เปี๋ยยั่งหงสังเกตเห็นว่าเซวียนหยวนผ้อไม่ได้ถือตะเกียบดังนั้นจึงถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าไม่กินหรือ”
เขารู้ว่าเซวียนหยวนผ้อเข้าร่วมพิธีสวรรค์พิจิตในวันนี้ แต่เขาไม่ได้ถามเรื่องนี้ เขารู้ผลลัพธ์ได้จากการมองสีหน้าของเซวียนหยวนผ้อ
เขาเป็นห่วงเรื่องที่เซวียนหยวนผ้อจะไปยังต้นไม้สวรรค์เพื่อรับการชำระด้วยเพลิงเถื่อนในวันพรุ่งนี้ แล้วคืนนี้จะไม่กินให้อิ่มได้อย่างไร
“ข้ามีบางอย่างต้องกิน”
เซวียนหยวนผ้อเอาถุงกระดาษออกมาจากด้านในเสื้อ เอาซาลาเปาเนื้อที่เหลือออกมา เขากินมันกับน้ำแกงผักครึ่งชาม
อู๋ฉยงปี้ตัวแข็งไปเมื่อเห็นภาพนี้ จากนั้นก็ไม่สนใจเขาก้มหน้ากินต่อไป
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เงยหน้าขึ้นมองและตระหนักว่าเปี๋ยยั่งหงได้มองซาลาเปาในมือเซวียนหยวนผ้ออยู่ตลอด นางอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
ซาลาเปาทั้งเย็นทั้งแข็ง ความชุ่มฉ่ำก็เปลี่ยนเป็นก้อนไขมันขาวแล้ว ไม่น่ากินแม้แต่น้อยแล้วทำไมสามีนางถึงได้สนใจมันนัก
……
……
ท้องฟ้ามืดสลัว ถนนต้นสนอยู่ในความมืดมิดอันลึกล้ำ แต่เซวียนหยวนผ้อตื่นแล้ว
เขาเดินออกจากตรอก ทำท่าทางบอกนักบวชที่ตื่นตระหนกว่าไม่มีอะไร จากนั้นก็ไปที่ถนนถัดไปเพื่อซื้อซาลาเปาเนื้อหนึ่งถุง โจ๊กครึ่งหม้อ โจ๊กข้าวโพดสองชาม บะหมี่แห้งถึงชาม แป้งข้าวเหนียวทอดสองชิ้น หมั่นโถวหนึ่งถาด ผักดองสามชนิด แล้วแบกพวกมันกลับไปยังบ้านน้อย
เขายังกินซาลาเปาเนื้อเช่นเคย ที่เหลือนั้นสำหรับเปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้เอาไว้กินทั้งวัน
เซวียนหยวนผ้อกินซาลาเปาเนื้อหกลูกใต้สายตาล้ำลึกของเปี๋ยยั่งหงกับสายตาโมโหของอู๋ฉยงปี้ หลังจากทำความสะอาดร่างกายจัดแจงเสื้อผ้าและคำนับเปี๋ยยั่งหงอย่างจริงจัง เขาก็เอากระบี่มหาสมุทรขุนเขาออกมาจากกองไม้และออกจากบ้านน้อยไปอีกครั้ง
วันนี้ต่างจากวันก่อน สายตามากมายจับจ้องไปที่เขา
นักบวชหลายสิบคนจากอารามเต๋าซีหวงกับนักรบเผ่าหมีร้อยกว่าคนคุ้มครองเขาไปยังท่าเรือข้ามฟากอวี้จิง
เซวียนหยวนผ้อสังเกตเห็นว่าปฏิคมตระกูลถังกับผู้บำเพ็ญเพียรแดนใต้หลายคนตามมาจากระยะไกล
เขาพบกับผู้บำเพ็ญเพียรพวกนี้เมื่อคืน จากการแนะนำของปฏิคมจึงรู้ว่าหนึ่งในพวกเขามาจากวัดฉือเจี้ยน เป็นอาจารย์อาของเยี่ยเสี่ยวเหลียนตอนที่นางยังเป็นศิษย์ภายนอกสำนัก
