บทที่ 1086 ได้โปรดตีข้าอีก

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,086 ได้โปรดตีข้าอีก

“เหอเหอเหอ หอการค้าสุกรบินจะมีอะไรน่ากลัวขนาดนั้น?”

เว้นแต่จะมีกลุ่มทุนอาลีบาบาหนุนหลังอยู่น่ะนะ

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนเปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉยว่า “แต่ในเมื่อพี่เหยียนอุตส่าห์ย้ำเตือนข้าทั้งที ข้าจะไว้หน้าพี่เหยียนสักหน่อยก็ได้ เอาละ ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่กินหมูทั้งสี่ตัวนั่นแล้ว ข้าจะเอาพวกมันมาเลี้ยงดูอย่างดี ทุกครั้งที่เห็นหน้าพวกมันหลังจากนี้ ข้าจะได้คอยนึกถึงหน้าของพี่เหยียนอยู่ตลอดเวลาดีไหมขอรับ”

เหยียนหรู่อี้พูดอะไรไม่ออก

นางแทบไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดเลยสักคำเดียว

เห็นทีอาการทางสมองของหลินเป่ยเฉินคงกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว

ตอนที่เห็นความยอดเยี่ยมของเด็กหนุ่มเมื่อสักครู่นี้ นางก็หลงคิดว่าตนเองเข้าใจผิดมาตลอด

แต่ที่ไหนได้

ดูเหมือนคำเล่าลือเหล่านั้นจะเป็นความจริงเสียแล้ว

เมืองไป๋หยุน จวนท่านเจ้าเมือง

ในคฤหาสน์หลังงามที่มีรั้วรอบขอบชิด

“ท่านจะปล่อยเขาไปเช่นนี้หรือ?”

ท่านเจ้าเมืองฉู่อวิ๋นซุนผู้มีเบ้าตาลึกโหลระเบิดเสียงคำรามด้วยความไม่พอใจ “พวกเราต้องฆ่าเขา หรือว่าท่านไม่อยากลงมือ? ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าดีหรือไม่? หรือว่าท่านยังหลงรักเขาอยู่ฮะ? ท่านยังมีเขาอยู่ในหัวใจใช่หรือไม่? ท่านลองดูเขาสิ เขายังคงเหมือนเดิม ส่วนท่านก็ยังคง… ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ ข้าจะส่งคนไปสังหารเขาเดี๋ยวนี้ และทำให้เขาหายตัวไปจากเมืองไป๋หยุนตลอดกาล”

ลู่กวนไห่ผู้ยืนอยู่ข้างหน้าต่างกล่าวโดยไม่หันหน้ามองกลับมา “ถ้าอย่างนั้นก็ประเสริฐ เจ้าสามารถทำได้โดยทันที”

“ท่าน…”

ฉู่อวิ๋นซุนกล่าวอย่างคลุ้มคลั่ง “ท่านอย่าได้บังคับข้า ท่านก็รู้ เพื่อท่านแล้วข้าสามารถทำได้ทุกอย่าง”

เขาเหมือนคนเสียสติ ไม่มีสง่าราศีของความเป็นท่านเจ้าเมืองแม้แต่น้อย

ลู่กวนไห่ค่อย ๆ หันหน้ามาอย่างแช่มช้า

นี่คือสตรีที่มีความงามเฉิดฉายเป็นอย่างยิ่ง

ใบหน้าของนางมีความจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย แต่กลับเป็นองค์ประกอบที่ลงตัวสมบูรณ์แบบ

ผิวพรรณขาวราวกับหิมะ

ผมสีดำ คิ้วสีดำดกหนา แสดงให้เห็นถึงความดื้อรั้นและความมุ่งมั่น

นางไม่ใช่สตรีอ่อนหวาน แต่เป็นพวกสตรีที่วู่วามใจร้อน ดวงตามีแต่ความเย็นชาและความดุดัน ยามจ้องมองผู้คน ก็ให้ผู้คนรู้สึกอยากหนีห่างออกมาโดยไม่มีเหตุผล

