บทที่ 571.3 อาจารย์อาน้อยเยือกเย็นเป็นที่สุด

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลี่เป่าผิงวางหมากเร็วราวกับบินอยู่เสมอ เพียงแค่เหลือบตามองสถานการณ์บนกระดานหมากแวบหนึ่งเท่านั้น

เผยเฉียนรู้สึกว่าฝ่ายตัวเองต้องชนะอย่างแน่นอน ลำพังเพียงแค่มาดของนักเล่นระดับแคว้นของพี่หญิงเป่าผิงนี้ก็สังหารสามคนของฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว

แต่ท้ายที่สุดกลับยังคงเป็นพวกอวี๋ลู่สามคนที่เอาชนะไปได้ เนื่องจากหลี่เป่าผิงวางหมากเร็วเกินไป ดังนั้นอีกฝ่ายชนะได้อย่างรวดเร็วฉับไว นางเองก็แพ้อย่างไม่อืดอาดชักช้าเลยแม้แต่น้อย

เผยเฉียนใช้หมัดทุบฝ่ามือ จากนั้นก็ปลอบใจพี่หญิงเป่าผิงของนางว่าไม่ต้องหมดอาลัยตายอยาก

เฉินผิงอันพอจะมองบางอย่างออก

หลี่เป่าผิงยิ้มกล่าว “อาจารย์อาน้อย ขอโทษนะ”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ผ่านไปอีกสองสามปี พวกเราอยากจะแพ้ก็ยากแล้ว”

หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับอย่างแรง

หลินโส่วอีกับเซี่ยเซี่ยสบตากัน ต่างก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย เพราะว่าสิ่งที่เฉินผิงอันพูดก็คือเรื่องจริงที่จริงแท้แน่นอน

คิดไม่ถึงว่าอวี๋ลู่จะยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อยากจะชนะหรือ? ก็ต้องดูว่าพวกเราสามคนยินดีจะเล่นหมากล้อมกับพวกเจ้าหรือไม่”

อวี๋ลู่เอามือปิดโถเก็บเม็ดหมาก มองหลินโส่วอีและเซี่ยเซี่ยที่อยู่ด้านข้าง “เอาอย่างนี้แล้วกัน นับจากวันนี้เป็นต้นไปพวกเราสามคนมาผนึกหมาก (ในการแข่งขันหมากล้อมระดับสูงมักใช้เวลานาน อาจต้องแบ่งเวลาแข่งเป็นสองวันหรือนานกว่านั้น หากวันแรกการแข่งขันจบลงแล้วยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ฝ่ายที่ถึงคราวต้องเดินหมากก็จะจดก้าวถัดไปของตัวหมากที่ตนเองจะเดินลงบนกระดาษ ใส่ซองแล้วให้กรรมการเป็นผู้เก็บ กรรมการจะผนึกซองแล้วเขียนชื่อหรือสัญลักษณ์ของผู้เล่นลงไป แล้วเก็บซองในสถานที่ที่เป็นความลับซึ่งพวกกรรมการรู้กัน ขั้นตอนนี้เรียกว่าการผนึกหมากหรือเฟิงฉี 封棋) อย่างเป็นทางการกัน ก็เท่ากับว่าพวกเรารักษาผลชนะในกระดานหมากที่เล่นกับเฉินผิงอัน หลี่เป่าผิงและเผยเฉียนได้อย่างสมบูรณ์”

หลินโส่วอีพยักหน้ารับ “เห็นด้วย”

เซี่ยเซี่ยยิ้มบางๆ “เอาตามนี้”

เผยเฉียนร้อนใจขึ้นมาครามครัน

หลี่ไหวปากไวกว่าเผยเฉียนเสียอีก เขาพูดผดุงความเป็นธรรมว่า “พวกเจ้าสามคนหน้าไม่อายขนาดนี้เชียวหรือ? หา? เลียนแบบอาเหลียงหรืออย่างไร? ต่อให้พวกเจ้าจะเลียนแบบเขา แต่ได้รับคำอนุญาตจากข้าแล้วหรือยัง? ไม่รู้หรือว่าข้ากับอาเหลียงเป็นอะไรกัน? เรื่องมากมายที่อาเหลียงทำ ไม่ว่าจะเป็นการพูด การเขียนหนังสือ หรือกินข้าว ล้วนได้รับคำชี้แนะจากข้าหลี่ไหวไปมากเท่าไร? ในใจพวกเจ้าไม่รู้เลยหรือ?”

