหญ่รู้ว่าราชาปราชญ์มอบหมายภารกิจนี้ให้พวกเรา เขาก็โมโหจนกระทืบเท้า ผู้ช่วยใหญ่เหมือนจะบอกว่า หากครั้งนี้ราชาปราชญ์ทำพลาดเปิดโปงตัวตนของพวกเรา ก็คาดว่าต้องถอนกำลังกลับแดนอเวจีโดยสิ้นเชิง การต่อสู้ระหว่างโจรกบฏกับพวกเราก็จะดำเนินเต็มรูปแบบแล้ว!”

เหลิ่งจัวฉุนถอนหายใจ “ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ทางพวกเรายังเตรียมตัวไม่เสร็จเลยนะ! พูดตามตรง นี่ไม่ใช่เวลาที่จะลงมืออย่างเป็นทางการ ถ้าเทียบกับโจรกบฏแล้ว…” เขาพูดไม่จบ ได้แต่ส่ายหน้าสื่อความหมายทุกอย่างแล้ว

กุยอู๋หันไปมองตานฉิงที่อยู่ข้างกัน “มารเฒ่าตาน ปกติเจ้าพูดมากที่สุด ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ กลัวเหรอ?”

“กลัวเหรอ?” ตานฉิงงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะลั่นทันที “ข้ากำลังคิดอยู่ว่า ผู้หญิงเผ่าเทพอสรพิษดำที่ชื่อโหยวโยวนั่น เหมือนข้าจะเคยนอนกับนางนะ! โหยวฮ่วนอะไรนั่นคงไม่ใช่ลูกชายข้าหรอกใช่มั้ย?  ข้าจำได้ว่าตอนนั้นข้าอยากนอนกับลูกสาวผู้นำเผ่าเทพอสรพิษดำ แต่ผู้นำคนนั้นจะเป็นจะตายก็ไม่ยอม เลยยัดโหยวโยวนั่นมาอยู่กับข้าช่วงหนึ่ง พวกเจ้าไม่รู้ว่าผู้นำดาวนั่นน่าหลงใหลขนาดไหน ตอนนี้เหมือนจะกลายเป็นอ๋องอสรพิษดำแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าโหยวโยวนางตัวแสบนั่นจะกลายเป็นผู้อาวุโสแล้ว พวกเจ้าคงไม่เคยลิ้มลองรสชาติผู้หญิงเผ่าเทพอสรพิษดำล่ะสิ ไอ๊หยา แรงดี ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ นางตัวแสบนั่น…”

เขาพูดพร่ำไม่หยุด เลิกคิ้วภูมิใจ น้ำลายกระเด็น สดชื่นกระปรี้กระเปร่า เหลิ่งจัวฉุนกับกุยอู๋พูดไม่ออก กลอกตามองบนพร้อมกัน ยังนึกว่าเขากำลังคิดเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก ไม่น่าเชื่อว่าจนป่านนี้แล้ว เขายังมาคิดเรื่องไร้สาระอย่างนี้ได้

จากนั้นเหลิ่งจัวฉุนก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ตั้งใจฟังครู่หนึ่ง พอเก็บระฆังดาราแล้ว ก็กล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าแซ่ตาน เจ้าหุบปากได้แล้ว พวกเขาสามคนมาถึงแล้ว”

ผ่านไปไม่นาน สามคนก็เงยน้ามอง เห็นเงาคนสามคนเหาะลงมาจากฟ้า ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นจ่างหงขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจที่ เมิ่งหรูขุนพลใหญ่ลัทธิเซียน อ๋าวเถี่ยขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยง ทั้งสามล้วนปลอมตัวแล้ว พอเหยียบลงพื้น  เหลิ่งจัวฉุนก็ก้าวขึ้นมาถามว่า “พาคนมาครบหรือยัง?”

ทั้งสามโบกมือเบาๆ มีคนอีกสามสิบคนปรากฏตัวอยู่ริมทะเล

ขุนพลใหญ่ทั้งหกประชุมกันนิดหน่อย จากนั้นยอดฝีมือหกสิบคนที่มาจากแดนอเวจีก็มารวมตัวกัน แล้วแบ่งเก็บใส่กระเป๋าสัตว์ของทั้งหกคน

“ไป!” อ๋าวเถี่ยกล่าวเสียงเรียบ แล้วพุ่งขึ้นฟ้านำไปก่อน แล้วอีกห้าคนก็พุ่งขึ้นฟ้าตามไป