หมอกยามเช้าปกคลุมเมืองไป๋ตี้เหมือนกับวันอื่นๆ ที่ไม่มีอะไรน่าจดจำตลอดเวลานานนับปีไม่ถ้วน ท่าเรือข้ามฟากอวี้จิงคึกคักเช่นเคย แม้ว่าท่าจอดที่ดีที่สุดจะไม่ได้เป็นของเกษตรกรผู้ขันแข็งเหมือนเดิม แต่อยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่จากราชสำนักเผ่าปีศาจและผู้แข็งแกร่งอย่างผู้นำเผ่าหมี
พระอาทิตย์ยามเช้าถูกเทือกเขาฝั่งตรงข้ามบดบังจนหมด เมื่อรวมกับหมอกหนาจึงทำให้ยังคงมืดราวกับราตรี
ตอนที่พวกเขานั่งบนเรือข้ามฟาก แม่น้ำแดงก็พลันเกิดคลื่นสูง เรือส่ายไหวเล็กน้อยเสียงร้องต่ำน่าหวาดกลัวดังขึ้น
คนต่างถิ่นที่ได้ยินเสียงร้องและรู้สึกได้ถึงคลื่นรุนแรงของแม่น้ำแดงอาจตัวสั่นด้วยความกลัว แต่ทุกคนในที่แห่งนี้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไป๋ตี้มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว พวกเขารู้ว่านี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพวกจิงตื่นแล้วและกำลังหาอาหารอยู่ จึงไม่สนใจแม้แต่น้อย หลังจากโยนปลาอ้วนหลายกล่องลงแม่น้ำ เสียงร้องก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว
หมอกยามเช้าค่อยๆ สลายไป เริ่มมองเห็นแม่น้ำที่ใสและไร้คลื่นโดยรอบ
เทือกเขาฝั่งตรงข้ามยังมีหมอกปกคลุม แม้ว่าดวงตะวันจะลอยขึ้นเหนือแนวสันเขาแต่ก็เห็นได้แค่เงาร่างของต้นไม้สวรรค์ทั้งเก้าเท่านั้น
ใบพายวาดผ่านน้ำคลื่นสาดกระเซ็นและดวงตะวันลอยสูงขึ้น เมื่อเรือข้ามฟากมาถึงอีกฝั่งของแม่น้ำ ตะวันยามเช้าก็ส่องแสงอบอุ่นออกมา หมอกถูกไล่ออกไปจนหมด
ตรงหน้าคือเทือกเขาเขียวที่ทอดยาวไปไกลราวกับแนวกำแพงที่ไร้จุดสิ้นสุด
ต้นไม้สวรรค์ทั้งเก้าภายในเทือกเขาดูราวกับคบเพลิงยักษ์ใต้แสงยามเช้า แผ่เพลิงเถื่อนที่มองไม่เห็นซึ่งทำให้เผ่าปีศาจทั้งเคารพและชื่นชม
ต้นไม่สวรรค์ใหญ่จนมีแต่ยอดเขาที่แข็งแกร่งที่สุดจึงจะรับน้ำหนักของมันได้ พวกมันอยู่ไกลมาก ต้นที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างไปหลายสิบลี้
ทางสู่ต้นไม้สวรรค์มีเก้าสาย แต่ทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นร่วมกัน แท่นสูงตรงข้ามท่าเรือข้ามฟากอวี้จิง
มู่ฮูหยินยืนอยู่บนแท่นสูงนี้
แสงยามเช้าสาดส่องบนร่างของนางทำให้มันดูสูงส่งยิ่งใหญ่ทีเดียว
ลมยามเช้าพัดมาทำให้ชุดยาวงดงามพลิ้วไหวเปี่ยมไปด้วยความยิ่งใหญ่
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กับสังฆราชอิ๋นกลับคืนสู่ทะเลดวงดาวแล้ว เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของแดนใต้ก็ไปยังดินแดนเซิ่งกวงกับซูหลี จักรพรรดิขาวก็กำลังกักตนรักษาอาการบาดเจ็บ