เผยเฉียนปลาบปลื้มใจเล็กน้อย จึงใช้สายตาเมตตาปราณีมองหลี่ไหว “ถือว่าเจ้าทำความดีชดใช้ความผิดแล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องถูกข้าถอดสถานะที่สูงส่งนั้นออก วันหน้าเวลาเจ้าอยู่กับพวกหลิวกวานและหม่าเหลียนก็ไม่อาจยืดเอวตรงได้อีก”

หลี่ไหวกล่าวอย่างกังขา “แต่เจ้าประมุขแห่งยุทธภพคือหลี่เป่าผิงนะ ตำแหน่งของเจ้าสูงกว่าข้าแค่ไหนกันเชียว เจ้ามีสิทธิ์อะไร?”

เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก หัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “หลี่ไหวเอ๋ย ด้วยสมองที่ไร้ปัญญานี้ของเจ้า วันหน้ายังจะกล้าคาดฝันว่าจะได้ออกท่องยุทธภพร่วมกันกับข้า ไปเป็นตัวภาระให้แก่ข้าอีกหรือ? ข้ากับพี่หญิงเป่าผิงเป็นอะไรกัน เจ้าที่เป็นแค่ผู้นำสาขาย่อยคนหนึ่ง จะเทียบได้รึ?”

หลี่เป่าผิงกำลังเก็บเม็ดหมาก ตอนเล่นนางวางหมากอย่างรวดเร็ว ทว่าเวลานี้กลับเคลื่อนไหวเชื่องช้า นางยิ้มกล่าวว่า “ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ก็ได้ลาออกจากตำแหน่ง ให้เผยเฉียนเป็นเจ้าประมุขแห่งยุทธภพแทนแล้ว”

เผยเฉียนเลิกคิ้ว ชำเลืองตามองหลี่ไหวที่เหมือนถูกฟ้าผ่า แล้วเอ่ยเยาะเย้ยว่า “เป็นไง อึ้งไปเลยล่ะสิ คราวนี้ทำอะไรไม่ถูกเลยใช่ไหม?”

หลี่ไหวไม่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่นๆ ออกท่องยุทธภพเป็นเรื่องใหญ่ที่จิตใจของหลี่ไหวพะวงถึงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงพูดอย่างร้อนใจว่า “หลี่เป่าผิง! มีใครเขาทำตัวเหลวไหลอย่างเจ้าบ้าง บอกว่าจะไม่เป็นก็ไม่เป็นแล้ว? ไม่เป็นก็ไม่เป็น แต่เจ้าอาศัยอะไรถึงยกตำแหน่งให้เผยเฉียนง่ายๆ ว่ากันด้วยเรื่องประสบการณ์ ใครที่อาวุโสกว่ากัน? ข้ากระมัง? พวกเรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว! หากพูดถึงความจงรักภักดี คุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า ก็ยังเป็นข้ากระมัง? ปีนั้นพวกเราออกเดินทางไกลด้วยกันสองครั้ง ข้าต้องนอนกลางดินกินกลางทรายไปตลอดทาง แต่ก็ไม่เคยบ่นสักครึ่งคำไม่ใช่หรือ?”

