ระหว่างที่คลื่นเสียงประหลาดของเผ่ายมโลกครึ่งแมลงแผ่ขยายไม่หยุด ในหมู่บ้านด้านล่างก็มีภูตแดงที่มีหมอกควันสีเทาหรือก็คือภูตสูญที่แฝงกายอยู่โผล่ออกมาจากร่างก็เพิ่มขึ้นไม่หยุดด้วย

แต่ภูตสูญทั้งหลายที่ถูกบีบออกมาระดับพลังล้วนไม่แข็งแกร่งนัก ส่วนใหญ่เป็นระดับของเหลวจิตวิญญาณ อย่างมากที่สุดก็ไม่พ้นระดับผลึก

ภูตสูญเหล่านี้ราวกับไม่มีร่างกาย พวกมันกลายเป็นเงาสีเทาตัวแล้วตัวเล่ากรีดร้องเสียงแหลมแสบแก้วหู จากนั้นลอยหนีไปทั่วทุกสารทิศ

เวลานี้เองเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ที่ยืนอยู่ข้างกายปี้เหยียนก็ก้าวมาข้างหน้าแล้วแหงนหน้าคำราม แสงเรืองรองสีเหลืองผุดออกมาจากร่าง ต่อจากนั้นจมูกก็พ่นฟองอากาศใสขนาดเท่ากำปั้นนับไม่ถ้วน ลอยไปยังภูตสูญที่เหาะหนีแต่ละตน

ฟองอากาศใสเหล่านี้ดูเบาราวกับไม่มีสิ่งใด ทว่าความเร็วว่องไวอย่างน่าประหลาด เพียงสองสามลมหายใจก็ขังเงาสีเทาที่หนีไปไกลเกือบร้อยจั้งแต่ละตนไว้ด้านใน

ภูตสูญที่ถูกฟองอากาศขังไว้ด้านในกรีดร้องไม่หยุด แสงสีเทาบนร่างเปล่งแสงวูบวาบ กระโดดขึ้นลงคิดจะทลายออกไป

แต่การกระทำเหล่านี้ล้วนเปล่าประโยชน์ ฟองอากาศใสประหนึ่งเป็นดาวข่มของเผ่าภูตสูญ เกาะติดหนึบบนร่างกายที่เป็นเงาสีเทา ไม่ว่าพวกมันจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจสลัดหลุด

ภูตสูญที่ถูกฟองอากาศใสล้อมร่างไว้ ถูกฟองอากาศกลืนกินแสงสีเทาที่เปล่งออกมาจากร่างเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ฟองอากาศใสเหล่านี้นอกจากจะขังภูตสูญเหล่านี้ได้แล้วยังกลืนกินพลังเวทในร่างพวกมันได้อีกด้วย

เมื่อเห็นภาพนี้ใบหน้าของภูตสูญตัวอื่นที่โชคดีหนีรอดก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาทันที พวกมันแย่งชิงกันเหาะหนีไปไกลอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวพุ่งไปถึงหน้าเกราะแสงสีขาว

หลิ่วหมิง ผู้เฒ่าชุดสีน้ำเงิน ชายหนุ่มผู้สะพายดาบ บุรุษคิ้วเฉียงยืนอยู่สี่ตำแหน่ง มือทำท่าเคล็ดวิชาพร้อมกัน เกราะแสงสีขาวฉับพลันเปล่งแสงสว่างจ้า

ทันทีที่ภูตสูญโถมเข้ามาสัมผัสถูกแสงสีขาวก็เกิดเสียงดัง “ชี่” ทันที เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปราณสีเทารอบร่างราวกับระเหยกลายเป็นไอ ร่างกายหดเล็กลงไม่น้อย

