ตอนที่ 2,409 : ผู้ชนะคนสุดท้าย
“ไม่รู้ตอนนี้พี่เทียนอยู่ที่ใด…”
หลังดึงสติกลับมาจากอาการเหม่อคิด เค่อเอ๋อก็เริ่มต้นออกเดินทางตามหาต้วนหลิงเทียนต่อ…
สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้ ไม่ว่าจะยอดสมบัติสวรรค์อันใดกระทั่งมรดกตกทอดของต้าหลัวจินเซียน…ล้วนไม่ได้อยู่ในสายตาของนางเลย!
ถึงแม้ว่าความทรงจำเมื่อชาติที่แล้วของนางจะยังย้อนกลับมาไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
แต่อย่างไรก็ตามนางล่วงรู้เรื่องหนึ่งชัดเจน…
ตัวตนที่เรียกว่า ‘ต้าหลัวจินเซียน’ นั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวนางครั้งยังรุ่งโรจน์เมื่อชาติที่แล้ว ไม่ได้ต่างใดจากมดปลวกไร้สำคัญ!
แม้กระทั่งในบรรดาสาวใช้ของนางให้เป็นคนที่อ่อนด้อยที่สุด เพียงหนึ่งมองก็ลบตัวตนอย่างต้าหลัวจินเซียนให้สลายเป็นธุลีได้ในชั่วพริบตา…!
…
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้พลังของเค่อเอ๋อได้ยกระดับขึ้นมาจนทัดเทียมกับขอบเขตเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์หรืออาจจะเหนือกว่านั้นแล้ว…
กระทั่งเรื่องที่เค่อเอ๋อได้เข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้ เขาก็ไม่รู้!
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังเดินทางเข้าไปในหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยม่านหมอก
ภายนอกมองลงมาเห็นเป็นเพียงหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยม่านหมอก หากทว่าเมื่อเข้ามาแล้วกลับเต็มไปด้วยภยันตรายนานับประการ!
ช่วงแรกๆด้วยพลังของต้วนหลิงเทียนทุกเรื่องราวล้วนง่ายดายไร้เรื่องราว ดั่งเดินเล่นในสวนหลังบ้าน
ทว่ายิ่งล่วงลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ อันตรายก็ยิ่งมากขึ้น!
สุดท้ายก็ปรากฏอาคมสังหารที่อยู่ๆก็อุบัติขึ้นตรงหน้าอย่างที่เขาไม่ทันตั้งตัว! ไม่มีแม้แต่เวลาจะใช้ออกด้วยปฐมเวทย์กลืนกินด้วยซ้ำ!!
แม้เขาจะใช้ออกด้วยขอบเขตที่ 3 ของยอดใจกระบี่อย่างกระบี่อยู่ที่ใจด้วยกระบี่เซียนอมตะ จนมีพลังอำนาจทัดเทียมกับการลงมือของเซียนอมตะเสเพล 4 ทัณฑ์ แต่ก็ทำได้แค่รักษาชีวิตเขา จางยี่ และหลิ่วเสวียไว้เท่านั้น!
หวังฉีถูกฆ่าตายทันที!
“ให้ตายเถอะ!”
หลังใช้กระบี่เซียนอมตะแก้สถานการณ์และสลายพลังสังหารจากค่ายกลไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนจะมองร่างไร้วิญญาณที่นอนกองบนพื้นของหวังฉีอย่างทอดถอนใจ
ถึงแม้ว่าตอนนี้อาศัยห้วงเวลาเพียงครึ่งลมหายใจปฐมเวทย์กลืนกินของเขาก็จะเพิ่มพูนพลังให้ถึงขีดสุด และรับมือกับอาคมสังหารเมื่อครู่ได้อย่างง่ายดาย…
แต่เขาจะจินตนาการได้อย่างไร…ว่าอยู่ๆหวังฉีจะทะเล่อทะล่าเดินไปกระตุ้นกลไก จนทำให้อาคมสังหารทำงานแบบนี้?
ไม่ทันจริงๆ!
“ต้วนหลิงเทียน ท่าน…ท่านพยายามเต็มที่แล้ว…หวังฉี…มัน…ไม่โทษท่านหรอก”
หลิ่วเสวียมองร่างไร้วิญญาณของหวังฉีด้วยสายตาสะทกสะท้อนครู่หนึ่ง ค่อยหันไปกล่าวปลอบต้วนหลิงเทียน
พยายามเต็มที่แล้ว?