เพราะรู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วจับตาดูกำลังพลหกลัทธิที่อยู่ข้างนอก กำลังพลหกลัทธิข้างนอกจึงไม่ได้เคลื่อนไหวเลย หกสิบหกคนที่ออกเดินทางนี้ล้วนเป็นคนที่เหมียวอี้พาออกมาจากแดนอเวจีในตอนแรก เหมียวอี้ไม่ใช้งานคนพวกนี้ง่ายๆ แต่ถ้าครั้งนี้ไม่เอายอดฝีมือมารองฐาน เหมียวอี้ก็ไม่มีความมั่นใจเหมือนกัน

“ฮูหยิน ทำไมสวีถังหรานไม่ตอบข้า เกิดเรื่องขึ้นกับเขาแล้วหรือเปล่า?”

ในจวนตระกูลสวีที่อยู่ด้านนอกจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไม่ไกล ผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งพูดคุยกัน จู่ๆ เสวี่ยหลิงหลงที่หยิบระฆังดาราออกมาก็ถามประโยคนี้ ทำให้บรรยากาศตรงนั้นเงียบทันที เสวี่ยหลิงหลงมองปฏิกิริยาของอวิ๋นจือชิวอย่างวิตกกังวล

หลินผิงผิงกับเฟยหงรู้อยู่แก่ใจแล้ว พอได้ยินคำถามนี้ก็เงียบแล้วแอบมองอวิ๋นจือชิวเช่นกัน

มีการระดมทัพใหญ่ อวิ๋นจือชิวและคนอื่นๆ มาอยู่เป็นเพื่อนนางทุกวันอย่างที่ไม่เคยเป็น สุดท้ายก็ทำให้นางสงสัย หลังจากติดต่อกับสวีถังหรานซ้ำแล้วติดต่อไม่ได้ กอปรกับทัพใหญ่แดนรัตติกาลเคลื่อนไหวผิดปกติ นางจึงรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล

อวิ๋นจือชิวเงียบไปพักหนึ่ง คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าปิดบังเสวี่ยหลิงหลงต่อไปก็ไม่มีความหมาย ในเมื่ออีกฝ่ายสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว ถ้าปิดบังต่อไปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ดีไม่ดีอาจจะโดนแค้น สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ “เกิดเรื่องนิดหน่อย…” นางเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง

หลินผิงผิงรีบปลอบใจอีก “เจ้าวางใจเถอะ ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก ท่านหัวหน้าภาครีบนำทัพใหญ่ไปช่วยแล้ว!”

เฟยหงพยักหน้าซ้ำๆ เช่นกัน “ใช่แล้ว ต้องไม่เป็นอะไรแน่”

เสวี่ยหลิงหลงนั่งเหม่อลอย น้ำตาสองสายไหลอาบแก้ม พึมพำกับตัวเองว่า “เขาวิ่งเต้นทำงานข้างนอกบ่อยๆ ข้ากังวลมานานแล้วว่าช้าเร็วก็ต้องเกิดเรื่อง ข้ากำชับเขาเสมอว่าให้ระวังตัว แต่ก็ยังเกิดเรื่องแล้ว…”

บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง ทัพใหญ่หนึ่งแสนตั้งค่ายชั่วคราว ตรงหน้าชัยภูมิถ้ำสวรรค์หลังหนึ่งตรงหน้าผา ลำแสงสายหนึ่งวับวาบ หยวนกงที่ถูกเหมียวอี้เรียกเดินออกมากลางอากาศแล้ว เขาเดินก้าวยาวมาตรงหน้าประตูค่าย ด้านนอกประตูมีคนคนหนึ่งสวมชุดคลุมมีหมวกสีดำคลุมทั้งร่างกาย เจ้าตัวกำลังก้มหน้า มองเห็นหน้าไม่ชัด

หยวนกงที่เดินมาถึงประตูยกมือเปิดหมวกของอีกฝ่าย แล้วยื่นมือดึงหนังปลอมใบหน้าอีกฝ่ายเสียเลย เป็นโหยวฮ่วนนั่นเอง พอหยวนกงเอียงหน้า ก็มีกำลังพลสองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวามาค้นตัวโหยวฮ่วนทันที

หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ หยวนกงถึงได้พาโหยวฮ่วนเข้าไปข้างใน พอเดินไปตรงหน้าชัยภูมิถ้ำสวรรค์บนหน้าผา ก็กลายเป็นลำแสงกระเพื่อมเหมือนคลื่น ทั้งสองทยอยกันเข้าไปข้างใน

…………………………