เห็นสถานการณ์เช่นนี้ พวกผู้เฒ่าชุดสีน้ำเงินล้วนดีใจยิ่ง

ดูท่าปี้เหยียนจะเตรียมตัวมาพร้อมสำหรับภารกิจครั้งนี้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลที่วางหรือพลังแต่กำเนิดของเผ่ายมโลกที่เชิญมาล้วนปราบเผ่าภูตสูญที่เจ้าเล่ห์ไม่ธรรมดาเหล่านี้ได้อย่างหมดจด

ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ทุกสิ่งล้วนดำเนินไปด้วยดี

แต่หลิ่วหมิงกลับขมวดคิ้ว สถานการณ์ตรงหน้าเป็นไปด้วยดี แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกจิตใจไม่สงบอยู่ตลอด

ทั้งสี่คนก็ยืนอยู่ที่เดิมเช่นนี้ พวกเขาไม่ลงมือโจมตีภูตสูญที่เหาะเร็วรี่เข้ามาเหล่านั้น แต่ส่งเคล็ดวิชาจมลงไปในเกราะแสงสีขาวไม่ขาด รักษาพลังของเกราะแสงสีขาวเอาไว้ ไม่ให้ภูตสูญตัวใดหนีออกไปได้

นี่ก็คือแผนการรบที่ปี้เหยียนวางไว้เรียบร้อยแล้วก่อนหน้านี้

ก่อนที่หัวหน้าเผ่าภูตสูญจะปรากฏกาย พวกเขาสี่คนเพียงช่วยเสริมการป้องกันก็พอ

เมื่อเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์พ่นฟองอากาศใสมากมายหลายระลอกตามออกมาอีก ภูตสูญที่ถูกบีบออกมาทั้งหมดก็ถูกขังไว้จนหมดอย่างรวดเร็วยิ่ง

ฟองอากาสใสที่ลอยอยู่เต็มฟ้าเหล่านี้กลืนกินพลังเวทของภูตสูญด้านในไม่หยุด จากนั้นขยายใหญ่ขึ้นราวกับสูบลม แล้วยังผสานเข้าด้วยกันกลายเป็นฟองอากาศขนาดใหญ่ฟองแล้วฟองเล่า ส่วนภูตสูญด้านในก็ราวกับแมลงในก้อนอำพันค่อยๆ แน่นิ่ง

เมื่อปราณสีเทาทั่วทั้งร่างของภูตสูญเหล่านี้หายไปหมดสิ้น พวกหลิ่วหมิงจึงมองเห็นหน้าตาของเผ่าภูตสูญชัดเจนเป็นครั้งแรก

ภูตผีเหล่านี้แต่ละตนสูงราวหนึ่งฉื่อกว่าเท่านั้น  ใบหน้ายับย่นดูโหดเหี้ยมน่าหวาดกลัวอยู่บ้าง สี่แขนขาเรียวยาว ผิวรอบร่างมีขนสีดำสั้นๆ คล้ายกับภูตผีขนาดเล็กทั่วไป

ผ่านไปไม่นานนัก บนท้องฟ้าก็มีฟองอากาศขนาดหนึ่งจั้งกว่าเพิ่มขึ้นมาหลายสิบฟอง ด้านในฟองอากาศแต่ละฟองล้วนขังภูตสูญขนาดน้อยใหญ่เอาไว้หลายตัว บางตัวยังขยับอยู่ แต่บางตัวก็เหมือนตายไปแล้ว แลดูประหลาดยิ่งนัก

ยามนี้สีหน้าของเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ซีดเผือดอย่างยิ่ง เห็นชัดว่าการใช้พลังประหลาดชนิดนี้ผลาญลมปราณเป็นจำนวนมาก

หลังจากเขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งก็สะบัดมือ แสงสีเหลืองเรียวเล็กพุ่งกระเจิงออกมาจากในแขนเสื้อ จมหายเข้าไปในฟองอากาศหลายสิบฟองกลางท้องฟ้าทีละฟองไม่พลาดเลยสักเป้า

“ปัง” “ปัง” เสียงดังขึ้นต่อเนื่อง!