หากนางเป็นบุรุษ นางก็ต้องเป็นพวกบุรุษที่บ้าอำนาจ

จิตใจของลู่กวนไห่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุทะลุดุดัน ไม่ต่างจากกระบี่ที่พร้อมทะลวงทุกอุปสรรคขวางกั้น

“ติงซานฉือมีลูกศิษย์ชื่อหลินเป่ยเฉิน บัดนี้ ลูกศิษย์ของเขามีสถานะเป็นหัวหน้านักบวชจากวิหารหลวง และเขายัง…”

นางกล่าว

ฉู่อวิ๋นซุนหัวเราะขัดจังหวะแทรกว่า “และเขายังสังหารผู้มีพลังขั้นเซียน 14 คนเมื่อคืนนี้ รวมถึงเจ้าเศษสวะซงชิวอวี่ ฮ่า ๆๆ แล้วอย่างไร? ท่านคงไม่คิดหรอกกระมังว่าเจ้าเป่ยเฉินน้อยคนนี้จะสามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน?”

ลู่กวนไห่ตอบ “ข้าได้รับทราบข่าวมาว่าหลินเป่ยเฉินได้พบกับเฉินเซียวเยี่ยนในหอเจ็ดดารา และสามารถโน้มน้าวใจให้ตาแก่นั่นตีกระบี่ได้สำเร็จ หลังจากนั้นเขาก็นำกระบี่เล่มใหม่ที่ได้มาไปกวาดล้างกลุ่มอมนุษย์ผมขาวหมดสิ้น”

ฉู่อวิ๋นซุนมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนกัดฟันพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้น เขาก็มีคุณสมบัติสามารถเข้าร่วมการประลองกับ 14 สำนักได้น่ะสิ?”

ผู้เป็นเจ้าเมืองล้มตัวลงไปนอนบนพื้น ดวงตาจ้องมองเพดานอย่างเลื่อนลอย

ลู่กวนไห่ไม่ตอบรับคำใด

“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่สามารถฆ่าติงซานฉือที่นี่ได้แล้ว… ลูกศิษย์ของเขาน่ากลัวมากเกินไป”

ฉู่อวิ๋นซุนพลันลุกขึ้นมาคุกเข่าคำนับลู่กวนไห่และกล่าวว่า “กวนไห่ ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตของข้าไว้อีกครั้ง”

ลู่กวนไห่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม

นางกล่าวต่อ “ข้าจะให้ติงซานฉือเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้”

“ว่าอะไรนะ?”

ใบหน้าของฉู่อวิ๋นซุนเริ่มกลับมาบิดเบี้ยวอย่างผิดปกติอีกครั้ง “ท่านทำได้อย่างไร?”

ลู่กวนไห่ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นดังเดิม “ติงซานฉือเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักกระบี่อมตะ ก่อนที่หัวหน้าสํานักคนก่อนจะหายตัวไป เขาได้เขียนจดหมายทิ้งเอาไว้ว่าขอมอบตำแหน่งหัวหน้าสำนักให้แก่ติงซานฉือ ดังนั้นกิจการทุกอย่างของสำนักกระบี่อมตะจึงอยู่ภายใต้การดูแลของติงซานฉือ ข้าไม่มีสิทธิ์ใดไปขัดขวางไม่ให้เขาเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้”

ลู่กวนไห่กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

เมื่อพูดจบ แววตาของนางก็ยิ่งเพิ่มประกายเย็นชามากขึ้น

ฉู่อวิ๋นซุนเริ่มหอบหายใจราวกับกำลังจะชัก หลังจากนั้นเขาก็ระเบิดเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น “แล้วอย่างไร? ข้าเป็นถึงเจ้าเมือง ข้ามีสิทธิ์ตัดสินใจเหนือกว่าหัวหน้าสำนักทั้งหลาย…”