หลี่เป่าผิงอืมรับหนึ่งที “ไม่เคยบ่น ‘ครึ่งคำ’ จริงๆ นั่นแหละ แต่เป็นคำแล้วคำเล่า คือคำบ่นที่สะสมไว้เป็นกระบุงโกย”

หลี่ไหวที่ถูกแฉความคิดเจ้าเล่ห์ๆ เล็กนั้นจึงได้แต่เปลี่ยนวิธีใหม่ พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่า “หากพวกเจ้าสองคนยังร่วมมือกันรังแกคนซื่อแบบนี้ ข้าคงต้องพาหลิวกวานและหม่าเหลียนออกจากพรรคไปก่อตั้งภูเขาของตัวเองแล้ว”

เผยเฉียนหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าฝันอยู่หรือไร ด้วยเจ้าทึ่มหลิวกวานกับเจ้าหนอนหนังสือหม่าเหลียนนั่นน่ะหรือ หากไม่มีข้าเผยเฉียนคอยวางแผนการให้ พวกเจ้าที่ออกท่องยุทธภพจะสร้างชื่อเสียงอะไรได้? บ้านก็มีกฎของบ้าน พรรคมีกฎของพรรค คำพูดไม่น่าฟังข้าจะเอามาพูดไว้ก่อน พวกเจ้าออกจากพรรคนั้นง่าย แต่หากวันหน้าร่ำร้องอยากจะกลับเข้ามาในพรรคอีกก็ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์แล้ว! ข้าคือใคร คือนักฆ่าที่ลอบสังหารเจ้าห่านขาวใหญ่ได้สำเร็จ ไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์เป็นที่สุด หน้าเนื้อใจเสือ…”

คงเพราะรู้สึกว่าหากตัวเองยังพูดจาเลื่อนเปื้อนแบบนี้ต่อไปอาจได้กินมะเหงก เผยเฉียนจึงหุบปากฉับ เอาแค่พอประมาณก็พอ เพราะถึงอย่างไรตนก็ยังพูดสะกิดหลี่ไหวตอนอยู่กันเพียงลำพังได้อีก ไอ้หมอนี่ห่างชั้นจากโจวหมี่ลี่ไกลนัก อันที่จริงหมี่ลี่น้อยไม่ค่อยชอบลำพองใจสักเท่าไร

หลินโส่วอีลุกขึ้น เดินไปนั่งขัดสมาธิที่ปลายระเบียง แล้วเริ่มสงบใจฝึกตน

ส่วนเซี่ยเซี่ยก็นั่งอีกฝั่ง คนทั้งสองเคยชินกับการทำเช่นนี้มานานแล้ว จึงรู้ใจกันอย่างยิ่ง

หลี่เป่าผิงเสนอให้ไปหาอะไรกินอร่อยๆ ในตรอกเล็กของเมืองหลวงนอกสำนักศึกษา

ทั้งหลี่ไหวและอวี๋ลู่ล้วนตามไปด้วย

ผลคืออาหารมื้อนี้ยังคงเป็นเผยเฉียนที่ควักกระเป๋าเงินจ่าย

หลี่เป่าผิงยิ้มตาหยีดึงแก้มเผยเฉียน เผยเฉียนยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง

กลับมาถึงสำนักศึกษา คืนนี้เผยเฉียนจะไปนอนกับหลี่เป่าผิง คนทั้งสองมีเรื่องให้ต้องคุยกันมากมาย

หลี่ไหวรีบไปปรึกษาเรื่องใหญ่กับหลิวกวานและหม่าเหลียน ไม่อย่างนั้นคงรักษาตำแหน่งในยุทธภพเอาไว้ไม่ได้

เฉินผิงอันมาตกปลาอยู่ริมทะเลสาบกับอวี๋ลู่

คนทั้งสองไม่ได้คุยอะไรกัน

ได้ปลามาจำนวนมาก

น่าเสียดายก็แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวอย่างในปีนั้น ไม่อย่างนั้นแกงปลาที่ต้มเสร็จต้องทำให้คนกินจนพุงกางได้แน่นอน

ตอนที่เก็บคันเบ็ด อวี๋ลู่ถามว่า “ตอนนี้เจ้าคือขอบเขตร่างทองหรือ?”

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ริมชายฝั่ง เปิดข้องปลาออก แล้วปล่อยปลาทะเลสาบทุกตัวที่ตกมาได้กลับลงน้ำไป เงยหน้ายิ้มถามว่า “ฟังจากน้ำเสียงดูแล้วเหมือนจะยอมไม่ได้นะ?”