ฟองอากาศหลายสิบฟองทยอยแตก ศพของภูตสูญที่ไม่กระดิกอีกต่อไปด้านในก็แตกสลายปลิวหายไปกับสายลมตามด้วย

ในหมู่บ้านของเผ่าภูตบนพื้นดินภูตแดงนับร้อยตนถูกไล่ออกมาจากสิ่งก่อสร้างจนหมดแล้ว แต่ละตนเห็นภาพตรงหน้าต่างตาโตอ้าปากค้าง

ภูตแดงที่เคยถูกสิงร่างเหล่านั้นหลังจากฟื้นกลับเป็นปกติ สีหน้าของแต่ละตนประหนึ่งสีก้อนดิน

เผ่ายมโลกครึ่งแมลงยังคงส่งเสียงร้องประหลาดตามคำสั่งของปี้เหยียน แม้ภูตแดงด้านล่างแต่ละตนจะมีสีหน้าทุกข์ทรมาน แต่ไม่มีภูตสูญตัวอื่นถูกบีบออกมาอีกแล้ว

ปี้เหยียนลอยอยู่กลางอากาศ สายตากวาดมองหมู่บ้านภูตด้านล่าง สีหน้าถมึงทึงอย่างยิ่ง

เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกรีดร้องอีกครั้งก็หยุด

“ภูตสูญถูกสังหารหมดแล้วหรือ?” เผ่ายมโลกครึ่งแมลงมองปี้เหยียนแล้วเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

“ไม่มีทาง พวกที่ถูกสังหารล้วนเป็นภูตสูญธรรมดาจำนวนหนึ่ง ซวีหลิงยังไม่ปรากฏตัว” ปี้เหยียนส่ายศีรษะตอบ

“หรือซวีหลิงผู้นั้นจะสังเกตเห็นพวกเราก่อน ก่อนหน้าพวกเราล้อมที่นี่เขาจึงหนีไปแล้ว?” เผ่ายมโลกครึ่งแมลงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นมา

ปี้เหยียนฟังจบก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาหันไปมองผู้เฒ่าผมขาวข้างกาย

“ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ข้าวางค่ายกลที่มีปฏิกิริยากับเผ่าภูตสูญโดยเฉพาะไว้รอบหมู่บ้านภูตแดง ภูตสูญระดับแก่นแท้ไม่ว่าจะซ่อนเร้นพลังเวทในร่างตนอย่างไรก็หนีพ้นการตรวจจับไปไม่ได้” ผู้เฒ่าผมขาวเอ่ยเสียงเคร่งขรึม

ปี้เหยียนพยักหน้าน้อยๆ ผู้เฒ่าผมขาวเป็นปรมาจารย์ค่ายกลผู้เลื่องชื่อแห่งกองทัพวารีมืด เขามั่นใจเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นซวีหลิงย่อมยังอยู่ในหมู่บ้านภูต

หลังจากเขาใคร่ครวญอีกพักหนึ่งจึงขยับร่างเหาะลงไปด้านล่าง พวกผู้เฒ่าผมขาวกับเผ่ายมโลกครึ่งแมลงจึงเหาะตามลงไปด้วย

หลังจากเผ่ายมโลกครึ่งแมลงหยุดกรีดร้อง ในที่สุดสีหน้าทุกข์ทรมานของภูตแดงระดับผลึกที่เป็นหัวหน้าหลายตนด้านล่างก็กลับมาสงบ แต่ก็ยังอดไม่ได้มองเผ่ายมโลกหลายตนตรงหน้าด้วยดวงตาโกรธแค้น

แต่พลังของสองฝ่ายต่างกันมากเกินไปจริงๆ พวกเขาจึงทำได้เพียงเท่านี้

ในตอนนี้เองกลุ่มภูตแดงด้านล่างพลันวุ่นวายขึ้นพักหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็แหวกออกเป็นทางเส้นหนึ่ง ภูตแดงที่หลังค่อมเล็กน้อยตนหนึ่งเดินออกมา