“แต่เจ้าไม่มีกระบี่เมฆาขาว”

ลู่กวนไห่กระซิบเสียงแผ่วเบา

เมื่อไม่มีกระบี่เมฆาขาว ต่อให้ดำรงตำแหน่งท่านเจ้าเมือง ก็หาได้มีอำนาจที่แท้จริงไม่

คำพูดเหล่านี้ไม่ต่างจากหนามแหลมทิ่มแทงจิตใจฉู่อวิ๋นซุน

เขาส่งเสียงกรีดร้องแปลกประหลาด ไม่ต่างจากคนเสียสติ และเริ่มต้นทุบทำลายข้าวของที่อยู่ในห้อง

ลู่กวนไห่เพียงยืนมองอยู่ในความเงียบ ไม่คิดห้ามปราม

“ข้าจะต้องฆ่ามัน ข้าจะต้องฆ่าติงซานฉือ ข้าจะต้องฆ่ามันให้ได้…”

สีหน้าของฉู่อวิ๋นซุนในขณะนี้ไม่ต่างไปจากสัตว์ป่าที่กำลังคลุ้มคลั่ง

ลู่กวนไห่เดินเข้าไปตบหน้าเขาอย่างแรง

เพี้ยะ!

ฉู่อวิ๋นซุนลอยกระเด็นไปกระแทกกับผนังห้อง ก่อนจะกระเด็นกลับมาฟุบหน้าอยู่กับพื้นห้อง เขาพยายามลุกขึ้นอยู่หลายรอบ แต่สุดท้ายก็ต้องล้มลงนอนหงายหลังจ้องมองเพดาน บนใบหน้าปรากฏรอยมือแดงแจ๋ ที่มุมปากและที่รูจมูกมีโลหิตไหลซึมออกมาเล็กน้อย

แต่สีหน้าของเขากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความคึกคักและตื่นเต้น

“เอาอีก”

ท่านเจ้าเมืองแห่งเมืองไป๋หยุนพูดออกมาเสียงดังด้วยความกระตือรือร้น “ได้โปรดตีข้าอีก กวนไห่ พักหลังท่านไม่ค่อยได้ตีข้าเลย ได้โปรดตีข้าอย่าได้ยั้งมือ…”

ลู่กวนไห่ไม่ได้เคลื่อนไหวอีกแล้ว

นางยังคงกล่าวต่อไปเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด “ใจความสำคัญก็คือติงซานฉือมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะเข้าร่วมการประลอง แต่ถ้าเขาอยากจะเข้าร่วมการประลองจริง ๆ เขาก็ต้องจัดตั้งกลุ่มของตนเองขึ้นมา และที่สำคัญ เขาต้องตามหายอดฝีมือที่ยินดีจะเข้าร่วมกลุ่มกับเขาด้วย”

ฉู่อวิ๋นซุนยกมือปาดคราบเลือดออกจากมุมปากและจมูก ก่อนพูดว่า “ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงจะเข้าร่วมกลุ่มของเขา?”

ลู่กวนไห่พยักหน้า

“ฮ่า ๆๆ น่าสนใจเหลือเกิน ข้าอยากจะรู้นักว่ามีใครบ้างที่อยากอยู่ร่วมกลุ่มกับศิษย์และอาจารย์คู่นี้”

ฉู่อวิ๋นซุนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

“ว่าแต่เจ้าพร้อมสำหรับการเข้าร่วมการประลองหรือยัง?”

ลู่กวนไห่จ้องมองผู้เป็นท่านเจ้าเมืองไม่วางตา

ฉู่อวิ๋นซุนกัดฟันกรอดด้วยความแค้นเคือง “แน่นอน ข้าเคยบอกแล้วไง เพื่อท่านแล้ว ข้าสามารถทำได้ทุกอย่าง แต่นี่ยังเหลืออีกสามวันกว่าจะถึงวันประลอง ข้าย่อมทำได้สำเร็จแน่นอน ใครก็ตามที่มาขวางทางข้า ข้าจะสังหารมัน และข้าจะนำตำแหน่งเซียนกระบี่มามอบแก่ท่านให้จงได้”

“ประเสริฐ”

ลู่กวนไห่พูดและสะบัดมือตบหน้าท่านเจ้าเมืองอีกครั้ง

เพี้ยะ!