ได้ยินคำของหลิ่วเสวียต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขมออกมา
เขาพยายามเต็มที่แล้วจริงเหรอ?
ไม่ใช่แน่นอน!
หากเขาพยายามเต็มที่แต่แรก หวังฉีคงไม่ตายแบบนี้!
แน่นอนว่าต่อให้เขาจะไม่ได้พยายามเต็มที่เพราะไม่ได้ใช้ปฐมเวทย์กลืนกินไว้แต่แรก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจงใจปล่อยให้หวังฉีตายโดยไม่ช่วย!
เพียงเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงทำให้เขาไม่มีเวลาใช้ออกด้วยปฐมเวทย์กลืนกินเท่านั้น!
หาไม่แล้วด้วยพลังที่เพิ่มพูนถึง 2 ขีดขั้น ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะจัดการกับอาคมสังหารเมื่อครู่ได้ทัน แม้มันจะผุดโผล่ขึ้นที่เท้าหวังฉีก็ตาม…
“ให้ตายเถิด ระดับความยากของที่นี่มันจะไม่หฤโหดเกินไปหน่อยหรือ…หากไม่ใช่ครึ่งก้าวเซียนอมตะมาเองสัก 8-10 คนข้าเชื่อว่าไม่มีหนทางผ่านไปได้เลย!”
จางยี่ที่ยืนอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างเสียขวัญ เพราะเมื่อครู่นั้นมันเองก็ไม่ทันตอบสนองสิ่งใดได้เลย! หากไม่ได้ต้วนหลิงเทียนลงมือคลี่คลายเกรงว่ามันก็คงนอนตายเหมือนหวังฉีแน่แล้ว!
และด้วยความที่ตอนนี้จางยี่เริ่มสนิทกับต้วนหลิงเทียนมากขึ้น มันเลยไม่ได้เผยทีท่าเฉยเมยคล้ายเบื่อหน่ายไปอย่างทุกสิ่งอีกต่อไป กลายเป็นช่างจ้อกับต้วนหลิงเทียนไปแล้ว
แน่นอนว่าสำหรับต้วนหลิงเทียน ให้จางยี่เงียบไว้เหมือนตอนแรกจะดีกว่า! เพราะมาชวนคุยในสถานที่อันตรายแบบนี้ช่างหาเรื่องเสี่ยงตายนัก!!
“มันก็ไม่ต้องใช้คนมากถึงขนาดนั้นหรอก”
ได้ยินคำของจางยี่ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ค่อยอธิบายว่า “เจ้ายังจำด่านที่ 3 ที่พวกเราพึ่งผ่านมาได้หรือไม่ หากไม่ใช่เพราะพวกเราเดินผ่านมาโดยไม่หยุดสนใจรูปปั้นนั่น อาคมสังหารระดับพอๆกันกับเมื่อครู่ก็คงเปิดใช้ไปแล้ว…”
“อันที่จริงอาคมสังหารเมื่อครู่ ขอเพียงเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะสัก 3 คนผนึกกำลังกันสร้างม่านพลังป้องกันไว้แต่แรก ก็สามารถผ่านมาได้อย่างไร้เรื่องราว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ห๊ะ เจ้าว่าอะไรนะ…ไอ้รูปปั้น ที่ตั้งอยู่ข้างทะเลสาบของด่านที่ 3 นั่นน่ะเหรอเป็นตัวกระตุ้นอาคมสังหาร?”