“นายท่านเผ่ายมโลกทุกท่าน ข้าคือหัวหน้าเผ่าของเผ่าแห่งนี้ ขอบคุณนายท่านทุกท่านที่ขับไล่พวกต่างเผ่าในร่างให้คนของเผ่าเรา” ภูตหลังค่อมคำนับพวกปี้เหยียน สุ้มเสียงค่อนข้างแก่ชรา

“เดิมทีพวกเราไม่มีเจตนาจะรบกวนชีวิตของพวกเจ้า แต่พวกเรากำลังตามจับทายาทของเผ่าสูญ พวกเขาแฝงตัวอยู่กับเผ่าของพวกเจ้า พวกเราจนปัญญาจึงได้แต่ทำเช่นนี้” ปี้เหยียนเอ่ยเรียบๆ

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ไม่ทราบนายท่านต้องการให้พวกเราร่วมมือทำสิ่งใดอีกหรือไม่?” หัวหน้าเผ่าภูตแดงฟังจบก็เข้าใจแล้วฝืนยิ้มเอ่ยขึ้นมา

เห็นชัดว่าคลื่นเสียงที่เผ่ายมโลกครึ่งแมลงปล่อยออกมาเมื่อครู่ทำร้ายเผ่าภูตแดงทุกตนในระดับหนึ่ง ทว่าอยู่ต่อหน้าเผ่ายมโลกระดับแก่นแท้กลุ่มหนึ่ง หัวหน้าเผ่าภูตแดงตนนี้ย่อมไม่กล้าแสดงความไม่พอใจแต่ประการใด

“ร่วมมือ? หึๆ ง่ายมาก ตอนนี้ยังมีภูตสูญอีกตนหนึ่งที่ยังหาตัวไม่พบ ดังนั้นพวกเราจึงได้แต่ล่วงเกินอีกครั้ง” หลังจากปี้เหยียนหัวเราะแผ่วเบาก็มองเผ่ามยมโลกครึ่งแมลงงที่อยู่ด้านข้างทันที

เผ่ายมโลกครึ่งแมลงหัวเราะจากนั้นก็อ้าปาก คลื่นเสียงที่รุนแรงกว่าเมื่อครู่หลายเท่าโถมออกมา แล้วแผ่กระจายไปสี่ทิศแปดทางอย่างรวดเร็ว ล้อมภูตแดงทั้งหมดเอาไว้ด้านใน

ระลอกคลื่นปรากฏชัดกลางอากาศ สั่นสะเทือนเสียงดังประหนึ่งรัวกลอง

“ไม่นะ…นายท่าน!”

หัวหน้าเผ่าภูตแดงหน้าถอดสี แต่อึดใจต่อมาคลื่นเสียงอันแข็งแกร่งก็ล้อมเขาไว้ด้านใน ใบหน้าเผยสีหน้าทุกข์ทรมานอย่างที่สุดออกมาทันที

แม้เขาเป็นหัวหน้าเผ่าของเผ่าแห่งนี้ แต่ระดับพลังก็เพียงระดับแก่นเสมือนเท่านั้น ไหนเลยจะขวางเสียงมารสยบวิญญาณของเผ่ายมโลกครึ่งแมลงได้ เขายกมือกุมศีรษะกรีดร้องคร่ำครวญทันที

ภูตแดงตนอื่นยิ่งทนไม่ไหว พวกที่ระดับพลังต่ำร่างกายส่งเสียงดังแครกๆ แล้วระเบิดดัง “ปัง” “ปัง” เสียงดังกึกก้อง กลายเป็นฝนโลหิตกับไอหมอกปราณสีดำก้อนแล้วก้อนเล่า

