หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไม่พูดอะไร มองดูความว่างเปล่า แต่เห็นได้ชัดว่าบริเวณรอบๆ คึกคักมาก เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพ่นลมหายใจเย็นเยียบ ไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่ายและกะพริบร่างพุ่งต่อไป
หวังเป่าเล่อรวดเร็วมากเพียงพริบตาเดียวก็ทะลุผ่านปราการพุ่งออกไป เพียงแต่…ยิ่งเขาพุ่งออกไปมากเท่าไ เสียงรอบตัวก็ยิ่งเซ็งแซ่ ลมหายใจบนท้องฟ้าก็ยิ่งใกล้เข้ามา และเขายังได้ยินเสียงคลานอึกทึกจากที่ไกลๆ ด้วย
ทุกอย่างกำลังบอกเขาว่า สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายมาก
และตอนนี้เสียงแผ่วเบานั่นก็เริ่มดุดันขึ้นเล็กน้อยและยังคงดังก้องอยู่ในหู
“พี่ชาย เจ้าคงไม่ได้ไม่มีดนตรีหรอกใช่ไหม”
“หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ควบคุมไม่ไหวแล้วนะ”
“แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกสักครั้ง…”
เห็นได้ชัดว่ามีเสียงกลืนน้ำลายดังมาพร้อมกับเสียงพูด หวังเป่าเล่อจำต้องหยุดฝีเท้าเพราะเขารู้สึกว่ามีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อีกตัวอยู่ข้างหน้า กลายเป็นกำแพงขวางเขาไว้
เห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจ เขาไม่ได้บิดเบือนเจตนาของอีกฝ่ายอีกต่อไป ถึงอย่างไรการคลายกฎเกณฑ์ปรารถนารสก็ยังค่อนข้างยุ่งยาก
ดูเหมือนว่าการจัดการสถานการณ์ตรงหน้าจะไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่สบายตัวคืออักขระเสียงหลักของตน…
อันที่จริงนับตั้งแต่อักขระเสียงหลักก่อตัวขึ้น เขามักจะเก็บมันไว้ในร่างกายเสมอและไม่เคยเอ่ยถึงมันเลย เพราะหวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่า…คำตอบที่ได้รับจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขาด้วย
เขายังเคยสงสัยว่านี่คือสิ่งที่ร่างต้นแบบจงใจมอบให้
แต่การไม่ปลดปล่อยมันออกมาก็ไม่ใช่เรื่องดี ดังนั้นหลังจากหวังเป่าเล่อเงียบเสียง กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงในร่างกายก็ขยับเล็กน้อย และเมื่อมันเคลื่อนไหว อักขระเสียงอันสว่างไสวในร่างกายก็ดูเหมือนจะดึงดูดปราณกังวานและส่งเสียงออกมาเล็กน้อย เสียงนี้ทะลุร่างหวังเป่าเล่อออกมาและแพร่กระจายไปในโลกกลายเป็นเสียงเสียงหนึ่ง
“ฟู่…”
ทันทีที่เสียงถูกปล่อยออกมา หวังเป่าเล่อก็หน้ามืดไปเล็กน้อย แต่เขายังคงระงับความรู้สึกไม่สบายไว้ได้ แต่ว่า…ในการรับรู้จากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนรอบตัวเขาดูเหมือนจะตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
“นี่มัน…ดนตรีอะไร” ในไม่ช้าเสียงแผ่วเบาจากก่อนหน้านี้ก็ดังขึ้นในหูของเขา แต่เห็นได้ชัดว่าเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความสงสัย
“ข้าได้ยินไม่ชัด เจ้าปล่อยมาอีกอันได้ไหม”
ใบหน้าของหวังเป่าเล่อกลับยิ่งบิดเบี้ยว หลังจากเงียบไปก็สั่นอักขระเสียงในร่างอีกครั้ง ส่งผลให้เสียงของดังออกมาอีกรอบ
“ฟู่…”
บริเวณโดยรอบเงียบลงทันที ความเงียบนี้กลายเป็นบรรยากาศแปลกประหลาด ราวกับว่าในโลกที่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงสามารถรับรู้ได้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ในเวลานี้กำลังนิ่งเงียบ
“อีกครั้งสิ” เสียงแผ่วเบาพูดต่ออย่างดื้อรั้น
ตอนนี้เส้นเลือดบนหน้าผากหวังเป่าเล่อค่อยๆ ปูดโปน อารมณ์ของเขามาถึงขีดสุด เขาอดกลั้นความรู้สึกไม่สบายและปล่อยอักขระเสียงหลักสองครั้ง แต่อีกฝ่ายเอาแต่ขอซ้ำแล้วซ้ำเล่าซึ่งนั่นทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่า เขากำลังละเมิดหลักการของตนเอง
หวังเป่าเล่อคิดมาตลอดว่าตนไม่เหมือนกับร่างต้นแบบ ร่างต้นแบบไม่เอ่ยถึงหลักการ ร่างต้นแบบกระหายเลือด ร่างต้นแบบกระหายสงคราม แต่ตัวเขาแค่โต้กลับเมื่อถูกกระทำเท่านั้น
อย่างเช่นตอนนี้ เขารู้สึกว่าถึงเวลาที่ตนควรจะสู้กลับแล้ว
“ปล่อยๆๆ ปล่อยมารดามันสิ!!” หวังเป่าเล่อโมโหแล้ว กฎเกณฑ์ปรารถนารสในร่างกายพลันถูกกระตุ้นทันที ฉับพลันร่างก็ระเบิดสูงขึ้นมากกว่า 600 จั้ง พลังปราณบ้าคลั่ง แรงสยบอันน่าสะพรึงกลัว รวมถึงฝันร้ายแห่งปรารถนาหลายสิบตัวกระจายไปทั่วพื้นดิน
ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นและพริบตาที่กฎเกณฑ์ปรารถนารสปะทุ มือขวายักษ์ก็ยกขึ้นคว้าความว่างเปล่าทางด้านขวาราวกับกำลังจับอะไรบางอย่างแล้วกระแทกมันลงกับพื้น
ท่ามกลางเสียงคำราม หลุมลึกปรากฏขึ้นที่พื้น และราวกับยังไม่สาแก่ใจ หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นกำหมัดแน่น ก่อนจะทุบลงพื้นอย่างดุเดือด หลังจากพื้นดินแตกเป็นเสี่ยงๆ และเกิดหลุมลึก เขาจึงหยุด
ในเวลาเดียวกันพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงที่กำลังถูกเขากลืนกินอย่างรวดเร็วก็แผ่สัมผัสเชื่อมต่อ ทำให้เขารับรู้ได้ว่าในระหว่างกระบวนการนี้ มีเสียงถอยกรูดังขึ้นจำนวนมาก
ราวกับว่าในพริบตาที่สิ่งมีชีวิตที่เคยรายล้อมเห็นกฎเกณฑ์ปรารถนารสเปลี่ยนหวังเป่าเล่อเป็นเจ้าสวาปาม พวกมันก็รีบถอยหนีไปอย่างตื่นตระหนก นั่นทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งสีหน้าบิดเบี้ยวและรีบผนึกกฎเกณฑ์ปรารถนารสอีกครั้ง ในชั่วพริบตาร่างกายของเขาก็กลับมาเป็นปกติ ใบหน้ากลับมาอ่อนเยาว์เช่นเดิม
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาปวดใจคือตอนนี้อักขระเสียงหลักที่ก่อตัวจากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้หายไปหนึ่งส่วน เขาเองก็ไม่รู้ว่าหนึ่งส่วนที่หายไปจะทำให้เสียงเปลี่ยนไปหรือไม่
แต่สุดท้ายนั่นก็ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะเมื่อเขาต้องทนกับความไม่สบายและต้องประนีประนอม แต่อีกฝ่ายกลับไม่พอใจให้เขาปล่อยเสียงซ้ำๆ แล้วยังมีคำว่าปล่อยนั่นอีก…นี่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกโมโหขึ้นมา
แค่นึกถึงความเลวร้ายของร่างต้นแบบก็พอแล้ว ในโลกที่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงไม่สามารถรับรู้ได้ นี่ยังมีสิ่งที่อธิบายไม่ได้มาหัวเราะเยาะอีก หวังเป่าเล่อก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว เมื่อเดินไปยังบริเวณที่เพิ่งถูกตนทุบไปก็กระทืบไปอีกสองสามครั้งถึงดีขึ้นเล็กน้อย
ทว่าขณะที่กำลังย่ำเท้ากระทืบนั้น จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็ร้องอุทานเบาๆ เขาก้มลงพื้นและเห็นว่าข้างในนั้นมีเส้นไหมสีครามกำลังรวมตัวเข้ากันช้าๆ
เห็นได้ชัดว่าบนเส้นไหมสีครามนั้นมีกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงอยู่ นั่นทำให้หวังเป่าเล่อใจเต้นและยกมือคว้ามันไว้ ทันใดนั้นเส้นไหมก็ลอยออกมาจมลงบนฝ่ามือและเจาะเข้าไปในร่างกาย หลอมรวมเข้ากับอักขระเสียงหลักของเขา
“หรือว่านี่คือวิธีฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง” หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย เขาคำนวณผลการเก็บเกี่ยวครั้งนี้และพบว่าเส้นไหมสีครามได้ซ่อมแซมแค่ส่วนที่ถูกกลืนกินไปเท่านั้น และในแง่ของความคุ้มค่า มันไม่คุ้มเลยแม้แต่น้อย
“หากช่วงเวลาแรกที่ข้าระเบิดกฎเกณฑ์ปรารถนารส แล้วเป้าหมายคือสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดทุกตัวโดยรอบ ถ้าเกิดว่าสามารถสยบพวกมันได้อย่างสมบูรณ์ก็น่าจะได้ประโยชน์มากกว่าที่ต้องจ่ายไป” คิดถึงตรงนี้หวังเป่าเล่อก็กระตือรือร้นที่จะลองดูสักหน่อย หลังจากไตร่ตรองดีแล้วร่างของเขาก็กะพริบวาบพุ่งไปข้างหน้าไม่ช้าไม่เร็ว
ขณะที่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงแผ่ออกไปและทิ้งเจตจำนงไว้ทุกทิศทาง เขาก็พยายามรักษารูปลักษณ์ที่ไม่เป็นอันตราย พยายามทำให้ตัวเองกลายเป็นคบเพลิงอย่างสุดความสามารถเพื่อดึงดูดสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดในโลกที่ไม่รู้จักนั่น
“มากันเยอะๆ ล่ะ…” หวังเป่าเล่อเดินไปด้วยสายตาคาดหวัง ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้ประมาทเกินไป กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวจนสิ่งมีชีวิตที่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงรับรู้ได้จะไม่กล้าเข้ามา
“หวังว่าพวกมันคงจะไม่สื่อสารกันนะ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ เวลาไหลผ่านไป ในไม่ช้าก็ผ่านไปกว่าค่อนคืน ตอนนั้นเองดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ทอประกาย
เพราะในที่สุดเขาก็ได้ยินอีกครั้ง…เสียงจากโลกนั้นที่กำลังใกล้เข้ามา