อวี๋ลู่พยักหน้ารับ จากนั้นก็ยิ้มบางๆ “มาฝึกฝีมือกันหน่อยไหม?”

เฉินผิงอันถาม “ไม่กลัวจะถ่วงรั้งการเรียนหรือ?”

ประโยคนี้ทำให้อวี๋ลู่สะอึกอึ้งพูดไม่ออก เขาเก็บคันเบ็ดและข้องจับปลา พาเฉินผิงอันไปที่เรือนของเซี่ยเซี่ย

ตรงระเบียงแห่งนั้น เซี่ยเซี่ยยังคงรวบรวมสมาธิอยู่ในสภาวะนั่งลืมตน

หลินโส่วอีจากไปแล้ว

พอได้ยินเสียงเคาะประตู เซี่ยเซี่ยก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนเดินมาเปิดประตู พอได้ยินจุดประสงค์การมาเยือนของคนทั้งสอง เซี่ยเซี่ยก็อดไม่ไหวยิ้มกล่าวว่า “สามารถชมศึกได้ไหม?”

อวี๋ลู่ยืนอยู่ในลานบ้าน ยิ้มกล่าว “ตามใจ”

เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่บอกให้อวี๋ลู่รอครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งยอง ม้วนชายกางเกงขึ้นมาก่อน เผยให้เห็นรองเท้าผ้าที่เผยเฉียนเย็บเองกับมือ ฝีเย็บไม่เท่าไร ไม่ถือว่าแน่นหนา แต่อบอุ่น เฉินผิงอันสวมแล้วสบายใจมาก

พอเฉินผิงอันลุกขึ้นยืนก็ม้วนชายแขนเสื้อขึ้นเบาๆ เขาคลี่ยิ้มมองไปยังอวี๋ลู่ เฉินผิงอันเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งผายฝ่ามือออก “เชิญ”

อวี๋ลู่พลันเอ่ยว่า “ไม่สู้แล้ว ข้ายอมแพ้”

เซี่ยเซี่ยไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย เรื่องแบบนี้อวี๋ลู่ทำได้ อีกทั้งยังทำได้อย่างไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย คนอื่นๆ ล้วนไม่มีนิสัยอย่างอวี๋ลู่ หรือควรจะพูดว่าหน้าไม่หนาเท่านี้

เฉินผิงอันเอ่ยโน้มน้าว “อย่าสิ ก็แค่ฝึกซ้อมมือเท่านั้น ประลองฝีมือของขอบเขตเดียวกัน แพ้ชนะล้วนเป็นเรื่องปกติ”

อวี๋ลู่ยิ้มกล่าว “ข้าต้องการรักษาสถิติไม่พ่ายแพ้เจ้าเอาไว้ ส่วนเรื่องการประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้ ค่อยเก็บไว้ทำกับผู้อาวุโสจูเหลี่ยนของภูเขาลั่วพั่วก็ได้”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างฉุนๆ “กลัวว่าจะล้มคว่ำเพราะหมัดเดียวของข้าสินะ?”

อวี๋ลู่หันหน้าไปมองเซี่ยเซี่ย

นางยิ้มกล่าว “ฟ้าดินเงียบสงัด ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”

อวี๋ลู่ยกนิ้วโป้งให้นาง “มีคุณธรรมมากกว่าคนบางคนเยอะเลย”

หลังจากที่คนทั้งสองที่ตีกันไม่สำเร็จจากไปแล้ว เซี่ยเซี่ยก็ทิ้งตัวนอนลงบนระเบียง หลับตาลง บางครั้งที่นี่มีความครึกครื้นบ้างก็ไม่เลวเลย

ออกมาจากเรือน คนทั้งสองเดินไปทางที่พักของอวี๋ลู่ด้วยกัน เฉินผิงอันกล่าวว่า “หากฝึกหมัดโดยไม่มีความหมายนั่น ย่อมไม่ได้เด็ดขาด แต่หากอาศัยแค่ความหมายนั่นก็ไม่ได้เหมือนกัน”

อวี๋ลู่เอ่ย “ข้าจะหาข้ออ้างไปอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วสักพักหนึ่ง”

เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

มีพบก็ต้องมีจากลา

เฉินผิงอันพาเผยเฉียนและหลี่เป่าผิง หลี่ไหวไปเล่นปาหิมะด้วยกัน ร่วมแรงร่วมใจกันปั้นมนุษย์หิมะไว้ส่วนหนึ่งแล้วก็ออกมาจากสำนักศึกษา

หลี่เป่าผิงยืนอยู่หน้าประตูสำนักศึกษา มองส่งคนทั้งสองจากไป

เฉินผิงอันเดินถอยหลัง โบกมือบอกลา

หลี่เป่าผิงโบกมือเบาๆ

เผยเฉียนชูมือสองข้างขึ้นโบกอย่างแรง

เมื่อร่างของคนทั้งสองหายวับไปตรงมุมหัวเลี้ยว หลี่เป่าผิงก็เริ่มวิ่งตะบึงขึ้นเขาไป

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย ไม่ได้เห็นแม่นางคนนี้วิ่งตะบึงแบบนี้มาหลายปีแล้ว ตอนนี้ได้เห็นอีกครั้ง รู้สึกคิดถึงไม่น้อย

หลี่เป่าผิงมาถึงบนยอดเขาของสำนักศึกษาแล้วก็ปีนขึ้นต้นไม้ ยืนอยู่บนกิ่งไม้ที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุด เหม่อลอยไร้คำพูด

เฉินผิงอันไปที่ร้านแห่งหนึ่งที่ขายหินหยก เถ้าแก่ร้านยังคงเป็นเถ้าแก่คนนั้น ปีนั้นเฉินผิงอันซื้อของขวัญจากลาให้หลี่เป่าผิงที่นี่ เถ้าแก่ก็มอบมีดแกะสลักให้เขาเล่มหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับจำเฉินผิงอันไม่ได้แล้ว

เฉินผิงอันเลือกหินหยกลวดลายสีขาวมาก้อนหนึ่ง คิดว่าจะสลักตัวอักษรลงไปด้วยตัวเอง

เผยเฉียนอยากซื้อให้ตัวเองชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็ขอให้อาจารย์แกะสลักตัวอักษรให้ มอบเป็นตราประทับให้นางในวันหน้า

เฉินผิงอันจึงซื้อเพิ่มมาอีกหนึ่งชิ้น ไม่ให้เผยเฉียนต้องจ่ายเงินอีกแล้ว ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนมีถุงเงินอยู่แค่ถุงเดียว เฉินผิงอันที่เป็นอาจารย์เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้

ออกมาจากร้าน ยืนอยู่บนถนนใหญ่ เฉินผิงอันหันหน้ามองไปยังยอดเขาภูเขาตงหัวของสำนักศึกษา ที่นั่นมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง เวลานี้น่าจะมีแม่นางสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่หีบไม้ไผ่ใบเล็กขนาดไม่เหมาะกับตัวอีกต่อไปแล้วยืนอยู่

หลี่เป่าผิงนั่งอยู่บนกิ่งไม้ แกว่งขาทั้งสองข้างเบาๆ เพิ่งจะจากลากันก็เริ่มคิดถึงการพบกันในครั้งหน้าแล้ว

นางไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร แต่เต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย

อาจารย์อาน้อยของนางเยือกเย็นเป็นที่สุด

นางเองก็ควรจะเป็นเช่นนี้ เพียงแค่ด้อยกว่าอาจารย์อาน้อยเล็กน้อย จึงเป็นคนเยือกเย็นอันดับสอง

เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา เผยเฉียนที่อยู่ด้านข้างพูดจ้อเล่าถึงเรื่องน่าสนใจที่ได้ยินได้ฟังมาจากพี่หญิงเป่าผิงและหลี่ไหว

เฉินผิงอันยิ้มพลางฟังนางพร่ำพูด

คนทั้งสองนั่งเรือมังกรกลับไปที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวด้วยกัน