พริบตาเดียวภูตแดงสิบถึงยี่สิบตนก็กลายเป็นควันปลิวไปกับลมเช่นนี้

สิ่งก่อสร้างทรงรีในแอ่งกระทะเหล่านั้นของเผ่าภูตสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่งก็ถล่มดังครืนลงมาจำนวนไม่น้อย ฝุ่นคละคลุ้งไปทั่ว

แม้อยู่ต่อหน้าสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ แต่ไม่ว่าปี้เหยียนหรือเผ่ายมโลกตนอื่นที่เหลือต่างไม่แสดงสีหน้าเวทนาออกมาแต่อย่างใด

ร่างของหัวหน้าเผ่าภูตแดงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ลึกลงไปในดวงตามีประกายแสงสีเทาจุดหนึ่งส่องสว่าง ทว่าพริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ฟึบ!”

แสงสีเหลืองแสบตาสายหนึ่งฉับพลันแทงเข้าไปในหน้าอกของหัวหน้าเผ่าภูตแดง มันคือกระบี่ยาวสีเหลืองเล่มหนึ่งที่เผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ผู้นั้นกำด้ามกระบี่อยู่

กระบียาวสีเหลืองราวกับแทงผ่านแผ่นกระดาษ มันทอแสงวูบเดียวก็แทงทะลุหน้าอกของหัวหน้าเผ่าภูตแดง แสงกระบี่สีเหลืองกะพริบวูบวาบฉีกร่างกายเขาเป็นชิ้นๆ ในพริบตา

ในตอนนี้เองเงาสีเทาร่างหนึ่งพลันโฉบออกมาจากร่างกายที่ขาดเป็นชิ้นๆ ของหัวหน้าเผ่าภูตแดง มันขยับหายวับไปหลายครั้งก่อนจะปรากฏตัวห่างออกไปหลายสิบจั้ง

“ซวีหลิง เจ้ายังอยู่ที่นี่จริงๆ!” ดวงตาของปี้เหยียนเย็นเยียบอย่างยิ่ง เขามองเงาสีเทาที่ปรากฏตัวออกมากะทันหันร่างนี้

เผ่ายมโลกครึ่งแมลงหยุดกรีดร้อง ใบหน้าเผยสีหน้าจริงจัง ปีกบนแผ่นหลังขยับครั้งหนึ่งก็ร่อนลงฝั่งขวาของเงาสีเทา เผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์สะบัดกระบี่ยาวสีเหลืองในมือ ร่างกายขยับไปปรากฏตัวฝั่งซ้ายของเงาสีเทาเช่นกัน

ทั้งสามคนล้อมเงาสีเทาไว้รางๆ ส่วนผู้เฒ่าผมขาวยืนอยู่ด้านหลังปี้เหยียน แววตาดำมืดมองไปยังเงาสีเทาที่อยู่ไม่ไกล

เงาสีเทาเผชิญหน้ากับพวกปี้เหยียนสามคนกลับไม่เผยสีหน้าหวาดกลัวแม้แต่น้อย มันหัวเราะอย่างชั่วร้าย ปราณสีเทาบนร่างค่อยๆ สลายออกเผยให้เห็นร่างกายที่อยู่ด้านใน

ประกายประหลาดใจพาดผ่านดวงตาของหลิ่วหมิงผู้อยู่ไกลๆ ร่างกายที่อยู่ในปราณสีเทาเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ที่ค่อนข้างหล่อเหลาผู้หนึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง ท่วงท่าสง่างาม ไม่เหมือนภูตสูญหน้าตาอัปลักษณ์ตนอื่นที่เห็นเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง

นี่ไม่ใช่วิชามายา แต่เป็นร่างจริง

บุรุษผู้นี้คือซวีหลิงจริงหรือ?

หลิ่วหมิงมองไปทางปี้เหยียน เขามองบุรุษผู้นั้นด้วยสีหน้าถมึงทึง ดวงตาทอประกายเย็นเยียบ แต่ไม่มีสีหน้าคลางแคลงหรือตกใจเลยแม้แต่น้อย