จางยี่ที่นึกย้อนไปครู่หนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าตื่นตระหนก
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ที่ฐานรูปปั้นนั่นมันจารึกอาคมสังหาร 3 ทิศเอาไว้…ยิ่งไปกว่านั้นพลังของอาคมสังหารสมควรทัดเทียมกับพลังของอาคมสังหารเมื่อครู่ กล่าวได้ว่าเพราะเจ้าเดินตามข้ามาไม่ห่างและไม่คิดไปแวะสำรวจเลยไม่เกิดเรื่อง…”
“ให้ตาย…นี่ข้าโชคดีรอดมาได้เพราะเจ้าอย่างไม่รู้ตัวงั้นเหรอ…”
จางยี่เผยยิ้มขื่นขมออกมา มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งยังทำราวกับแลเห็นสัตว์ประหลาด
“ต้วนหลิงเทียน ที่แท้เป็นเจ้าปกป้องข้ากับหลิ่วเสวียและหวังฉีมาโดยตลอดแท้ๆ แต่พวกเรากลับไม่รู้ตัวเลย…”
“อีกทั้งจากพลังที่เจ้าเผยออกตอนทำลายอาคมหลอนประสาทสังหารเมื่อกลางด่านที่ผ่าน ยังเหนือกว่าตอนที่เจ้าใช้ฆ่าหรงปัวกับเฝิงหม่านเสียอีก…”
“ทำให้ไม่เพียงแต่เจ้าจะทำลายอาคมหลอนประสาทรได้อย่างง่ายดาย และคอยระวังป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องมาตลอดได้ง่ายๆ…เจ้ายังไม่เห็นพลังอาคมสังหารเหล่านี้อยู่ในสายตา!”
ถึงแม้พลังฝึกปรือของจางยี่จะเป็นแค่เซียนสวรรค์ 9เปลี่ยน แต่ก็ไม่ใช่ว่าสายตาของมันจะต่ำต้อย ยังสามารถมองประเมินต้วนหลิงเทียนได้อย่างชัดเจน
กล่าวจบคำจางยี่ก็ได้แต่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน
“หากข้าเดาไม่ผิดไม่เพียงแต่เจ้าจะมีกระบี่เซียนอมตะ…แต่สมควรบรรลุเวทย์พลังสายกระบี่ของระนาบเทวโลกด้วยใช่หรือไม่?”
นอกจากเรื่องนี้แล้ว จางยี่ก็ไม่อาจหาเหตุผลใดอื่นมารองรับ ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงแลดูไม่หวั่นกลัวอะไร และมีพลังร้ายกาจขนาดนั้น!
เพราะพลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกก่อนหน้า ไม่ใช่อะไรที่ครึ่งก้าวเซียนอมตะอาศัยกระบี่เซียนอมตะอย่างเดียวจะมีได้!
ขวับ
สิ้นคำจางยี่ หลิ่วเสวียก็หันขวับไปจับจ้องต้วนหลิงเทียนเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่านางเองก็อยากรู้เรื่องนี้นัก
“ก็ใช่”
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพราะอย่างไรเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุด อย่างยอดใจกระบี่ ก็เป็นอะไรที่เหนือล้ำกว่าเวทย์พลังทั้งวรยุทธ์เซียนใดๆในระนาบโลกียะจริงๆ
แน่นอนว่าอันที่จริงแล้วเขายังมีเวทย์พลังที่เหนือระดับเวทย์พลังใดๆในระนาบโลกียะอย่างปฐมเวทย์กลืนกินอีกอย่าง!
เมื่อครู่ต่อให้เป็นหวังฉีทะเล่อทะล่าไปเหมือนเดิม แต่ถ้าเขาใช้ปฐมเวทย์กลืนกินเสริมพลังไว้ก่อน อีกฝ่ายก็คงไม่ตาย!
“ว่าแล้ว”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน จางยี่ก็ยืนยันข้อสันนิษฐานได้ แต่มันก็ไม่อาจรู้เลยว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมดของต้วนหลิงเทียน
‘มัน…มันเป็นแค่ครึ่งก้าวเซียนอมตะจากระนาบโลกียะขนาดย่อมจริงๆหรือ?’
สายตาที่หลิ่วเสวียใช้มองต้วนหลิงเทียนยิ่งมาก็ยิ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
“อ่าว ไม่มีทางไปแล้วหรือ?”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักว่า อาคมที่คร่าชีวิตหวังฉีไปสมควรเป็นอาคมสุดท้ายของบททดสอบ และพอผ่านเข้ามาถึงที่นี่ เขาก็ไม่พบหนทางใดอีก ข้างหน้าทั้งโดยรอบมีแต่ผนังผา!
“รีบมองหากลไกลับเข้าเถอะ…ที่นี่ต้องมีมรดกของต้าหลัวจินเซียนหรือไม่ก็เบาะแสซ่อนอยู่แน่!”
หลิ่วเสวียที่ตระหนักได้เหมือนกันว่าตอนนี้ในหุบเขาสมควรไม่เหลือบททดสอบอะไรแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นยินดีขึ้นมา
“อย่างไรอาคมสังหารสุดท้ายเมื่อครู่ รวมถึงอาคมอื่นๆในด่านที่แล้วก็ยากเย็นเหลือเกิน!”