ฉู่อวิ๋นซุนหมุนคว้าง 360 องศาไปกระแทกกับผนังห้องอย่างรุนแรง

เขากระเด็นตกลงมากระแทกพื้นอย่างหนักหน่วง แต่ก็ยังไม่วายเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “ใช่แล้ว อย่างนี้แหละ ตีข้าอีก ตีข้าอีกเร็วเข้า… อ้า… ข้ามีความสุขเหลือเกิน”

สำนักกระบี่อมตะ

บรรยากาศคึกคักแจ่มใส

รอยยิ้มบนใบหน้าของมือกระบี่ชุดขาวทุกคนไม่เคยจางหายไป

“สำนักของพวกเราไม่เคยมีชีวิตชีวาขนาดนี้มานานแล้ว” สือจงเซิ่งพูดด้วยความตื่นเต้น

เขากำลังนำลูกศิษย์ออกมาฝึกกระบี่

กลับมาแล้ว

บรรยากาศแห่งความรุ่งเรืองในอดีตกลับมาอีกครั้ง

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด อิ๋นซานผู้เป็นศิษย์น้องของเขานับตั้งแต่ที่กลับมาจากหอเจ็ดดารา นางก็ดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นอกจากไม่ยอมฝึกกระบี่แล้ว ยังเอาแต่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ข้างบ่อน้ำ และมองเงาสะท้อนใบหน้าของตนเองในบ่อน้ำตลอดเวลาอีกด้วย

“อะไรนะ อาจารย์อยากเลี้ยงหมูหรือขอรับ?”

เสียงอุทานของหลินเป่ยเฉินดังออกมาจากห้องพักด้านใน

เสียงของติงซานฉือดังตอบกลับมาว่า “หมูบินเหล่านี้ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา ทั้งสี่ตัวที่เจ้าพากลับมาด้วยเป็นตัวผู้หนึ่งและตัวเมียสาม พวกเราสามารถนำมาเพาะพันธุ์ได้สบายๆ เมื่อพวกมันเติบโตแล้ว เจ้ากับข้าก็จะมีแต่รวยกับรวยเท่านั้น”

“แต่อาจารย์เลี้ยงหมูเป็นด้วยหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย

ติงซานฉือตอบว่า “เป็นสิ ตอนหนุ่ม ๆ สมัยที่ข้ายังร่อนเร่พเนจรอยู่ในยุทธภพ ข้าเคยเป็นคนเลี้ยงหมูอยู่นานทีเดียว”

หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่นโดยไม่รู้ตัว “อ้อ จริงด้วยสินะขอรับ มิน่าล่ะ สภาพของท่านถึงเหมือนคนเลี้ยงหมูไม่เคยเปลี่ยนไปเลย”

ในเมื่อหมูบินเหล่านี้มีราคามหาศาล การเลี้ยงพวกมันเอาไว้เพาะพันธุ์จึงเป็นหนทางหาเงินได้อีกหนึ่งอย่าง

ไม่มีอะไรให้ต้องปฏิเสธ

หลังจากนั้น อาจารย์และลูกศิษย์ก็พูดคุยกันถึงเรื่องงานประลองกระบี่

“อะไรนะขอรับ? อาจารย์ยังจะต้องรวมกลุ่มอีกหรือ?”

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต “ก็ไหนว่าตัวแทนมือกระบี่จากเมืองไป๋หยุนสามารถเข้าร่วมการประลองรอบสุดท้ายได้เลยไงล่ะ แล้วทำไมยังจะต้องรวมกลุ่มกันอีก?”