นักปราชญ์ทั้งห้า มีเพียงนางที่ยังปรากฏตัวบนโลกใบนี้
ใต้นางมีผู้อาวุโสเผ่าปีศาจยืนเรียงแถวในขณะที่แม่ทัพกับขุนนางราชสำนักยืนอีกแถวหนึ่ง
มีแต่คนที่ทรงอำนาจจึงจะมีสิทธิ์ปรากฏตัวในวันนี้ บรรยากาศสูงส่งภูมิฐาน เงียบงันไร้เสียงใดทั้งสิ้น
เมื่อเสียงเพลงประกอบพิธีเริ่มขึ้น ทุกคนก็โค้งคำนับ
ขุนนางคนหนึ่งก้าวออกมาและเริ่มอ่านประกาศ
เมื่อพิธีจบลงเครื่องบูชาก็ถูกส่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น
เซวียนหยวนผ้อกับอีกห้าคนก้าวขึ้นบันไดหินสู่แท่นสูง
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมองหลังของพวกเขา มีความคิดนับไม่ถ้วนอยู่ในใจ
ใครจะผ่านการชำระจากเพลิงเถื่อน ผ่านการทดสอบของวิญญาณบรรพบุรุษ
แล้วใครจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดได้แต่งกับองค์หญิงลั่วลั่ว
เสี่ยวเต๋อมีการบำเพ็ญเพียรแข็งแกร่งที่สุด มีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุด ดังนั้นตามเหตุผลไม่มีใครที่สามารถเอาชนะเขาได้ แต่เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีหนุนองค์ชายรองของดินแดนต้าซีแล้วยังมีความเป็นไปได้ที่จักรพรรดิขาวจะเห็นด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นผู้อาวุโสใหญ่จะเงียบไปหลังจากคืนนั้นด้วยเหตุใด
แล้วยังมีเซวียนหยวนผ้อที่พลันปรากฏตัวขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นทายาทเผ่าหมี แต่เขาเลือกที่จะสู้ให้สำนักฝึกหลวง นี่เป็นฐานที่ล้ำลึกแต่เมื่อเผ่ามนุษย์ไม่มีเวลาให้ตอบสนองดังนั้นเขาย่อมมาด้วยตัวเอง แล้วเขาจะทำสำเร็จได้แค่ไหนด้วยการพึ่งแค่ตัวเอง
ยอดฝีมือเผ่าปีศาจอีกสองคนก็มีชื่อเสียงพอกัน จึงไม่ยากที่จะผ่านการทดสอบของวิญญาณบรรพบุรุษ หากเสี่ยวเต๋อประมาทเพียงเล็กน้อยก็มีโอกาสที่เขาอาจจะพ่ายแพ้ แต่ทำไมชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานถึงไม่แม้แต่จะมองดูพวกเขา ทำตัวเย่อหยิ่งห่างเหินแบบนี้
ในเรื่องน่าประหลาดใจของพิธีสวรรค์พิจิต นอกจากการปรากฏตัวอย่างฉับพลันของเซวียนหยวนผ้อ ก็มีชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานรวมอยู่ด้วย
เสี่ยวเต๋อ องค์ชายรองของดินแดนต้าซีและยอดฝีมือเผ่าปีศาจสองคนล้วนมีที่มาชัดเจน แม้แต่เซวียนหยวนผ้อก็ไม่มีอะไรปิดบัง แต่จนถึงตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานเป็นใคร มาจากไหนหรือต้องการทำอะไร