“สมบัติสถานที่มีบททดสอบหฤโหดแบบนี้ อย่างไรก็ต้องมีของดีซุกซ่อนไว้แน่นอน!”
หลิ่วเสวียกล่าวความคิดของตัวเองออกมา
“มีแน่ แค่เราไม่รู้ว่ามันซ่อนอยู่ตรงไหนเท่านั้น!”
จางยี่เองก็เห็นด้วยกับหลิ่วเสวียที่นี่มีบททดสอบยากเย็นเกินไป!
มีเพียงต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่ได้คิดแบบนั้น ‘มันจะใช่แบบนั้นแน่เหรอ?’
เพราะตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย
เพราะด่านเมื่อครู่นั้น อยู่ๆมันก็ทวีความยากขึ้นมามากมายเหนือด่านก่อนหน้าหลายเท่าตัวจนผิดสังเกต! อาคมสังหารที่จางยี่เผลอไปกระตุ้นเข้านั่น กระทั่งเขาเองยังไม่อาจค้นพบได้…!!
ถึงหลังจากเข้ามาในสถานที่แห่งนี้แล้วเขาจะไม่อาจใช้สำนึกเทวะสำรวจตรวจสอบอะไรได้เลย แต่ด้วยสายตาระวังของเขา ก็ทำให้มองผ่านเส้นสนกลในได้แทบจะทั้งหมด จึงเข้าใจดีว่าด่านสุดท้ายที่ผ่านมามันทวีความเย็นกว่าด่านก่อนหน้ามากขนาดไหนและเป็นเขาที่ชะล่าใจเกินไปเลยไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือไว้แต่แรก…
ทำให้เขารู้สึกผิดที่ช่วยหวังฉีไม่ได้อยู่แบบนี้!
อีกทั้งสังหรณ์เขายังบอกว่า…
สาเหตุที่ไฉนด่านสุดท้ายเมื่อครู่มันยากกว่าด่านรองสุดท้ายหลายเท่าตัวนั้น…
เผลอๆอาจเป็นสถานที่แห่งนี้จงใจมัดรวมบททดสอบที่เหลือทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน! เพราะเห็นว่าเขาสามารถคลี่คลายด่านแรกๆได้ง่ายดายเกินไป!!
อันที่จริงต้วนหลิงเทียนเข้าใจถูกแล้ว
ด้วยเพราะเขาผ่านบทสอบสอบก่อนหน้ามาได้ง่ายดายเกินไป สถานที่แห่งนี้จึงเริ่มผนวกบททดสอบของหลายๆด่านเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งค่ายกลลวงตา ค่ายกลสังหาร หลอนประสาท ล่อลวงจิตใจ ฯลฯ ถูกเปิดใช้อย่างพร้อมเพรียง ซ้อนทับเอาไว้หลายชั้น…
แน่นอนว่าหากเป็นต้วนหลิงเทียนแค่คนเดียวที่เข้ามา ก็คงไม่มีการสูญเสียอะไรและผ่านไปได้ง่ายๆ..
ต้องไม่ลืมว่าถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ใช่เซียนอมตะเสเพล แต่พลังสูงสุดที่เขาสำแดงออกได้นั้นมันก็เทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์! กระทั่งการลงมือในฉับพลันก็เทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 4 ทัณฑ์!!
“ช่วยกันหาเถอะ…ต่อให้จะไม่มีมรดกของต้าหลัวจินเซียน แต่ข้าเชื่อว่าต้องมีเบาะแสนำไปสู่มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนซ่อนอยู่แน่!”
จางยี่กล่าว
หลังจากนั้นพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็แยกย้ายกันไปค้นหาทั่วๆ
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็พบกลไกลับที่ไม่สะดุดตาที่ผนังผาทางหนึ่ง เมื่อกระตุ้นกลไก ผนังศิลาก็เคลื่อนตัวเปิดออก ปรากฏเก๊ะศิลาเลื่อนออกมาราวลิ้นชัก และในเก๊ะก็มีจานเข็มทิศแผ่นใหญ่ที่แผ่กลิ่นอายโบราณบ่งบอกให้รู้ว่ามันดำรงอยู่ข้ามกาลเวลามานับหมื่นพันปีตั้งไว้อย่างเงียบงัน…
เป็นธรรมดาว่าถึงจานเข็มทิศนี้จะแลดูเก่าแก่โบราณ ทั้งสภาพไม่ค่อยจะสู้ดีนัก แต่เข็มยังชี้ตรงแด่วไปยังทิศทางหนึ่งไม่แปรเปลี่ยน ไม่ว่าเขาจะหมุนหรือเคลื่อนที่ไปไหนก็ตาม…
“มันกำลังบอกเส้นทางพวกเรา!”