เฉินผิงอันคำนวณเวลาการเดินทางไปกลับระหว่างภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาหนิวเจี่ยวอย่างแม่นยำ เก็บสัมภาระทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาที่จะเดินทางข้ามทวีปลงใต้อีกครั้งเริ่มออกเดินทางไกลไปยังทิศใต้

บนเรือข้ามฟากมีเหวยอวี่ซงผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ดูแลเรื่องเงินทองของสำนักพีหมา และยังมีเทพเจ้าแห่งโชคลาภของสวนน้ำค้างวสันต์อย่างถังสี่แห่งเรือนจ้าวเย่ฉ่าวอยู่ด้วย

เว่ยป้อเองก็ปรากฏตัว

ภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาพีอวิ๋น สำนักพีหมา สวนน้ำค้างวสันต์

ก่อนหน้านี้กำหนดเค้าโครงคร่าวๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว เวลานี้กลุ่มอิทธิพลสี่ฝ่ายจึงมาร่วมกันปรึกษารายละเอียดยิบย่อยของการทำการค้าข้ามทวีป

หลังจากพูดคุยกันพอประมาณแล้ว เว่ยป้อก็จากไปก่อน ความหมายก็คือกิจธุระที่เหลืออยู่ของทางฝ่ายภูเขาพีอวิ๋นของเขาเว่ยป้อ เฉินผิงอันสามารถตัดสินใจแทนได้

จากนั้นที่ท่าเรือตระกูลเซียนที่ลงจอดระหว่างทางซึ่งถือว่าอยู่ใกล้กับทะเลสาบซูเจี่ยนมากที่สุด หลี่ฝูฉวีซึ่งเป็นตัวแทนของกองกำลังจากสำนักเจินจิ้งก็ขึ้นมาบนเรือข้ามทวีปลำนี้

นี่เป็นการพูดคุยเรื่องการงานเป็นครั้งที่สองของเฉินผิงอัน พูดถึงเรื่องกิจธุระในพื้นที่มงคลรากบัว นอกจากหลี่ฝูฉวีแล้วจึงยังมีซุนเจียซู่และฟ่านเอ้อร์แห่งนครมังกรเฒ่ามาเข้าร่วมด้วย ทั้งสองฝ่ายล้วนให้ภูเขาลั่วพั่วยืมเงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่ อีกทั้งยังไม่ได้เรียกร้องขอส่วนแบ่งใดๆ

เพื่อปกปิดหูตาผู้คนอย่างสุดความสามารถ ซุนเจียซู่และฟ่านเอ้อร์จึงแอบออกจากนครมังกรเฒ่า ในขณะที่เรือข้ามทวีปยังไม่เข้ามาในอาณาเขตของนครมังกรเฒ่า คนทั้งสองจึงทยอยกันขึ้นเรือจากท่าเรือที่แตกต่างกัน

เฉินผิงอันได้พบกับฟ่านเอ้อร์ เรื่องแรกที่ทำก็คือมอบเครื่องปั้นที่เขาเผาเองกับมือให้อีกฝ่าย ด้วยเรื่องนี้ตอนที่อยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนเฉินผิงอันยังแวะไปเยือนที่เตาเผามังกรซึ่งตัวเองเคยเป็นลูกศิษย์มารอบหนึ่ง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้ย้อนกลับไปยังเตาเผามังกรอีกครั้ง

หลังจากที่เรือข้ามทวีปจอดลงที่ท่าเรือนอกนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันก็ไม่ได้เข้าไปในนครมังกรเฒ่า เรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านยังไม่เดินทางกลับมาจากภูเขาห้อยหัว ทว่าเรือข้ามทวีปของตระกูลซุน เต่าทะเลภูเขาที่บรรพบุรุษตระกูลซุนจับมาได้ตัวนั้นกำลังจะออกเดินทาง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้นั่งเรือข้ามทวีปโดยไม่ต้องจ่ายเงินอีกครั้ง

ครั้งนี้ออกทะเลและเป็นการเดินทางไกลอีกครั้ง ทุกวันที่ผ่านไปก็ทำให้ขยับเข้าใกล้กำแพงเมืองปราณกระบี่มากขึ้นทีละนิด