นี่ไม่น่าเป็นไปได้
สายลับของราชสำนักกับเผ่าต่างๆ ได้ลอบสืบดูแต่มีพลังบางอย่างในเมืองไป๋ตี้กันชายหนุ่มนี้ออกจากสายตาทั้งหมด ปิดกั้นสายตาที่จับจ้องทั้งมวลอย่างเงียบงันแต่ไม่ลดละ
การที่สามารถป้องกันคนผู้แข็งแกร่งในราชสำนักและเผ่าต่างๆ ในการค้นหาความเป็นมาของคนผู้นี้โดยไม่แสดงตัวออกมานั้นแสดงว่ามีความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง
เผ่าต่างๆ หยุดการสืบสวนอย่างความกลัว แม้แต่สายลับของราชสำนักก็ถอนตัวเมื่อได้รู้ที่อยู่ของชายหนุ่มผู้นี้
ชายหนุ่มอาศัยอยู่ในบ้านที่ใกล้กับจวนเผ่าเซียงที่สุด
นี่ทำให้สรุปได้อย่างง่ายดาย
ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มผู้นี้อาจไม่ใช่เผ่าปีศาจ อาจเป็นศัตรูกับเผ่าปีศาจด้วยซ้ำ แต่ต่อให้เป็นเรื่องจริงมันก็ไม่สำคัญ
นี่เป็นเพราะชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานต้องเข้าสู่ต้นไม้สวรรค์ในวันนี้ รับการชำระจากเพลิงเถื่อนและการทดสอบของวิญญาณบรรพบุรุษ
หากคนผู้นี้มีความคิดไม่ดีต่อเผ่าปีศาจ เป็นสายลับจากเผ่ามนุษย์หรือเผ่ามาร เขาย่อมถูกเพลิงเถื่อนเผาจนไม่เหลือแม้แต่ซากและวิญญาณ
นี่คือหัวใจของพิธีสวรรค์พิจิต
มีแต่ผู้ที่สาบานว่าจะภักดีต่อเผ่าจักรพรรดิขาวจึงจะทนผ่านการชำระด้วยเพลิงเถื่อนและการทดสอบของวิญญาณบรรพบุรุษได้
ยอดฝีมือที่ผ่านขั้นตอนนี้ไปจะสมัครใจละทิ้งเผ่าพันธุ์เดิมของตนและกลายเป็นสมาชิกของเผ่าจักรพรรดิขาว
ดังนั้นผู้อาวุโสเผ่าปีศาจ ขุนนางและแม่ทัพยอมเห็นด้วยกับแผนของมู่ฮูหยินก็เพราะจุดนี้
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่องค์ชายรองของดินแดนต้าซี มีทั้งเคร่งเครียด เย็นชา สงสัยและมุ่งร้าย
เหตุการณ์ที่สถานศึกษาหนานซีแพร่ไปทั่วเมืองไป๋ตี้เมื่อคืนนี้
ราชวงศ์ของดินแดนต้าซีมีแผนร้ายจริงๆ
องค์ชายรองของดินแดนต้าซีจะยอมสละร่างกายและวิญญาณเปลี่ยนมาเป็นเผ่าปีศาจอย่างนั้นหรือ
หากเขาทำจริง เขาก็มีโอกาสได้เป็นจักรพรรดิขาวคนต่อไป
ภายใต้สายตาของฝูงชนที่จับจ้อง องค์ชายรองของดินแดนต้าซีก็หันไปหาผู้อาวุโส ขุนนางและแม่ทัพทั้งหลาย
แสงยามเช้าสาดส่องใบหน้าของเขา แต่มันไม่ได้แสดงความรู้สึกที่แท้จริงของเขาออกมา
มันดูเหมือนเสียดายแต่ก็โล่งอกเช่นกัน ในที่สุดก็กลายเป็นความสงบ
เขาประกาศ “ข้าถอนตัว”