หลิ่วเสวียเผยความประหลาดใจออกมา
“ดูเหมือนพวกเราไม่จำเป็นต้องตามหาสมบัติสถานอื่นใดให้เหนื่อย! เพียงไปตามทางที่เข็มทิศชี้ต้องพบเจอแน่!!”
จางยี่ก็ฉีกยิ้มจนแก้มแทบปริ
“นี่คือ เบาะแส ที่ว่าสินะ…”
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินออกจากหุบเขาแห่งนี้ไปพร้อมกับจางยี่และหลิ่วเสวีย มุ่งหน้าไปตามที่เข็มทิศดังกล่าวชี้ ซึ่งสมควรเป็นตำแหน่งสมบัติสถานแห่งต่อไป…
“ข้าหวังว่าสมบัติสถานแห่งต่อไปจะมีมรดกขอต้าหลัวจินเซียนอยู่…”
หลิ่วเสวียพึมพำคำอธิษฐานกับตัวเบาๆ
“ถึงสมบัติสถานแห่งต่อไปจะไม่ใช่มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน แต่ในสมบัติสถานดังกล่าวสมควรมีสมบัติดีๆแน่ และยังต้องมีเบาะแสต่อเนื่องไปต่อ!เพียงพวกเราเดินทางไปเรื่อยๆ จุดหมายปลายทางต้องเป็นมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนแน่นอน!!”
จางยี่กล่าวออกมาอย่างมั่นใจ ค่อยกล่าวปิดท้ายออกมาเสียงเข้ม “แต่นั่นหมายความว่าพวกเราต้องไม่ตกตายไประหว่างทางซะก่อนนะ…”
“จางยี่…”
ต้วนหลิงเทียนที่มองจานเข็มทิศในมือ เงยหน้าขึ้นมามองถามจางยี่ด้วยความสงสัย “พวกเราตามเบาะแสไปเรื่อยๆแบบนี้ หากจุดหมายปลายทางเป็นมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนจริง แล้วคนอื่นๆที่บังเอิญพบเบาะแสเดียวกันจากสมบัติสถานอื่นๆ ไม่ใช่ว่าก็มีปลายทางเดียวกับเราหรอกหรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
จางยี่พยักหน้าตอบคำอย่างไม่ลังเล “เท่าที่ข้ารู้มาทุกครั้งที่แดนลับต่างสวรรค์เปิดออก จะมีมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น…”
“และครั้งสุดท้ายที่แดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้เปิดออก ก็มีเพียงฟงชิงหยางจากระนาบเซียนของเจ้า ที่ได้รับสืบทอดมรดกของต้าหลัวจินเซียน!”
“ว่ากันว่าตอนที่ไปถึงมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน ที่จริงไม่ได้มีแค่ฟงชิงหยางเข้าไปคนเดียว หากแต่มีครึ่งก้าวเซียนอมตะมากมายนัก ทว่าไม่มีครึ่งก้าวเซียนอมตะคนอื่นกลับออกมาได้เลย…”
กล่าวถึงจุดนี้จางยี่อดไม่ได้ที่จะเผยความอิจฉาทั้งหวั่นกลัวในแววตา “ตอนนั้นแน่นอนว่ายังมีตัวตนที่ไม่ใช่ครึ่งก้าวเซียนอมตะเข้าไปด้วย…”
“และเป็นพวกมันที่ออกมาบอกเล่าเรื่องราวให้ทุกคนรับทราบ ว่าการทดสอบสุดท้ายอันตรายเพียงใด! อีกทั้งยังมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะรอดชีวิตและได้รับสืบทอดมรดก จึงทำให้ผู้ที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยไม่กล้าเข้าร่วมและถอนตัวออกมา!!”
“สุดท้ายก็อย่างที่รู้ๆกัน เป็นฟงชิงหยางที่สามารถยืนหยัดได้จนจบ…กลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายและรับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียนไป!”